[ทดลองอ่าน] บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์ ตอนที่ 4

巨星手记
บันทึก (ไม่ลับ) ฉบับซูเปอร์สตาร์

 

อวี่เซี่ยวหลานซาน เขียน
ธมน แปล
get-sem วาด

 

— โปรย —

ฟางเล่อจิ่ง ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับประธานบริษัทตงหวนเอ็นเตอร์เทนเมนต์
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอุตสาหกรรมบันเทิง
ดวงชะตาไม่สมพงษ์กันหรืออย่างไร
ทุกครั้งที่เจอกันถึงได้มีแต่เรื่องซวยซ้ำซวยซ้อน!
ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ยังเอาแต่ตามติดเขาไม่เลิก ช่างน่าเหนื่อยใจจริง ๆ
คงเป็นเพราะต้องการดึงตัวเขาเข้าวงการบันเทิงให้ได้ละสิท่า
ต้องให้ย้ำว่า ไม่! สักกี่รอบถึงจะเข้าใจกันนะว่าผมอยากเป็นแค่พนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดา ๆ

••••••

เหยียนข่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ฟางเล่อจิ่ง
ถึงมักจะทำให้เขาอารมณ์ดีจนหัวเราะไม่หยุด
เวลาเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่อยากจะด่าเปิง แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน
นี่มันช่างทำให้มีความสุขซะจริง หึ ๆ

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 4 ไม่รู้ทางทำไมไม่รีบบอก!

จะเก๊กขรึมให้ใครดูไม่ทราบ!

หลังได้รับโทรศัพท์จากป๋ายอี้และได้รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการข้อมูลของฟางเล่อจิ่ง บรรดาทีมงานในสตูดิโอก็รีบสุมหัวกันทันทีและแต่งเติมจากเรื่องจริงไปอีกเล็กน้อย

แต่งเติมไปแค่เล็ก! น้อย! จริงๆ!

หยางเทียนรับข้อมูลมาเปิดไปได้สองหน้าก็ต้องตะลึง “นี่มันยาวเกินไปหน่อยมั้ย” เฉพาะศิลปะป้องกันตัวอย่างเดียวก็เล่นเขียนไปสิบกว่าอย่างแล้ว ฟางเล่อจิ่งเป็นมวยไทยเรื่องนี้เขารู้ พวกเทควันโดดูๆ แล้วก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ปกติ แต่กังฟูเส้าหลินนี่มันอะไรกัน!

“ใส่ไปเยอะหน่อยน่ะดีแล้ว ยังไงซะพวกเตะๆ ต่อยๆ ดูไปแล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่” เซี่ยงเสี่ยวตงซึ่งเป็นผู้ช่วยจัดแสงบอกด้วยความมั่นใจ “ไม่แน่นะ หลังจากทางนั้นเห็นข้อมูลแล้วอาจจะให้เล่อเล่อเล่นเป็นฮั่วหยวนเจี่ย[1]เลยก็ได้”

“ใช่!” บรรยากาศที่นี่เร่าร้อนขึ้นมาทันที ทุกคนพากันบอกว่า บทฮั่วหยวนเจี่ยนั้นสร้างมาสำหรับเล่อเล่อโดยเฉพาะ ถ้าได้เล่นขึ้นมาจริงๆ ต้องราบรื่นสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไง ถึงเวลานั้นเราจะไม่ชายตาแลแม้แต่โฆษณาของแบรนด์ชั้นรองเลย คาร์เทียร์ต้องเข้า ถ้ายังพอมีเวลาเหลือก็ถือโอกาสเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของรถเบนท์ลีย์ไปด้วยเลย!

นับวันรอชีวิตแสนหรูหราได้เลย แค่ลองคิดดูก็ตาลายสุดๆ แล้ว

หยางเทียนคิ้วกระตุก ไม่อยากจะเสวนากับคนพวกนี้ต่อแล้วจริงๆ เขาข่มอารมณ์แล้วเอ่ยคำราม “แก้เสร็จแล้วค่อยเอามาให้ฉัน!”

นี่ยังต้องแก้อีกเหรอ ลูกพี่นี่ช่างไม่รู้จักพอจริงๆ บรรดาพรรคพวกพากันโอดครวญ จากนั้นจึงเพิ่มสิบแปดฝ่ามือปราบมังกรและกระบี่หกชีพจรลงไปหลังคำว่ากังฟูเส้าหลินแล้วทำท่าพออกพอใจ แม้แต่เครื่องแต่งกายโบราณเราก็จัดการได้สบายๆ

หยางเทียน “…”

“ไม่งั้นคืนนี้ไปเลี้ยงฉลองกันดีมั้ย” มีคนเสนอขึ้นมา

ดี! ทุกคนปรบมือทันที

หยางเทียนปวดหัวจนอยากจะบ้า โบกมือไล่ทุกคนให้รีบออกไป

ทำไมตอนแรกฉันถึงได้รับเจ้าสมองกลวงพวกนี้เข้ามานะ

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

เมื่อเจอข้อมูลที่ฟางเล่อจิ่งเคยให้สตูดิโอไว้ในตอนแรก หยางเทียนก็ปรับแก้ให้ดูตรงมาตรฐานขึ้นเล็กน้อยแล้วส่งอีเมลให้ป๋ายอี้

หลังจากพรินต์ออกมาแล้วก็มีเพียงกระดาษเอสี่แผ่นบางๆ แต่เหยียนข่ายกลับอ่านอยู่นานสองนาน ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นมีไม่เยอะแต่ไม่ว่ามองจากมุมไหน เจ้าของประวัติส่วนตัวแผ่นนี้ก็ไม่น่าจะเป็นคนโง่ได้เลย

หรือว่าตัวเองจะเข้าใจผิดไปจริงๆ บาดเจ็บเพราะไปเป็นสายสืบ…เหยียนข่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เจอเขาครั้งแรก พลางนึกโยงไปถึงการกวาดล้างของตำรวจเมื่อไม่นานมานี้แล้วก็พอจะเดาเรื่องราวได้คร่าวๆ

“เป็นยังไงบ้าง” ป๋ายอี้เคาะประตู “ฉันกะว่าจะไปพร้อมกับพวกหยางเทียน”

เหยียนข่ายเลิกคิ้ว “นายดูเป็นห่วงเขาจังนะ”

“ฉันไม่ได้เป็นห่วงเขา แต่เป็นห่วงบริษัท” ป๋ายอี้ว่า “มีพื้นฐานศิลปะป้องกันตัว การศึกษาสูง ฉลาด ใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว รูปลักษณ์โดดเด่น ไม่ต้องเสริมแต่งก็เป็นไอดอลที่มีคุณภาพได้อยู่แล้ว” ถึงแม้จะเป็นกลุ่มสื่อลำดับต้นๆ ของประเทศ แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ในตอนนี้คือขาดดาราหนุ่มสาว หน้าใหม่ที่ปั้นออกมาทั้งหลายต่างไม่เป็นกระแสมากเท่าไหร่ ส่วนเสิ่นหานเองก็เพิ่งถูกดึงตัวมาจากคู่แข่ง ยังมองไม่ออกว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ได้แต่อาศัยดาราเบอร์ใหญ่รุ่นแรกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ถึงแม้จะยังรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันไม่ใช่แผนการในระยะยาวแน่นอน

เหยียนข่ายพยักหน้า “ไปเยี่ยมเถอะ”

ทั้งสองทำงานร่วมกันมาหลายปี ป๋ายอี้รู้ดีว่าประโยคนี้ถือเป็นการยอมรับกลายๆ จึงสั่งลูกน้องให้ไปซื้อพวกผลไม้กับของขวัญแล้วรีบขับรถไปยังสตูดิโอโฆษณาของหยางเทียนก่อนเวลาเลิกงาน

บรรดาทีมงานต่างต้องตกตะลึงอีกครั้ง แม้ว่าปกติป๋ายอี้จะดูค่อนข้างเคร่งขรึม แต่การที่ผู้บริหารระดับสูงของตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ถึงกับหิ้วของมาเยี่ยมคนคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วยตัวเองนั้น มันก็ยากที่จะอธิบาย

“รองประธานป๋าย คุณอยากเซ็นสัญญากับเล่อเล่อใช่มั้ย” หยางเทียนถาม

ป๋ายอี้พยักหน้าตามตรง

“ประธานเหยียนตกลงแล้วเหรอ” คนอื่นๆ ถามต่อทันที ที่บอกว่าไม่ฉลาดพออะไรนั่นน่ะ ยังไม่ลืมหรอกนะ ฝังใจสุดๆ เลยจะบอกให้!

ป๋ายอี้ตอบ “ถ้าประธานเหยียนไม่ตกลง ฉันก็คงไม่มาที่นี่”

ค่อยยังชั่ว! บรรดาพวกพ้องแสดงท่าทีพอใจ จากนั้นเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “แต่เล่อเล่อไม่สนใจเรื่องเป็นดาราหรอก”

“งั้นเหรอ” ป๋ายอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ใช่” ทุกคนแข่งกันพยักหน้า แอบคิดในใจว่า เขาคงจะไม่กลับไปแค่เพราะได้ยินว่าไม่สนใจหรอกนะ…อย่างน้อยก็ต้องทิ้งผลไม้เอาไว้สิ!

ป๋ายอี้ยิ้ม “ไม่เป็นไร ถือว่ามาเพื่อขอโทษเรื่องที่เปลี่ยนนายแบบในครั้งก่อนละกัน”

เหตุผลนี้ยังพอฟังขึ้น ดังนั้นตอนที่ฟางเล่อจิ่งเปิดประตู เขาจึงไม่เพียงแต่เห็นกลุ่มคนของสตูดิโอ แต่ยังเห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งด้วยจนเกิดความสงสัย

“นี่คือรองประธานบริหารของตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ คุณป๋าย” หยางเทียนแนะนำ “ควบตำแหน่งผู้ช่วยท่านประธานด้วย”

“…สวัสดีครับ” หลังจากได้รู้สถานะของอีกฝ่าย ฟางเล่อจิ่งยิ่งงงหนักเข้าไปอีก แต่ไม่รอให้เขาได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น เพื่อนร่วมงานในสตูดิโอก็บอกให้เขารีบกลับไปนอนบนเตียง ยืนนานๆ เดี๋ยวจะเหนื่อย!

ฟางเล่อจิ่งหมดคำพูด “ผมแค่แขนบวมนิดหน่อยเองนะ”

นั่นก็เรียกว่าบาดเจ็บเหมือนกันนั่นแหละ! ทุกคนพากันต้อนเขาไปที่โซฟาแล้วเรียกร้องให้เล่าวีรกรรมหาญกล้าที่ไปสู้กับพวกนักต้มตุ๋นสู่กันฟัง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฝ่ายแกะเมล็ดแตงโมและเครื่องดื่มกันเองเฉยเลยด้วย

ฟางเล่อจิ่งปวดหัว “ตกลงพวกพี่มาเยี่ยมผมหรือมาปาร์ตี้น้ำชากันแน่”

ก็ต้องมาเยี่ยมนายอยู่แล้วสิ! เพื่อนพ้องพากันทำท่าเหมือนถูกทำร้ายหัวใจอันเปราะบาง

ป๋ายอี้หลุดหัวเราะ

“รองประธานป๋าย” ฟางเล่อจิ่งมองเขาด้วยความสงสัย “ทำไมคุณถึงมาด้วยล่ะครับ”

“ผมมาเพื่อขอโทษเรื่องความเข้าใจผิดครั้งก่อน” ป๋ายอี้ตอบอย่างมีเหตุผล

ถึงแม้จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าครั้งไหน แต่ตัวเองเคยร่วมงานกับตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์แค่ครั้งเดียว แน่นอนว่าการถูกต่อว่าว่าปัญญาอ่อนโดยไม่มีเหตุผลนั้นไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ยังห่างไกลกับการต้องให้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมาขอโทษถึงที่ด้วยตัวเอง ฟางเล่อจิ่งเดาจุดประสงค์ของเขาได้อย่างรวดเร็วจึงบอกไปตามตรง “ขอบคุณครับ แต่ผมไม่สนใจวงการบันเทิง”

ยังไม่ทันเอ่ยปากก็ถูกปฏิเสธเสียแล้ว แต่ป๋ายอี้กลับชอบใจ “ทำไมล่ะ”

ฟางเล่อจิ่งทำหน้าจริงใจ “เพราะแม่ผมไม่ยอม” เหตุผลนี้ใช้ได้สารพัดประโยชน์จริงๆ เรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาล

แม้ทุกคนในสตูดิโอจะรู้สึกเสียดายที่เขาไม่เข้าวงการ แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่สามารถฝืนใจได้ และลึกๆ พวกเขาก็มองฟางเล่อจิ่งเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว เมื่อเห็นป๋ายอี้ทำท่าจะพูดข้อเสนอต่อ ความรู้สึกอยากปกป้องลูกน้อยพลันเอ่อล้นขึ้นมา ทุกคนพากันพูดแทรกโดยบอกว่า รองประธานป๋าย ผลไม้ที่คุณซื้อมาดูน่ากินดี พวกเราอยากกินจัง

ป๋ายอี้มองฟางเล่อจิ่ง “ถึงจะไม่อยากเป็นดาราแต่ก็มาที่ตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์ได้นะ”

เฮ้ๆ ทำไมหัวข้อสนทนายังวนอยู่ที่เดิมล่ะ เปลี่ยนเรื่องไม่สำเร็จนี่น่าอึดอัดชะมัด ดังนั้นทุกคนในสตูดิโอจึงเริ่มเอ่ยชมเชอร์รี่อย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ถึงขนาดใช้รูปแบบประโยคขั้นสูงอย่าง ‘ชามเชอร์รี่เผยโฉมออกมานอกกำแพง[2]’ หวังว่าจะดึงดูดความสนใจได้

“ไม่เป็นดารา?” ฟางเล่อจิ่งไม่เข้าใจ

“ได้ยินว่าคุณเรียนสาขาการเงิน” ป๋ายอี้เอ่ย “มาฝึกงานที่ฝ่ายการเงินของบริษัทสิ”

นึกไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ ฟางเล่อจิ่งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

ทีแรกทุกคนจากสตูดิโอเห็นว่าทั้งสองคนยังคุยกันอยู่เลยตั้งใจจะไปมะรุมมะตุ้มถุงพลาสติกเพื่อทำเสียงรบกวน พอได้ยินคำพูดนี้จึงหยุดชะงัก “ฝ่ายการเงิน?”

“ถึงจะไม่เป็นดารา คุณก็ต้องหางานทำใช่มั้ยล่ะ” ป๋ายอี้ยิ้ม “ฝ่ายการเงินของบริษัทกำลังรับสมัครพนักงานพอดี ผมแนะนำให้ได้นะ”

งั้นก็ดีสิ! บรรดาพลพรรคต่างตกใจและคิดว่าข้อเสนอนี้ไม่เลวเลย

“ผมบริสุทธิ์ใจนะ” ป๋ายอี้ยื่นนามบัตรให้เขา “ผมได้อ่านประวัติของคุณก่อนมาที่นี่ ผลการเรียนยอดเยี่ยม ช่วยเหลือตำรวจทำคดีแปลว่านิสัยก็ต้องดีมากเช่นกัน เรื่องไม่อยากเป็นดารากับเรื่องทำงานที่ตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์มันคนละเรื่องกัน ผมยินดีต้อนรับคุณเสมอ”

“…ขอบคุณครับ” ฟางเล่อจิ่งรับนามบัตรมาด้วยความลังเล

“ลองคิดดูก่อน อีกสามวันค่อยตอบผมก็ได้” ป๋ายอี้ลุกขึ้นยืน “พวกคุณคุยกันต่อเถอะ ผมขอตัวกลับก่อน”

“ครับ” ฟางเล่อจิ่งออกไปส่งเขาที่หน้าประตูแล้วก้มหน้าดูนามบัตรในมือ

“ไม่ต้องลังเลแล้ว!” คนในสตูดิโอพากันเขย่าตัวเขา “คนทั่วไปอยากจะเข้ายังเข้าไม่ได้เลย!”

ฟางเล่อจิ่งนั่งขัดสมาธิลงบนโซฟา ใจเต้นเล็กน้อย

“กังวลเหรอ” เห็นเขาเงียบไปนานสองนาน หยางเทียนก็เอ่ยถาม

ฟางเล่อจิ่งส่ายหน้า ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรือความก้าวหน้าในอนาคต โอกาสที่หล่นลงมาจากฟ้าแบบนี้ย่อมดีกว่าทุกตัวเลือกก่อนหน้านี้ทั้งหมด ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธจริงๆ

หลังจากครุ่นคิดอยู่หนึ่งคืน ฟางเล่อจิ่งก็โทร.หาป๋ายอี้และตอบรับคำเชิญของเขา

หลังจากวางสาย ป๋ายอี้ไปห้องทำงานของเหยียนข่ายทันที วางข้อมูลของฟางเล่อจิ่งไว้บนโต๊ะของอีกฝ่าย “รับเข้ามาแล้วนะ”

“เร็วอะไรขนาดนี้” เหยียนข่ายแปลกใจเล็กน้อย “จะมารายงานตัวเมื่อไหร่”

ป๋ายอี้ตอบ “วันที่สามเดือนหน้า แขนเขายังเจ็บอยู่ ต้องรอให้หายดีก่อนถึงจะมาได้”

เหยียนข่ายดูปฏิทินครู่หนึ่งก็พยักหน้า “หลังรายงานตัวเรียบร้อยแล้ว ให้เขามาที่ห้องทำงานของฉันตอนบ่ายสอง นัดพี่ซินกับคาลวินด้วยเลย”

“เขาไม่ต้องมีผู้จัดการและก็ไม่ต้องเข้าคอร์สอบรมด้วย” ป๋ายอี้พูดเตือน

เหยียนข่ายขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง”

ป๋ายอี้แบมือแสดงท่าทางช่วยไม่ได้ “ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอมมาเป็นศิลปิน ฉันเลยต้องดึงตัวเขามาฝึกงานฝ่ายการเงิน”

เหยียนข่าย “…”

ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า

ป๋ายอี้เอ่ย “แผนชั่วคราว ให้เขามาที่บริษัทก่อนแล้วค่อยดูว่ามีโอกาสโน้มน้าวมั้ย”

เหยียนข่ายขบขัน “เขาไม่เต็มใจก็ปล่อยไปเถอะ ฟังแบบนี้แล้วเหมือนนายอยากทำทุกวิถีทางเพื่อหลอกล่อเขายังไงยังงั้น”

“เรื่องของอนาคตมันบอกไม่ได้หรอก” ป๋ายอี้แบมือ “แต่ฉันมีลางสังหรณ์ว่าในอนาคตเขาจะต้องดังแน่นอน”

เหยียนข่ายเลิกคิ้ว ไม่ออกความเห็นอะไรกับคำพูดนั้น

 

ทุกอย่างหลังจากนั้นดำเนินไปตามขั้นตอน พอฟื้นตัวเรียบร้อยฟางเล่อจิ่งก็เข้ามาทำงานเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ฝ่ายการเงินของตงหวนเอนเตอร์เทนเมนต์อย่างราบรื่น ถึงแม้เพื่อนร่วมงานรอบตัวจะไม่กระตือรือร้นและมีชีวิตชีวาเท่าคนที่สตูดิโอโฆษณาแต่ก็เป็นมิตรกับเขามากเช่นกัน หลังจากผ่านช่วงฝึกงานสองเดือน ฟางเล่อจิ่งรู้สึกว่างานนี้ก็ดูไม่เลวเท่าไหร่ เขายังไม่เคยเจอเหยียนข่ายเลยสักครั้ง อย่างแรกเพราะห้องทำงานของทั้งคู่อยู่คนละชั้น อย่างที่สอง ในฐานะเด็กฝึกงานตัวเล็กๆ ฟางเล่อจิ่งไม่มีความจำเป็นต้องติดต่อกับท่านประธานโดยตรง บวกกับที่เผลอปล่อยไก่ตอนเจอกันครั้งแรก ถึงแม้จะอธิบายจนเข้าใจแล้ว แต่ฟางเล่อจิ่งยังรู้สึกขายหน้าอยู่ดี ไม่เจอกันจะดีกว่า!

วันนี้มีงานที่ต้องทำค่อนข้างเยอะ เพราะงั้นหลังจากเลิกงานแล้วจึงต้องอยู่ต่ออีกสักพัก กว่าจะจัดการเสร็จก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า ลิฟต์หยุดที่ชั้นแปดครู่หนึ่ง ชายสวมหมวกแก๊ปคนหนึ่งเดินเข้ามา

เสิ่นหาน? ฟางเล่อจิ่งจำได้อย่างรวดเร็ว แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะพูดอะไร เขาเลยไม่อาจเอ่ยปากก่อน ทั้งสองคนเงียบกันไปตลอดทางจนเห็นลานจอดรถชั้นใต้ดินอันโล่งโจ้งที่เหลือรถจอดอยู่เพียงสองสามคัน

ฟางเล่อจิ่งล้วงกุญแจรถออกมา เขารู้สึกได้ว่าเสิ่นหานกำลังมองตัวเองอยู่เลยหันไปส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“คุณให้ผมยืมเงินร้อยหนึ่งได้มั้ย” จู่ๆ เสิ่นหานก็เอ่ยปากพูด

ฟางเล่อจิ่งผงะไปครู่หนึ่ง

เสิ่นหานอธิบาย “มีคนขับรถผมไป กระเป๋าสตางค์ก็อยู่ในรถ”

ฟางเล่อจิ่งยื่นให้เขาด้วยความยินดี

เสิ่นหานคลึงธนบัตรในมือพร้อมทำท่าลังเล “คุณช่วย…ให้ผมยืมสองพันได้มั้ย”

ฟางเล่อจิ่ง “…”

เสิ่นหานรู้สึกว่าตัวเองดูไม่มีเหตุผลแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร เมื่อเห็นเขายืนเงียบ ฟางเล่อจิ่งจึงเอ่ยขึ้น “ให้ผมโทร.หาผู้ช่วยของคุณมั้ย”

“ห้ามเด็ดขาด!” เสิ่นหานตกใจหน้าซีด

ฟางเล่อจิ่งเข้าใจแจ่มแจ้ง “พวกคุณทะเลาะกันเหรอ”

เสิ่นหานท่าทางห่อเหี่ยว

ภายในลานจอดรถร้อนอบอ้าว ฟางเล่อจิ่งเปิดประตูรถ “ขึ้นมาก่อนสิ”

เสิ่นหานนั่งที่นั่งข้างคนขับ ดูท่าทางกลุ้มใจเล็กน้อย

“ใกล้บ้านผมมีโรงแรมอยู่แห่งหนึ่ง ให้ไปส่งคุณที่นั่นก่อนมั้ย” ฟางเล่อจิ่งถาม “มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้”

เสิ่นหานรีบพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณ”

ตอนที่กำลังขับรถออกจากลานจอดรถก็เจอเข้ากับหยางซีที่หอบถุงกระดาษสีน้ำตาลพร้อมทำหน้าเคร่งเครียดเดินผ่านไปพอดี ฟางเล่อจิ่งเอ่ยเตือน “นั่นผู้จัดการของคุณนี่”

เสิ่นหานหมอบลงกับเบาะด้วยความรวดเร็ว

ฟางเล่อจิ่งไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หน้าต่างติดฟิล์ม ข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็น”

เสิ่นหานเขินอายเล็กน้อย ลุกขึ้นนั่งยืดตัวตรงพร้อมมองมาที่เขา “พรุ่งนี้ผมจะเอาเงินมาคืนคุณ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” ฟางเล่อจิ่งขับรถไปส่งเขาที่โรงแรมใกล้บ้านตัวเอง กลับเห็นคนยืนอยู่รอบๆ ประตูอย่างต่ำมากกว่าหนึ่งร้อยคน ทุกคนต่างถือป้ายไว้ในมือด้วยใบหน้าตื่นเต้นยินดีราวกับแฟนคลับกำลังรอคอยดาราสักคนอยู่

เสิ่นหานกดปีกหมวกอย่างรวดเร็วแล้วหยิบเอาผ้าปิดปากผืนใหญ่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงหลัง

ฟางเล่อจิ่งมองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ เป็นดารานี่เหนื่อยจริงๆ

“ซูนั่ว ซูนั่ว!” แฟนคลับด้านนอกรถส่งเสียงกรี๊ด เห็นได้ชัดว่าเจอเป้าหมายแล้ว

รถสปอร์ตสีขาวคันหนึ่งหยุดลงที่ปลายพรมแดง บรรยากาศตรงนั้นลุกเป็นไฟ หน้าประตูแออัดจนโกลาหล เสิ่นหานมองฟางเล่อจิ่งด้วยท่าทางน่าสงสาร “แถวนี้ยังมีโรงแรมอื่นอีกมั้ย”

“ไปบ้านผมก่อนมั้ย” ฟางเล่อจิ่งเสนอ เมื่อพูดออกไปแล้วก็นึกเสียใจ เขาพูดไปโดยไม่ทันคิด ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะจำตัวเองได้

แต่คิดไม่ถึงว่าเสิ่นหานจะตอบตกลงทันที

นี่ก็อัธยาศัยดีเกินไปมั้ย ฟางเล่อจิ่งตกใจกับความเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ของเขา

เสิ่นหานมองเขาพร้อมยิ้มกริ่ม “ผมรู้จักคุณ คุณเพิ่งเข้ามาอยู่ฝ่ายการเงินเมื่อสองเดือนก่อน” หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พูดเสริม “ผมรู้จักทุกคนในบริษัท!” ท่าทางเขาดูมีพิรุธกว่าเดิม ความจริงแล้ววันแรกที่ฟางเล่อจิ่งเพิ่งเข้ามาทำงานที่ตงหวน ไม่รู้ว่าหยางซีซึ่งเป็นทั้งผู้จัดการควบตำแหน่งผู้ช่วยของเขาไปได้รูปถ่ายกองใหญ่มาจากไหนแล้วบอกกับเขาว่า ‘เป็นเด็กฝึกงานฝ่ายการเงินที่บริษัทรับเข้ามาใหม่ นายยังจะกินอย่างสบายอกสบายใจได้อีกเหรอ’

ดังนั้นเสิ่นหานเลยจำต้องส่งมอบช็อกโกแลตที่ซ่อนไว้ทั้งหมดให้โดยไม่เต็มใจและก้าวเข้าสู่เส้นทางลดน้ำหนักสุดทรหด หลังจากการฝึกนรกสองเดือน ในที่สุดวันนี้เขาก็องค์ลง เรียกความกล้าแสดงท่าทีต่อต้านหยางซี ซ้ำยังทะเลาะกันอย่างดุเดือดไปยกหนึ่งแล้วก็ปีนขึ้นรถของฟางเล่อจิ่งได้สำเร็จ!

แน่นอนว่าฟางเล่อจิ่งไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ พอเห็นว่าเสิ่นหานรู้จักตัวเองจึงประหลาดใจเล็กน้อย ส่งผลให้ความประทับใจที่มีต่อเขายิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก หลังจากทั้งสองจอดรถเรียบร้อยก็ไปซื้อขนมขบเคี้ยวจำนวนหนึ่งจากร้านสะดวกซื้อแล้วกลับที่พักด้วยกัน

คอนโดจัดเก็บไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย พวกเขาคนหนึ่งยึดครองโซฟานุ่มสบาย ดูวิดีโอไปพลาง กินขนมไปพลาง ช่างมีความสุขเสียจริง

“คุณจะไม่โทร.หาผู้จัดการจริงๆ เหรอ” ฟางเล่อจิ่งเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “เมื่อกี้เขาดูร้อนใจมากนะ”

“ไม่โทร.!” เสิ่นหานยังคงโกรธอยู่ เขายัดมันฝรั่งทอดเต็มปากเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ด้วยความโมโห “เขารังเกียจที่ผมอ้วน!”

ฟางเล่อจิ่งพูดจากใจจริง “ผมไม่คิดว่าคุณอ้วนเลยสักนิด”

ดวงตาทั้งสองของเสิ่นหานฉายแววเป็นมิตรและจัดให้อีกฝ่ายเป็นแนวร่วมการปฏิวัติอย่างรวดเร็ว

หลังจากทั้งคู่แบ่งกันกินอาหารขยะถุงใหญ่เรียบร้อยแล้วต่างคนก็ต่างอาบน้ำเตรียมเข้านอน แต่ทั้งสองไม่รู้สึกง่วงจึงนั่งขัดสมาธิเล่นเกมบนพื้นมันเสียเลย จนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืนถึงได้นอนคุดคู้หลับไป วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์เลยไม่ต้องตื่นแต่เช้า

 

มื้อเช้าเป็นปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ที่อุดมไปด้วยแคลอรี เสิ่นหานกินจนหนำใจ เขาอยากอยู่บ้านคนอื่น ไม่อยากกลับเลย

ฟางเล่อจิ่งเอ่ย “อย่างน้อยก็ต้องบอกคุณหยางสักหน่อย ไม่งั้นเขาคงจะไปแจ้งความ”

เสิ่นหานลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เปิดโทรศัพท์ด้วยอาการฮึดฮัด นั่งยองๆ บนระเบียงแล้วกดโทร.ออก หลังจากผ่านไปนานเขาก็กลับมาด้วยความขุ่นเคือง “เขาไม่ร้อนใจเลยสักนิด แถมบอกว่าถ้าผมยังไม่กลับไปจะขายแอ๊กเคานต์เกมของผมทิ้งด้วย!”

ฟางเล่อจิ่งส่งชานมรสมินต์ถ้วยหนึ่งให้เขาได้ทันเวลา

เสิ่นหานดื่มจนหมดในอึกเดียว จากนั้นเช็ดปากด้วยท่าทางพร้อมตายอย่างสมศักดิ์ศรี “ผมต้องกลับไปต่อสู้ชี้ชะตากับเขา!”

ฟางเล่อจิ่งมองแขนขาวนุ่มนิ่มของเขาแล้วนึกถึงรูปร่างของหยางซี ก่อนจะพูดจากใจจริง “พวกคุณคุยกันดีๆ จะดีกว่านะ”

“เมื่อคืนขอบคุณนะ” เสิ่นหานเอ่ยด้วยความจริงใจ

“เรื่องเล็กน้อย” ฟางเล่อจิ่งตอบ “ผมไปส่งคุณกลับบริษัทแล้วกัน ตอนบ่ายมีทำโอทีพอดี” แน่นอน ถ้าเขารู้ล่วงหน้าว่าเหยียนข่ายจะทำงานล่วงเวลาเหมือนกัน ให้ตายอย่างไรเขาก็ต้องอยู่บ้านแน่ๆ แต่ปัญหาคือเขาไม่อาจรู้อนาคตได้ เลยขับรถพาเสิ่นหานกลับไปส่งมอบให้หยางซีที่บริษัท

ภายในโถงทางเดินว่างเปล่า หลังจากทำงานไปได้สักพัก ฟางเล่อจิ่งรู้สึกล้าเล็กน้อยเลยถือแก้วออกไปเติมกาแฟ และบังเอิญเจอเข้ากับเหยียนข่ายที่มาทำงานล่วงเวลาเช่นกัน

โลกเงียบสงัดไปในพริบตา

อะไรที่เรียกว่ายิ่งหนียิ่งเจอน่ะเหรอ

ก็แบบนี้ยังไงล่ะ

“…ประธานเหยียน” หลังจากเงียบไปนาน ฟางเล่อจิ่งก็เอ่ยปากก่อน เขาประท้วงในใจว่าถ้าคุณไม่มีอะไรทำก็อย่ามาเดินเพ่นพ่านไปทั่วสิ ทำไมถึงไม่อยู่ที่ชั้นเก้าไปดีๆ ล่ะ!

“มาทำล่วงเวลาเหรอ” เหยียนข่ายถาม

ฟางเล่อจิ่งพยักหน้า “ครับ” หลังถูกรปภ.จับโยนออกมาด้านนอกคราวก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูก บวกกับนึกถึงเรื่องปล่อยไก่ครั้งก่อน เหยียนข่ายคิดว่าตัวเองควรจะทำตัวเป็นมิตรมากกว่านี้เลยเอ่ยถาม “กินอะไรหรือยัง ฉันจะให้เลขาฯสั่งอาหารให้”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” ฟางเล่อจิ่งรีบปฏิเสธ “ผมทำงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปกินบะหมี่ที่ฝั่งตรงข้ามเองก็ได้”

เหยียนข่ายไม่อ้อมค้อม “ฉันเลี้ยง”

ฟางเล่อจิ่งเย็นสันหลังวาบ ไม่ต้องก็ได้มั้ง เราไม่ได้สนิทกันสักหน่อย!

แต่เห็นได้ชัดว่าเหยียนข่ายไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนใจ เขายื่นมือไปกดลิฟต์ “เก็บของเสร็จแล้วมาหาฉันที่ชั้นเก้า”

ฟางเล่อจิ่งพูดไม่ออก จะเอาแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ย ต้องอาหารไม่ย่อยแน่ๆ

ตกลงฉันมาทำงานล่วงเวลาทำไมกันเนี่ย

เหยียนข่ายกลับไปเก็บข้าวของลวกๆ ทีแรกเขาคิดว่าฟางเล่อจิ่งจะมาถึงอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าต้องรอถึงครึ่งชั่วโมง ตอนที่เขาออกจากห้องมาก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่าลิฟต์ขัดข้อง ฝ่ายวิศวกรรมกำลังซ่อมแซมอยู่

เหยียนข่ายสังหรณ์ใจไม่ดี “มีคนติดอยู่ข้างในหรือเปล่า”

“มีครับ เหมือนจะเป็นเด็กฝึกงานฝ่ายการเงิน” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตอบ

เหยียนข่ายไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี เขาจำต้องเดินลงบันไดเพื่อไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ซวยได้มากกว่านี้อีกมั้ย…

ฟางเล่อจิ่งนั่งยองๆ อยู่ในลิฟต์ด้วยความหดหู่

หลังผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดประตูลิฟต์ก็เปิดออก เมื่อมองเห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเด็กหนุ่ม เหยียนข่ายรู้สึกอยากจะหัวเราะโดยไม่นึกถึงใจคนอื่น เขาตัดสินใจพาอีกฝ่ายลงไปที่ลานจอดรถทันที “ไปกันเถอะ ไม่ต้องกินบะหมี่แล้ว”

“แล้วจะกินอะไรครับ” ฟางเล่อจิ่งถาม

เหยียนข่ายเหยียบคันเร่งขับไปจนถึงร้านอาหารส่วนตัวแห่งหนึ่งแถบชานเมือง “ถือว่าเลี้ยงปลอบขวัญนายแล้วกัน”

แต่ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ว่าคุณอยากปลอบขวัญแล้วจะปลอบได้ ประตูทางเข้าของร้านอาหารส่วนตัวล็อกแน่นหนา ป้ากลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกำลังพูดคุยพร้อมแทะเมล็ดแตงโม เล่าว่าเจ้าของร้านหนีไปกับน้องเมียแล้ว

ฟางเล่อจิ่งแทบหลั่งน้ำตา อยากจะจดวันเกิดของเขาไว้เหลือเกิน ต่อไปถ้าเจอคนแบบนี้จะได้เดินหนี ตั้งแต่เจอกันจนถึงตอนนี้ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจสักเรื่อง ชาติที่แล้วอีกฝ่ายทำอะไรไว้กันแน่ถึงได้มีดวงสร้างกรรมแบบนี้!

ไม่ง่ายเลยจริงๆ

เหยียนข่ายตอบ “เราเปลี่ยนไปกินอีกร้านแล้วกัน”

ฟางเล่อจิ่งเอ่ยแนะนำจากก้นบึ้งของหัวใจ “ไม่ต้องลำบากหรอกครับ กลับเข้าเมืองไปกินบะหมี่นั่นแหละ”

เหยียนข่ายยืนกราน “อยู่ใกล้ๆ นี่เอง”

ฟางเล่อจิ่งถาม “ใกล้นี่แค่ไหนครับ”

เหยียนข่ายตอบ “เดินสิบนาที”

ฟังดูแล้วยังพอรับได้ ดังนั้นฟางเล่อจิ่งเลยพยักหน้าทันที

ทั้งคู่เดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ทางเดินค่อยๆ เฉอะแฉะมากขึ้น ในใจของฟางเล่อจิ่งเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ “ร้านอาหารอะไร ทำไมถึงได้มาเปิดในที่แบบนี้”

เหยียนข่ายเงียบไม่ตอบอะไร

ฟางเล่อจิ่งจำต้องเดินตามไปแล้วคิดว่ากลับไปจะสมัครไอดีใหม่แล้วตั้งชื่อว่า ‘เจ้านายของฉันเป็นคนประหลาด’

สิบนาทีครั้งที่หนึ่ง สิบนาทีครั้งที่สอง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รอบด้านก็วังเวงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดฟางเล่อจิ่งก็ทนไม่ไหวแล้วเอ่ยถาม “อีกไกลแค่ไหนครับ”

เหยียนข่ายทำสีหน้าเรียบเฉย

ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เมฆครึ้มกดทับที่เส้นขอบฟ้า ทางบนภูเขาเงียบเชียบ ฟางเล่อจิ่งรู้สึกขนลุกเล็กน้อย สถานการณ์เหมือนหนังสยองขวัญพรรค์นี้ คงไม่คิดจะพาเขามาขายหรอกนะ!

เมื่อรู้สึกถึงสายตาร้อนรนของคนข้างกาย ในที่สุดเหยียนข่ายก็หยุดฝีเท้า

สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในใจฟางเล่อจิ่ง เขาเริ่มใช้หางตาเหลือบหาอาวุธป้องกันตัว

เหยียนข่ายไม่เหลียวมองเขาสักนิด หมุนตัวย้อนกลับแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กลับกันเถอะ”

เวรเอ๊ย ฟางเล่อจิ่งอยากจะคว้าคอเสื้อเขามาแล้วคำรามว่า คุณคิดจะทำอะไรกันแน่!

เหยียนข่ายไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง

ฟางเล่อจิ่งจำต้องเดินตามทั้งที่อยากเอาหัวโขกกำแพง

 

บนภูเขามีเส้นทางมากมาย เท้าข้างหนึ่งของเหยียนข่ายเหยียบกิ่งไม้บนทางเดิน เขาเอาแต่เดินไปข้างหน้าไม่สนใจใคร

ฟางเล่อจิ่งร้องเตือนจากด้านหลัง “เราไม่ได้ขึ้นมาจากทางนี้”

เหยียนข่ายชะงักไปครู่หนึ่ง

ฟางเล่อจิ่งบอก “ทางข้างๆ ต่างหาก”

เหยียนข่ายเปลี่ยนทิศทางด้วยท่าทีนิ่งเฉย

ฟางเล่อจิ่งพูดไม่ออก ทั้งที่ไม่รู้ทางยังจะเก๊กหล่อคีพคูลโชว์ใครเนี่ย สภาพนี้ยังกล้าพาคนอื่นเข้ามาในภูเขาอีก รู้ตัวสักเศษเสี้ยวบ้างมั้ยว่าตัวเองเป็นพวกหลงทิศ

ทั้งสองคนเงียบกันไปตลอดทาง ต่างอยากจะออกจากภูเขาให้เร็วที่สุด แต่ไปได้เพียงครึ่งทางฝนก็ดันเทลงมา กว่าจะกลับไปถึงรถก็ทำเอาเปียกมะล่อกมะแล่กไม่ต่างกับลูกหมาตกน้ำ ฟางเล่อจิ่งดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดหน้าพร้อมทั้งคาดเข็มขัดนิรภัยเงียบๆ เขาไม่ปริปากถามสักนิดด้วยอ่านสถานการณ์ออก ความกดอากาศข้างกายเขาต่ำจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!

เหยียนข่ายสตาร์ตรถด้วยใบหน้าบูดบึ้ง หงุดหงิดเป็นที่สุด เขาอยากจะหิ้วไอ้เวรที่แอบหนีไปกับน้องเมียนั่นมาอัดสักที! เนื่องจากที่นี่บรรยากาศดีทีเดียว เขากับป๋ายอี้จึงมากินอาหารบ่อยๆ บางครั้งถ้าจองที่นั่งไม่ได้ก็จะไปอีกร้านที่อยู่ใกล้ๆ กับหุบเขา แน่นอนว่าคนที่รับหน้าที่นำทางทุกครั้งนั้นไม่ใช่เขา ดังนั้นครั้งนี้ก็เลยกลายเป็น…โศกนาฏกรรม

มียุงจำนวนมากอยู่ในพงหญ้า ฟางเล่อจิ่งถูกกัดจนตุ่มขึ้นเต็มตัว เขาเอาแต่เกาไปตลอดทาง หลังกลับถึงในเมืองทั้งแขนและใบหน้าก็กลายเป็นสีแดงปื้นใหญ่ไปเรียบร้อย ดูน่าตลกเล็กน้อย

เหยียนข่ายจ้องมองเขา

ฟางเล่อจิ่ง “…”

หลังจากผ่านไปนาน

เหยียนข่าย “หึ”

ฟางเล่อจิ่งโมโห มีเจ้านายแบบคุณด้วยงั้นเหรอ ยังมีความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานอยู่มั้ย!

เหยียนข่ายขำจนหยุดไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะสภาพของเขาในตอนนี้ หรือเพราะการหลงทิศหลงทางจนหัวหมุนเมื่อตอนบ่าย หรืออาจจะเพราะนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เจอกับเขาครั้งแรก แต่สรุปสั้นๆ คือ…อารมณ์ดีมาก

ฟางเล่อจิ่งจำต้องนั่งมองเขาหัวเราะอยู่ข้างๆ อย่างพูดไม่ออก

“บ้านนายอยู่ที่ไหน” หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้ว ในที่สุดเหยียนข่ายก็เกิดมโนธรรมขึ้นในใจ

“คุณไม่ต้องไปส่งผมหรอก” ฟางเล่อจิ่งปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ผมเรียกรถกลับเองได้”

“โอเค เดินทางปลอดภัย” เหยียนข่ายช่วยเปิดประตูรถให้เขา “ไว้จะชดเชยให้นายครั้งหน้า”

ฟางเล่อจิ่งได้ยินก็แทบจะร้องไห้

ยังต้องเจอกับคนดวงจู๋พรรค์นี้อีกจริงๆ เหรอเนี่ย

ใครจะไปรู้ว่าครั้งหน้าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

 

[1] Huo Yuanjie (ค.ศ.1868-1910) นักสู้ชาวจีนผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษในการต่อสู้กับชาวต่างชาติในช่วงที่ประเทศจีนถูกต่างชาติคุกคาม

[2] ล้อกับสำนวนที่ว่า ‘ดอกซิ่งแดงเผยโฉมออกมานอกกำแพง’ จากบทกวี 游园不值 ของเย่เส้าเวิง กวีแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ.1127-1279) หมายถึงหญิงสาวแรกรุ่นที่อยากมีคู่จึงพยายามทำตัวโดดเด่น เรียกร้องความสนใจจากเพศตรงข้าม

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า