[ทดลองอ่าน] บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์ ตอนที่ 107

巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์

 

อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด

 

— โปรย —

หลังจากพลาดตำแหน่งราชาแห่งวงการในเทศกาลภาพยนตร์ยุโรปคราวก่อน
ฟางเล่อจิ่ง ก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนี้อีกครั้ง
แต่ก่อนที่จะถึงการประกาศรางวัล
เขาต้องถ่ายรายการร่วมกับคู่ปรับอย่าง เว่ยอี้ ผู้อยู่เบื้องหลังดราม่าต่างๆ
เว่ยอี้ โจมตีหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เพื่อขุดคุ้ยจุดด่างพร้อยมาขัดขวางเส้นทางความก้าวหน้าของอีกฝ่าย
แต่การโจมตีนั้นก็ไม่ใช่ง่ายๆ เมื่อฝั่งเขาเองก็พบปัญหาใหญ่จากปาปารัสซี่คนสนิท

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

107 โปรแกรมผจญภัยหลังเขา

หัวหน้าทีมโคตรเจ๋ง!

 

หลังจากพักตรงนั้นสิบห้านาที ทุกคนก็พากันมุ่งหน้าไปยังสถานที่เป้าหมายอีกครั้ง ตอนยืนอยู่ในศาลา พวกเขามองเห็นยอดเขานางฟ้า และคิดว่าคงไม่เสียพลังงานเท่าไหร่ แต่เมื่อต้องเดินจริงๆ กลับรู้สึกว่าเส้นทางช่างยาวไกลเหลือเกิน หลังจากข้ามเนินเขาเล็กๆ แล้วเห็นว่าข้างหน้าเป็นทางเดินเขาคดเคี้ยวอีกครั้ง ก็ทำเอาทุกคนเวียนหัว

ตกลงมันอีกไกลแค่ไหน ทำไมยังไม่ถึงสักที

“สู้ๆ ทุกคน” เย่เฟิงอู่ปลุกขวัญกำลังใจ “ไกด์บอกว่าถ้ารักษาความเร็วเท่านี้ไว้ อีกไม่ถึงชั่วโมงเราก็จะถึงจุดหมายแล้ว”

“เหนื่อยจังเลย จะถึงก่อนเก้าโมงจริงเหรอ” มู่เถียนหยิบหมวกมาพัด ไม่อยากขยับอีกแม้แต่ก้าวเดียว

“ต้องลองถึงจะรู้” เย่เฟิงอู่เอ่ย “ทุกคนอดทนอีกนิด”

“เส้นทางนี้ราบเรียบมาก น่าจะเดินง่ายกว่าทางเมื่อกี้” ฟางเล่อจิ่งบอก “เราจะผลัดกันจูงเธอ ไม่มีปัญหาแน่นอน”

คนที่เหลือมีกำลังใจขึ้นมา มู่เถียนละอายที่จะบั่นทอนกำลังใจของคนอื่น เธอจึงกระชับสายกระเป๋าสะพายให้แน่นและมุ่งหน้าต่อพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ จนมาถึงเชิงเขานางฟ้าภายในเวลาที่กำหนดไว้ ทางสายเล็กค่อนข้างสูงชัน ฟางเล่อจิ่งกับเย่เฟิงอู่เลยปีนขึ้นไปก่อน แล้วค่อยใช้เชือกดึงลูกทีมขึ้นมาทีละคน

“ขอบคุณมาก” เมื่อครู่เจี่ยงอีป๋ายพลาดลื่น จนตอนนี้หัวใจยังเต้นโครมครามอยู่เลย

“ไม่เป็นไร” ฟางเล่อจิ่งคลายเชือกออกจากเอวของอีกฝ่ายแล้วดึงเสิ่นหานขึ้นมาต่อ

“เมื่อกี้ฉันดูคล่องมากเลยใช่ไหม” ดวงตาของเสิ่นตุ๊บป่องเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ฟางเล่อจิ่งช่วยปัดดินให้เขาอย่างพูดไม่ออก ทุลักทุเลขนาดนี้ ไม่กลิ้งตกก็บุญเท่าไหร่แล้ว ยังมาคล่องแคล่วอะไรอีก

นายไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน

หลังได้ชิ้นส่วนแผนที่ชิ้นถัดมาอย่างราบรื่น ทุกคนก็ได้รับคำใบ้สถานที่แห่งที่สาม…เป็นภาพนางฟ้าจุติบนโลกมนุษย์

“ฉันรู้แล้ว!” เสิ่นหานยกมือ “เหม่ยเหรินลั่ว[1]!”

“ยินดีด้วยค่ะ” พิธีกรเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คำตอบถูกต้อง”

หนึ่งในหัวใจหลักของรายการคือโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยว ดังนั้นหัวข้อคำใบ้เลยไม่ยากเกินไป แต่แม้เป็นแบบนี้ ตอนภาพเบื้องหลังถูกปล่อยบนอินเทอร์เน็ต บรรดาแฟนคลับก็ยังคงชื่นชมกันสุดฤทธิ์ด้วยมุมมองที่แตกต่าง ทุกคนพากันบอกว่าตุ๊บป่องแสนรู้ แค่พริบตาเดียวก็คิดออกแล้ว เรานับถือจริงๆ

น่าปั่นแฮชแท็กอีกสักรอบ

หลังจากรู้สถานที่แห่งที่สาม ปัญหาต่อมาคือไปอย่างไร จากยอดเขานางฟ้าไปเหม่ยเหรินลั่วมีทั้งหมดสองเส้นทาง เส้นทางหลักค่อนข้างราบเรียบแต่ต้องอ้อมไกลกว่า ส่วนทางรองสั้นกว่ามากแต่ก็เดินทางลำบากเช่นกัน แต่ละทางต่างมีข้อดีข้อเสีย

“ทุกคนมาโหวตกันเถอะ” เย่เฟิงอู่เอ่ย “ใครอยากเดินทางหลัก”

เว่ยอี้ มู่เถียน และเสิ่นหานยกมือ

“ทางรองย่นระยะทางได้เยอะ” เจี่ยงอีป๋ายว่า “เรามีเวลาไม่มาก ถ้าเดินทางหลักอาจไม่ทัน”

“ฉันเห็นด้วยให้ใช้ทางรอง” อู๋เวยเวยเอ่ย “ประหยัดเวลาและมีเวลาพักมากขึ้น”

“ฉันเห็นด้วย” เย่เฟิงอู่พยักหน้า ก่อนถามฟางเล่อจิ่ง “เล่อเล่อคิดว่ายังไง”

“ทางรองแล้วกัน” ฟางเล่อจิ่งมองแผนที่ “ทางหลักอ้อมไกลมาก แบบนี้เวลาของเราจะกระชั้นชิด ไม่แน่อาจต้องคลำหาทางกันในความมืด”

ผลโหวตคือมีสี่คนเลือกทางรอง สามคนที่เหลือเลยต้องฟังเสียงข้างมาก เสิ่นหานสะพายกระเป๋าพลางหอบหายใจ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึม

“แบ่งสัมภาระมาให้ฉันหน่อยไหม” ฟางเล่อจิ่งถาม

“ไม่เป็นไร ฉันยังไหว” เสิ่นหานย่ำกิ่งและใบไม้แห้งตรงหน้าให้เรียบแล้วปีนต่อ

“หานหาน เหนื่อยไหม” พิธีกรยื่นไมโครโฟนมาถาม…เธอเป็นนักกีฬายิมนาสติกประจำมณฑล และเข้าวงการบันเทิงหลังจากวางมือ ร่างกายจึงแข็งแรงพอๆ กับฟางเล่อจิ่งและเย่เฟิงอู่

“ถ้าผมบอกว่าไม่เหนื่อยจะดูเสแสร้งไปหรือเปล่า” เสิ่นหานหอบแฮกๆ ท่าทางแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเหนื่อยมาก

พิธีกรยิ้มพร้อมให้กำลังใจ “สู้ๆ สู้ๆ” จากนั้นหันไมโครโฟนไปหาฟางเล่อจิ่ง “เล่อเล่อเหนื่อยไหม”

“ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ครับ” ฟางเล่อจิ่งยิ้ม “ช่วงนี้ไม่มีฝนเลยเดินไม่ยาก”

เสิ่นตุ๊บป่องโอดครวญอยู่ข้างๆ “เราปีนเขาคนละลูกแน่ๆ”

ทำไมไม่สร้างกระเช้าลอยฟ้าสำหรับคนร่างกายไม่แข็งแรง พวกเขาเองก็ต้องเที่ยวเหมือนกันนะ

ต้องมองปัญหาด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลแบบนี้ เศรษฐกิจจะได้เติบโตไปไกล

“ทุกคนระวังนะ ข้างหน้ามีดินถล่ม” เย่เฟิงอู่เตือน “ระวังความปลอดภัยด้วย!”

“ชันจัง” มู่เถียนทำหน้ากังวล ตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยเดินเขาแบบนี้มาก่อนเลย

“เดินเลียบหน้าผาไป” ฟางเล่อจิ่งปลอบ “แค่เดินระวังๆ ก็ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัว”

“หานหานคนแรก” เย่เฟิงอู่บอก

ทำไมฉันต้องไปคนแรก! เสิ่นตุ๊บป่องตัดพ้อเล็กน้อย แต่ยังคงเชื่อฟังคำสั่ง เหยียบบนทางเดินแล้วเคลื่อนตัวอย่างระแวดระวัง ‘เคลื่อน’ ตามความหมายจริงๆ เพราะเจ้าตัวค่อยๆ ขยับเท้าทีละน้อยอย่างเชื่องช้า ท่วงท่าก็ดูพิสดารสุดๆ

ฟางเล่อจิ่งอยากหัวเราะอย่างไร้ความเห็นใจ ไม่เหลือมิตรภาพความเป็นเพื่อน

เสิ่นหานกลับไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ยังจมอยู่กับความรู้สึกดีที่ได้เหาะเหินเดินกำแพงเหมือนมีวิชาตัวเบา

ท่วงท่าของจอมยุทธ์!

อนาคตฉันต้องได้เล่น สี่มือปราบพญายม[2] ไม่ก็ ฤทธิ์มีดสั้น[3] แน่!

อู๋เวยเวยและเจี่ยงอีป๋ายก็ข้ามเส้นทางช่วงนี้ได้อย่างราบรื่น ตามด้วยมู่เถียน

แม้กลัวเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสามคนข้างหน้าผ่านไปได้อย่างราบรื่น สุดท้ายมู่เถียนก็ตัดสินใจเยื้องย่างก้าวแรกอย่างระมัดระวัง เส้นทางบนเขาค่อนข้างแคบ รองรับเท้าได้เพียงข้างเดียวเท่านั้น มู่เถียนเดินไปได้ครึ่งทางแข้งขาก็เริ่มอ่อนแรง ไม่รู้ว่าควรก้าวขาข้างไหนดี จึงหยุดอยู่ที่เดิมไม่กล้าเดินหน้าหรือถอยหลัง

“ไม่ต้องกลัวๆ!” เจี่ยงอีป๋ายยื่นแขนออกมาจากปลายทาง หวังจะให้กำลังใจเธอ

“อ๊ะ!” ลมภูเขาพัดเข้ามาทำให้โคลงเคลงเล็กน้อย มู่เถียนใจสั่นก่อนเหยียบบนอากาศแล้วร่วงลงไป แม้ผูกเชือกนิรภัยไว้ที่เอว  แต่คนอื่นในเหตุการณ์ก็ยังคงตกใจอยู่ดี

ทีมกู้ภัยรีบกระโดดลงไปดึงมู่เถียนขึ้นมา

“เถียนเถียน ไม่เป็นไรใช่ไหม” สมาชิกคนอื่นในทีมรีบเข้ามาห้อมล้อม

“…ตกใจแทบตาย” มู่เถียนหน้าซีด ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะตั้งสติได้

แม้สวมชุดแขนขายาว แต่หัวเข่าของมู่เถียนยังคงถลอก หลังจากหมอพันแผลให้เรียบร้อย พิธีกรก็ถามเธอว่าต้องการหยุดการเดินทางหรือไม่

มู่เถียนมองไปทางเย่เฟิงอู่ “ฉันเป็นตัวถ่วงทุกคนใช่ไหม”

“ไม่ใช่อยู่แล้ว” เย่เฟิงอู่ยิ้ม “มันเป็นแค่อุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้กับทุกคน”

“งั้นฉันไปต่อได้ไหม” มู่เถียนถามต่อ

เย่เฟิงอู่มองลูกทีมที่เหลือ “ยกมือโหวต”

แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้าน

“ฉันอยากลองดูอีกสักตั้ง” มู่เถียนไม่อยากถอนตัวไปทั้งแบบนี้

“เข่าไม่เป็นไรใช่ไหม” เย่เฟิงอู่เป็นห่วง

มู่เถียนลุกขึ้นยืนแล้วลองเดิน “ไม่เป็นไร แค่แผลถลอกนิดเดียวเอง”

เย่เฟิงอู่พยักหน้า รับสัมภาระที่เหลือของมู่เถียนมา “ทุกคนช่วยกันแบ่งเบาเถียนเถียนอีกรอบ”

สมาชิกผู้ชายทุกคนเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเอง แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาแบ่งข้าวของของอู๋เวยเวยกับมู่เถียนไปรอบหนึ่งแล้ว กระเป๋าจึงเหลือที่ว่างไม่มาก…เว้นแต่เว่ยอี้ เพราะเขาไม่สบายทันทีที่เข้าทีม เลยสะพายแค่ข้าวของของตัวเองมาตลอด

เว่ยอี้เอ่ยต่อหน้ากล้อง “เอามาให้ฉันหมดเลยแล้วกัน”

“นายไม่เป็นไรแล้วเหรอ” เย่เฟิงอู่ถาม

“ไม่เป็นไร” เว่ยอี้เอาสัมภาระของมู่เถียนใส่ในกระเป๋าเป้แล้วหิ้วพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“โอเค งั้นทุกคนเดินหน้ากันต่อ” เย่เฟิงอู่เอ่ย “ระวังความปลอดภัยให้มากขึ้น เราใกล้ถึงแล้ว”

ฟางเล่อจิ่งประคองมู่เถียน มุ่งหน้าตามทีมไปยังเหม่ยเหรินลั่ว ครึ่งชั่วโมงถัดมา ในที่สุดเสิ่นตุ๊บป่องก็เห็นซูเปอร์กระเช้าลอยฟ้าที่เฝ้าฝัน!

นี่สิสิ่งที่สังคมยุคใหม่ควรมี เราไม่ใช่คนโบราณสักหน่อย!

“เยี่ยมมาก เรามาถึงก่อนหนึ่งชั่วโมง” เย่เฟิงอู่เหลือบดูเวลา “จากตรงนี้สามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าได้ แล้วเตรียมตัวกินมื้อกลางวัน”

เสิ่นหานไชโยโห่ร้องในใจ อาหารกลางวัน!

น้ำตาจะไหล

ตามกำหนดการของทางรายการ พวกเขาไม่ต้องทำอาหารกลางวันของวันนี้เอง แต่ชิมอาหารพื้นเมืองหายากได้ที่ฟาร์มบนยอดเขา และให้เวลาสำหรับพักผ่อนและทำกิจกรรมตามอัธยาศัยค่อนข้างนาน เมื่อเทียบกับการผจญภัยที่ผ่านมาแล้ว ถือเป็นรางวัลใหญ่ทีเดียว

“เหนื่อยจะตายแล้ว” เมื่อนั่งบนกระเช้าลอยฟ้า เสิ่นหานอยากนอนแผ่ซะเดี๋ยวนั้น

“ทำได้ดีเลย” ฟางเล่อจิ่งจิ้มท้องอีกฝ่าย “ถึงจะเอาแต่บ่นว่าเหนื่อย แต่อย่างน้อยก็มาถึงจนได้”

“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันอาจต้องรับบทซูเปอร์ฮีโร่ในอนาคตนี่!” เสิ่นหานนั่งตัวตรงทันที

“มีหนังติดต่อมาแล้วเหรอ” ฟางเล่อจิ่งแปลกใจ

“ยังไม่มี ฉันมโนเอง” เสิ่นหานสำทับอย่างจริงจัง “แต่อนาคตอันใกล้นี้ต้องมีแน่” ไม่ต้องสงสัยเลย อัศวินตุ๊บป่องไงเล่า!

ฟางเล่อจิ่ง “…”

เตรียมพร้อมอะไรขนาดนั้น

ห้านาทีถัดมา กระเช้าลอยฟ้ามาถึงยอดเขาและทุกคนก็ได้รับแผนที่ชิ้นที่สาม ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าก่อนถึงเวลากินอาหาร ทุกคนทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ไม่อยากขยับแม้แต่นิดเดียว

ช่าง…เป็นเวลาพักที่หาได้ยากเหลือเกิน

“หานหาน ลุกขึ้นมาให้สัมภาษณ์หน่อย” พิธีกรเรียกเขา

“หานหานหลับแล้ว” เสิ่นตุ๊บป่องหลับตาก่อนเอ่ยเสริม “เล่อเล่อก็หลับแล้วเหมือนกัน” คุณไปสัมภาษณ์คนอื่นเถอะ เว่ยอี้ไง เหมาะสุดๆ ไปเลย คุยสักสองชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา 

“เว่ยเว่ย!” พิธีกรย้ายไปข้างๆ เว่ยอี้จริงๆ “มีอะไรอยากพูดกับแฟนคลับไหม”

“ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนผมครับ” เว่ยอี้เหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว ไม่มีอารมณ์ให้สัมภาษณ์เช่นกัน อยากตอบพอเป็นพิธีเท่านั้น

“มีแฟนๆ คอมเมนต์ในเพจออฟฟิเชียลของเราว่าเป็นห่วงสุขภาพของคุณมาก ตอนนี้คุณยังมีไข้หรือเปล่าคะ” พิธีกรถาม

“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วครับ” เว่ยอี้ยังคงรับมือต่อไป

คนอื่นต่างคนต่างพักผ่อนไปก่อน เสิ่นหานและฟางเล่อจิ่งก็ห่มผ้าห่มผล็อยหลับไปแล้ว  เว่ยอี้เลยพลอยง่วงตามไปด้วย เขาหาวอย่างทนไม่ไหว

ตากล้องยังคงแบกอุปกรณ์แล้วเก็บภาพต่อไป

“มีอะไรอยากถามอีกไหม” เว่ยอี้เอ่ย

“ไม่มีแล้ว” พี่เสียวหม่าตอบ “จะถ่ายภาพเบื้องหลัง” ก่อนสำทับอย่างรวดเร็ว “ฉันเพิ่งถ่ายสมาชิกคนอื่นไป”

เว่ยอี้หงุดหงิดเล็กน้อย ถ่ายตอนทำกิจกรรมยังพอว่า ทำไมตอนพักผ่อนถึงยังมีคนแบกกล้องตามติดตลอดเวลาอีก

แต่เขาก็ทำได้เพียงหงุดหงิด เพราะตากล้องคนนี้เป็นถึงน้องชายแท้ๆ ของโปรดิวเซอร์ ไม่ใช่คนที่เขาหาเรื่องก่อนได้

“นายไม่ต้องสนใจฉันหรอก” พี่เสียวหม่าบอก “ฉันถ่ายภาพตอนทุกคนนอนอีกไม่กี่รูปก็จะพักแล้ว”

เสิ่นหานพลิกตัวอยู่อีกด้าน ปากเผยออ้าเล็กน้อย นอนแผ่กางแขนกางขาอย่างมีความสุข ในสายตาของแฟนคลับต้องดูน่ารักจนเลือดกำเดาพุ่ง แต่สำหรับเว่ยอี้แล้วไม่ต้องสงสัยเลย หากเขานอนสภาพนี้เหมือนกัน คงถูกพวกแอนตี้…โดยเฉพาะไอ้ข้าคือปิศาจหัวล้านนั่นเอามาเยาะเย้ยไปสามปีแน่ๆ แม้ช่วงตัดต่อจะขอให้ทางรายการตัดออกได้ แต่เขาก็ไม่อยากเหลือภาพแบบนี้ไว้ในกล้องอยู่ดี นี่คือสิ่งที่อันตรายที่สุดในยุคอินเทอร์เน็ต หากไม่อยากมีประวัติเสื่อมเสีย วิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุดคืออย่ามีจุดอ่อนแม้แต่นิดเดียว

ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินไปสูดอากาศข้างนอก ไม่นอนมันแล้ว

พี่เสียวหม่าเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายภาพตอนนอนของเทพบุตรสุดหล่อให้เพื่อนสนิทของนางฟ้าได้!

เสิ่นหานกอดแขนฟางเล่อจิ่งแล้วกินเป็ดย่างในฝันต่อไป

ไม่อยากตื่นเลย

หนึ่งชั่วโมงถัดมา พิธีกรเข้ามาเรียกทุกคนไปกินอาหาร เสิ่นหานบิดขี้เกียจอย่างมีความสุขเพราะนอนหลับเต็มอิ่ม

“เร็วหน่อยทุกคน เว่ยเว่ยไปรอที่ห้องอาหารนานแล้วนะ!” พิธีกรเอ่ยติดตลก

เสิ่นหานฮึดฮัดในใจ เป็นชายรูปงามไม่ใช่หรือไง ไม่ต้องกินอะไรสิถึงจะเหมาะกับบุคลิกเทพเซียนของนาย!

 

เมื่อพิธีกรแนะนำอาหารพื้นเมืองแต่ละอย่างแล้ว ทุกคนก็เริ่มตักอาหารทันที! หลังผ่านการเดินทางไกลอันยากลำบากเป็นเวลาหนึ่งวันครึ่ง แต่ละคนก็ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีอาหารมื้อใหญ่ให้กิน จึงเจริญอาหารและพากันกวาดทุกอย่างจนเกลี้ยง เสิ่นหานเคี้ยวเนื้อวัวคำใหญ่เต็มปาก รู้สึกราวกับโลกนี้เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่งในพริบตา

ฟางเล่อจิ่งตักหมูผัดไข่ถ้วยเล็กๆ ให้เขาเงียบๆ

โชคดีที่ตากล้องหยุดเก็บภาพแล้ว ไม่อย่างนั้นหากแฟนคลับเห็นเข้าคงคิดว่าเขาไม่ได้กินอะไรมาสามปีเต็มแน่ๆ

การตัดสินใจเลือกเดินทางรองช่วยทีมประหยัดเวลาไปได้เยอะจริงๆ หลังจากมื้อกลางวัน พวกเขายังมีเวลาพักผ่อนตามอัธยาศัยอีกตั้งสองชั่วโมง

“สบายจัง” เสิ่นหานเอนกายลงบนเก้าอี้โยกในลานหลังบ้าน อาบแสงอาทิตย์อบอุ่นในหน้าหนาวจนไม่อยากขยับตัว

กินอิ่มนอนหลับ นี่ต่างหากที่เป็นจุดสูงสุดของชีวิต!

ฟางเล่อจิ่งถือไม้นวดที่ยืมจากชาวบ้านมาเคาะน่องให้อีกฝ่ายป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อตึงเกินไป

เสิ่นตุ๊บป่องซาบซึ้งน้ำตาคลอ “บอสนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้แต่งงานกับนาย เหมือนได้รับพรยิ่งใหญ่จากสวรรค์เลย!”

“หุบปาก!” ฟางเล่อจิ่งเขกศีรษะอีกคนไปที “นอนไปซะ!”

เสิ่นตุ๊บป่องเริ่มส่งเสียงกรนทันที

“เล่อเล่อ หานหาน!” เสียงของพิธีกรดังมาจากข้างนอก

เสิ่นหานโอดครวญ “ปล่อยให้ฉันอยู่หล่อๆ เงียบๆ คนเดียวไม่ได้หรือไง” แค่อยากนอนสบายๆ เอง ไม่คิดเลยว่าจะถูกขัดจังหวะอีกแล้ว

“เราจะไปดูหัวหน้าทีมเล่นบันจี้จัมป์” พิธีกรเข้ามาถาม “พวกนายอยากไปด้วยกันไหม”

“ที่นี่มีบันจี้จัมป์ด้วยเหรอ” เสิ่นหานได้ยินก็ตื่นเต้น

“เป็นหนึ่งในโปรแกรมท่องเที่ยว เพิ่งผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย จะเปิดให้คนนอกเข้าชมพร้อมเกาะเฟยลู่” พิธีกรเอ่ย “ไปไหม เหลือแค่พวกนายแล้ว”

“ไป!” เสิ่นหานลุกขึ้นนั่ง

ฟางเล่อจิ่งไม่คัดค้าน พวกเขาจึงตามเย่เฟิงอู่และไกด์ลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ หลังฟาร์มเพื่อขึ้นเขา

โครงการบันจี้จัมป์สร้างขึ้นที่ด้านหลังของภูเขา ใช้ประโยชน์จากเนินเขาและทะเลสาบ ไม่ถือว่าสูงแต่ก็ไม่เตี้ย เย่เฟิงอู่ชื่นชอบกีฬาผาดโผนมาแต่ไหนแต่ไร มีประสบการณ์เล่นบันจี้จัมป์ที่ต่างประเทศมาแล้วหลายครั้ง หลังได้ยินจึงขอลองสักครั้ง ทางสถานที่ท่องเที่ยวก็ดีใจที่มีดาราชื่อดังเต็มใจโปรโมตให้ฟรี ย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ

หลังลงนามในข้อตกลงสองสามข้อ เย่เฟิงอู่ก็เตรียมตัวภายใต้การแนะนำของครูฝึก ตากล้องตามถ่ายตลอดทาง เสิ่นหานยืนอยู่ข้างๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบา “นายอยากกระโดดไหม”

“นายอยากเหรอ” ฟางเล่อจิ่งแปลกใจ

“ไม่อยากอยู่แล้ว” เสิ่นหานตกใจ แค่มองขาก็อ่อนปวกเปียกแล้ว น่ากลัวจะตาย

เย่เฟิงอู่ขึ้นไปยืนแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นกางแขนทั้งสองข้างแล้วกระโดดลงไป เสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นทันที

“หัวหน้าทีมหล่อจังเลย!” มู่เถียนปรบมือสุดชีวิต

หลังตกลงไปจนถึงจุดต่ำสุด แรงดีดของเชือกก็ดึงเขาขึ้นมาอีก ท่ามกลางภูเขาและผืนน้ำระยิบระยับที่ไร้ผู้คนให้ความรู้สึกกว้างไกล หลังจากกระเด้งขึ้นลงอยู่สองสามรอบ ในที่สุดเย่เฟิงอู่ก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ และถูกครูฝึกดึงกลับขึ้นมา

“รู้สึกยังไงบ้าง” ทุกคนส่งเสียงเอะอะพร้อมเข้าไปมุง พิธีกรยื่นไมโครโฟนให้อย่างรวดเร็ว

“ตื่นเต้นมาก” เย่เฟิงอู่ปลดอุปกรณ์ออก นอกจากเสียงหอบหายใจแล้ว สีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ กลับตอบพร้อมรอยยิ้ม “พวกนายก็ลองดูสิ ประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ มันเยี่ยมมาก”

“ฉันไม่ลองดีกว่า” มู่เถียนแค่มองก็หน้าซีดแล้ว อู๋เวยเวยก็ยืนกรานปฏิเสธ…แค่เห็นก็จะเป็นลม!

“ฉันสายตาสั้นมาก” เจี่ยงอีป๋ายส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล

“เล่อเล่อกับหานหานลองหน่อยไหม” พิธีกรถาม

เสิ่นตุ๊บป่องเสียวสันหลังวาบทันที ไม่เด็ดขาด ให้ตายก็ไม่โดด

เว่ยอี้มองมาทางนี้พร้อมรอยยิ้มที่แทบมองไม่ออก

“หานหานกลัวความสูงครับ” ฟางเล่อจิ่งส่ายหน้า ก่อนมองไปทางเว่ยอี้ “งั้นเราไปโดดด้วยกันดีไหม มีแท่นกระโดดสองอันพอดี”

“ดี!” เว่ยอี้ยังไม่ทันพูดอะไร อู๋เวยเวยก็ชิงปรบมือ

ตากล้องเองก็คะยั้นคะยออยู่ข้างๆ ทั้งหมดเพื่อนางฟ้าและเพื่อนสนิทของเธอ!

คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยปากเอง รอยยิ้มของเว่ยอี้แข็งทื่อชั่วขณะ

“จริงสิ เว่ยเว่ยก็เป็นนักบันจี้จัมป์ตัวยงเหมือนกันนี่นา” อู๋เวยเวยเหมือนจะนึกขึ้นได้ฉับพลัน เธอตบหน้าผากตัวเองพลางเอ่ย “ฉันเคยอ่านเจอในสัมภาษณ์ของนิตยสาร เส้นทางดาว ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้เป็นพิเศษ ยอดเยี่ยมมากเลย”

“จริงเหรอ” มู่เถียนเบิกตากว้าง “ที่แท้ก็เก่งขนาดนี้”

“งั้นยิ่งต้องกระโดดแล้วละ ยังไงดี จะตอบรับคำชวนของเล่อเล่อไหม” พิธีกรเอ่ยถาม

“รับอยู่แล้ว ถึงยังไงเว่ยเว่ยก็หายไข้แล้ว ไม่มีปัญหา” อู๋เวยเวยตั้งตารอคอย

ฟางเล่อจิ่งมองอีกฝ่ายพร้อมยกยิ้มมุมปาก

“ตกลง” กล้องถ่ายทำส่งเสียงโฟกัสภาพ ทุกคนต่างจ้องมาที่ตัวเขา เว่ยอี้ยิ้มอย่างใจเย็น “ไม่มีปัญหา”

“เยี่ยม!” ผู้หญิงทั้งสามปรบมือเชียร์ พร้อมตั้งท่ารอดูเรื่องสนุกๆ

ช่าง…หาเรื่องวุ่นวายกันเก่งเหลือเกิน

ครูฝึกสองคนแยกกันไปแนะนำข้อควรระวังให้ทั้งสอง อู๋เวยเวยกัดหลอดยิ้มตาหยี

ตอนเพิ่งเข้าวงการ เธอเป็นเพียงผู้ช่วยตัวเล็กๆ ในกองถ่าย ทักษะที่ดีที่สุดของเธอคือการสังเกตคนจากสีหน้าและคำพูด ทำให้เธอดูคนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อวานตอนเสิ่นหานเปิดกระเป๋าเป้แบ่งเบาสัมภาระจากเธอ เธอเห็นถุงตัวล็อกสีเขียวถูกยัดไว้อย่างดีตรงมุมกระเป๋า ตอนนั้นเธอยังคิดว่าทำไมถึงสีสันประหลาดแบบนี้เลยจำแม่นมาก ดังนั้นพอได้ยินว่าเขาลืมเอาตัวล็อกมาจนกางเต็นท์ไม่ได้ ความคิดแรกของเธอคือเป็นไปไม่ได้แน่นอน

แต่เป็นความจริงที่ตัวล็อกหายไป ในช่วงเวลานั้น คนเดียวที่เดินผ่านจุดตั้งเต็นท์ของเสิ่นหานคือเว่ยอี้ ข่าวลือว่าทั้งสองไม่ลงรอยกันมีให้เห็นบนอินเทอร์เน็ตไม่เคยขาด แน่นอนว่าอู๋เวยเวยก็ได้ยินมาเช่นกัน เรื่องบางอย่างบอกคนอื่นไม่ได้ แต่กลับรู้สึกรังเกียจและดูถูกในใจอย่างไม่ปิดบัง ดังนั้นตอนฟางเล่อจิ่งท้าทายเว่ยอี้ เธอเลยช่วยผลักดันให้…ได้เห็นอะไรสนุกๆ สักหน่อยก็ไม่เสียหาย อย่างไรตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนกระโดดอยู่แล้ว

ส่วนใหญ่บทสัมภาษณ์ในนิตยสารอิงจากสถานะของศิลปินที่บริษัทปั้นแต่ง ฟางเล่อจิ่งและอู๋เวยเวยต่างคาดเดาไม่ผิด เว่ยอี้ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเชื้อสายขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่นักบันจี้จัมป์ตัวยงด้วย แต่จะให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ต่อฟางเล่อจิ่งก็ดูเป็นไปไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายเขาเลยกัดฟันขึ้นไปยืนบนแท่นกระโดด

เสิ่นตุ๊บป่องตื่นเต้นเล็กน้อย จนยื่นมือไปหยิกหัวหน้าทีมที่อยู่ข้างๆ

เย่เฟิงอู่ “…”

นายสงบสติอารมณ์หน่อย

ฟางเล่อจิ่งขึ้นไปยืนบนแท่นแล้วกระโดดลงไปก่อน เว่ยอี้กลั้นใจกระโดดตามลงไป

เสียงลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู ทั้งร่างดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว เลือดเหมือนสูบฉีดที่สมองอย่างฉับพลัน ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตา ราวกับกำลังจะกระแทกพื้นในนาทีข้างหน้า

เย่เฟิงอู่นิ่วหน้า รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะถูกเสิ่นหานหยิกจนเนื้อหลุดแล้ว

ทำไมถึงมือหนักขนาดนี้

เสิ่นตุ๊บป่องจ้องตาไม่กะพริบ ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าทำหัวหน้าทีมสุดหล่อไม่พอใจเข้าให้แล้ว!

ไม่กี่นาทีถัดมา เชือกของทั้งสองก็หยุดเคลื่อนไหว ตากล้องถือกล้องพร้อมบันทึกภาพตอนที่ทั้งสองถูกดึงกลับมาไว้ทั้งหมด

“สุดยอดๆ!” น้ำเสียงของมู่เถียนเต็มไปด้วยความนับถือ

“ตื่นเต้นมากเลย” ฟางเล่อจิ่งยิ้มพร้อมเอ่ย “เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง”

เสิ่นตุ๊บป่องคิดอย่างตื้นตัน บอสและตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ภูมิใจในตัวนาย!

“เว่ยเว่ยรู้สึกยังไงบ้าง” พิธีกรถาม

“ก็ดีครับ” เว่ยอี้หน้าซีดเล็กน้อยแต่ดูนิ่งมากทีเดียว ไม่ได้ขายหน้าเท่าไหร่

“ใกล้ได้เวลาแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนกันเถอะ” เย่เฟิงอู่เหลือบดูเวลาในโทรศัพท์มือถือก่อนบอก “จากนั้นออกเดินทางไปสถานที่ถัดไป”

 

“ไม่อยากเชื่อว่านายไม่กลัว” ระหว่างทางกลับ เสิ่นหานแทบอยากจะคารวะด้วยความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นยอดมนุษย์!

“ฉันเคยเล่นที่ต่างประเทศ ความจริงมันดีมากเลยนะ” ฟางเล่อจิ่งบอก “ครั้งแรกจะรู้สึกกลัว แต่หลังจากนั้นจะผ่อนคลายขึ้นมาก”

“ถูกต้อง” เสิ่นหานว่า “เหมือนตอนคลอดลูก”

ฟางเล่อจิ่งสำลัก ตกลงว่าเป็นโรคบ้าอะไร ทำไมเอาแต่นึกถึงเรื่องคลอดลูกอยู่ได้

“สะใจ!” เสิ่นหานพึมพำเสียงเบา

ไม่เพียงเพราะเล่อเล่อเท่ระเบิด!

ยังเป็นเพราะในที่สุดใครบางคนก็โป๊ะแตกเอง

เว่ยอี้เหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม สมองเหมือนยังอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก เขาไม่คิดจะสนใจแม้แต่กล้องที่ตามอยู่ด้านหลังแล้วด้วยซ้ำ คิดแต่เพียงอยากหาเก้าอี้นั่งเท่านั้น

อู๋เวยเวยจูงมู่เถียนเดินผ่านเขาไปด้วยท่าทีเรียบเฉย

ครึ่งชั่วโมงถัดมา กลุ่มคนทั้งหมดก็นั่งกระเช้าลอยฟ้าลงจากเขา เตรียมมุ่งหน้าไปยังสถานที่สุดท้ายของวันนี้…อ่าวสาหร่าย

“ชื่อเพราะชะมัด” เสิ่นหานนึกถึงสาหร่ายทะเลอบกรอบแผ่นใหญ่

ฟางเล่อจิ่งสวมหมวก ไม่อยากพูดอะไรกับเขาอีก

เส้นทางช่วงนี้ค่อนข้างราบเรียบ บวกกับเวลาเหลือเฟือ ทำให้ทุกคนผ่อนคลาย ต่างพูดคุยหัวเราะและแบ่งกันกินช็อกโกแลตกับเนื้อตากแห้งไปตลอดทาง เหมือนกับไปทัศนศึกษาสมัยเรียน

“เว่ยอี้ดูเงียบไปเยอะเลย” เสิ่นหานซุบซิบรายงาน

“ปกติ” ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “ตอนฉันเล่นบันจี้จัมป์ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้” ความรู้สึกที่เหมือนถูกดึงเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดออกไป คนไม่เคยมีประสบการณ์ไม่มีทางเข้าใจหรอก

“คราวนี้นายมีปัญหากับเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว” เสิ่นหานเตือน

“แล้วยังไง” ฟางเล่อจิ่งว่า “ใครบอกว่าเราทำได้แค่รอให้เขาหาเรื่อง”

เสิ่นหานเอ่ย “ฉันเป็นห่วงนาย เขาร้ายกาจมากแถมชอบใช้วิธีต่ำๆ”

“ฉันร้ายได้ยิ่งกว่าเขาอีก” ฟางเล่อจิ่งยัดเนื้อตากแห้งที่เหลืออีกครึ่งไปให้ “กินซะ”

“ว้าว” เสิ่นหานทอดถอนใจ “บอสน่าสงสารเหลือเกิน”

“เกี่ยวอะไรกับเขา” ฟางเล่อจิ่งงงเล็กน้อย

“เพราะนายมันโคตรตู๊ด…เลย” เสิ่นหานเซ็นเซอร์เสียงอัตโนมัติ

“‘โคตรตู๊ด…เลย’ หมายความว่าไง” ฟางเล่อจิ่งถาม

เสิ่นหานรีบพูด “หมายความว่านายหล่อ ฉลาด ใจดี แล้วก็ใสซื่อเหมือนกับกวางเจ็ดสีในเทพนิยายไง”

ฟางเล่อจิ่งหยิกแก้มอีกฝ่าย

เสิ่นหานยิ้มระรื่น ไม่สนใจแก้มที่ถูกดึงจนบิดเบี้ยว

อยู่กับเล่อเล่อแล้วเขารู้สึกปลอดภัยจริงๆ

ห้าโมงเย็น ทุกคนเดินทางมาถึงอ่าวสาหร่ายสำเร็จ แต่มันไม่ค่อยเหมือนที่เสิ่นหานจินตนาการไว้เท่าไหร่ ที่นี่มองไม่เห็นแม้แต่เงาของสาหร่าย สาหร่ายทะเลอบกรอบยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันเป็นหาดทรายขาวสะอาดไกลสุดลูกหูลูกตา

เมื่อได้แผนที่ชิ้นสุดท้าย สถานที่ซ่อนเหรียญนักผจญภัยก็ถูกพบเช่นกัน…เป็นโขดหินดำที่ค่อนไปทางเหนือของเกาะเฟยลู่

“ออกเดินทางพรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้า สักสี่โมงเย็นน่าจะถึง จากนั้นก็เสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมด” เย่เฟิงอู่ดูแผนที่

สมาชิกในทีมพร้อมใจกันส่งเสียงไชโย แม้ผ่านไปเพียงสองวัน แต่ความรู้สึกของความเป็นทีมและความภูมิใจยังคงมีอย่างเต็มเปี่ยม!

ตกกลางคืนมีแคมป์ไฟบนชายหาด สมาชิกแต่ละคนได้รับมอบหมายภารกิจที่แตกต่างกันไป เจี่ยงอีป๋ายรับหน้าที่ไปซื้อฟืนจากบ้านชาวประมงในละแวกนั้น มู่เถียนกับอู๋เวยเวยหยิบได้ซองแดงที่มีเงินสดน้อยนิด ไม่เพียงต้องไปเช่าเตาย่างจากตลาด ยังต้องซื้อเครื่องปรุงและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารให้พออีกด้วย เย่เฟิงอู่รับหน้าที่แจกแจงงานและกางเต็นท์ทั้งหมด เว่ยอี้ตามไกด์ไปตกปลาน้ำจืด ส่วนเสิ่นหานกับฟางเล่อจิ่งต้องไปพื้นที่ตกปลาโดยไม่มีเงินติดตัว ต้องใช้แรงงานเพื่อขอแลกปลากับเจ้าของมาหนึ่งถัง

“กรุณาเรียกฉันว่าเซียนจับปลา” เสิ่นหานเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ท่าทางตื่นเต้นสุดๆ

ความรู้สึกที่จะได้ทำตามฝันมันสุดยอดไปเลย!

 

[1] แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า โฉมงามร่วงหล่น

[2] นิยายกำลังภายใน ประพันธ์โดย เวินรุ่ยอัน

[3] นิยายกำลังภายในเรื่องดังอันดับต้นๆ ของโก้วเล้ง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า