Time Mover
타임무버
야스 ยาสึ เขียน
พัชรวดี ประเสริฐไพบูลย์ แปล
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
Time Mover ตอนที่ 3
เมื่อสี่ปีก่อนผมก็เคยยืนมองแม่จากตรงนี้หรือเปล่า
สุสานของแม่เป็นเนินขึ้นมา ไม่มีทางมองออกเลยว่าเป็นหลุมศพของแม่จริง ๆ หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะตัวอักษรสามตัว ‘คิมซุกจา’ ที่อยู่บนป้ายหลุมฝังศพ ก็คงไม่รู้ว่าเป็นสุสานของแม่ สุสานไม่ได้รับการดูแลให้เรียบร้อย บอกให้รู้ว่าไม่เคยมีคนแวะเวียนมาเลย
ผมจ้องมองสุสานที่มีวัชพืชขึ้นสูงยื่นออกมาเงียบๆ หัวใจเจ็บปวดอย่างมาก รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก จึงสูดหายใจเข้าลึกจนหน้าอกพองตัวแล้วหายใจออก แต่ถึงอย่างนั้นน้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมาจนน่าแปลกใจ เพราะอะไรกันนะ ทั้ง ๆ ที่เจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกฉีกกระชากขนาดนี้ แต่ทำไมน้ำตาไม่ไหลออกมา แม้จะคิดว่าน่าแปลก แต่ก็ไม่รู้เหตุผล ไม่รู้สึกเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องจริง อย่างน้อยที่ที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ เวลานี้ ก็ไม่ใช่เรื่องจริงสำหรับผม
“สงสัยสมองผมจะมีปัญหาจริง ๆ ละมังครับ”
ผมพูดกับผู้ชายคนนั้นที่ยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำมาตลอดทาง หลังพาผมออกมาจากโรงพยาบาลแล้วก็ให้ผมขึ้นรถเพื่อพามาที่นี่โดยไม่ได้บอกก่อนว่าจะไปไหน ถึงเขาจะดูหงุดหงิดแล้วก็เหนื่อยหน่ายกับคำร้องขอที่กะทันหันและคำพูดไร้สาระของผมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ตอนเช้ามืด แต่พอลองคิดดูเขาไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง เป็นคนที่เข้าใจยากจริง ๆ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่าง แต่เขากลับดูเหมือนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผม
“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“เรื่องอะไร”
“ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมความทรงจำตลอดสี่ปีของผมที่เมื่อวานยังอยู่ดีถึงได้หายไป”
“ฉันไม่ใช่หมอ”
คำตอบพร้อมอาการบึ้งตึงของผู้ชายคนนั้นทำให้ผมถึงกับอมยิ้มน้อย ๆ พลางพยักหน้า
“ต่อให้เป็นหมอก็คงไม่มีคำตอบที่แน่ชัดอยู่ดีครับ คงได้แค่คำตอบว่าให้ลองสแกนเอ็มอาร์ไอดู หรือลองทำซีทีสแกนดีกว่า ช่วงนี้เครียดมากรึเปล่าครับ มีอุบัติเหตุที่ทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนรึเปล่า หรือไม่ก็เคยมีเรื่องที่ทำให้จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักรึเปล่าครับ”
ผมละสายตาจากสุสานหันไปมองผู้ชายคนนั้น เขายืนอยู่ห่างออกไปประมาณสามถึงสี่ก้าวและกำลังมองผมอยู่
“ช่วยตอบคำถามนี้ได้ไหมครับ”
“…นายเครียดมากตลอดเวลาอยู่แล้ว เกินขีดจำกัดจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่ช่วงนี้ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนทางร่างกาย และไม่มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจด้วย”
ควบคุมอารมณ์ไม่ได้งั้นเหรอ ตอนนี้อารมณ์แปรปรวนมากเพราะงานศพของแม่ก็จริง แต่ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้อารมณ์ร้ายหรือนิสัยไม่ดีสักหน่อย พอได้ยินคำว่าควบคุมอารมณ์ไม่ได้จากปากของคนอื่น ก็กังวลเหมือนกันว่านั่นเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับตัวผมจริง ๆ หรือเปล่า
“สิ่งที่เปลี่ยนไปในระยะเวลาสี่ปีเหมือนจะมีนิสัยของผมด้วยสินะครับ เพราะผมไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น”
“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้”
ผู้ชายคนนั้นตอบแบบคลุมเครือเกินกว่าจะมองเป็นแง่บวกได้ เขาเดินใกล้เข้ามาหนึ่งก้าว ต่อให้เขาไม่พูดว่าหมดธุระที่นี่แล้วก็พอจะรู้ เขาอุ้มผมอีกครั้งเหมือนตอนที่พาลงจากรถมาจนถึงหน้าสุสานของแม่ เราเดินลงบันไดช้า ๆ สุสานของแม่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ทางด้านหลังของเขา ผมมีบางอย่างอยากพูดกับแม่ แต่พอมาอยู่ตรงหน้าสุสานเข้าจริง ๆ กลับนึกคำพูดไม่ออก
ลาก่อนครับ แม่
ผมร่ำลาแม่เหมือนกับที่เคยพูดเมื่อสี่ปีก่อน แล้วหันหลังให้กับสุสานของแม่
เมื่อได้กลิ่นอาหาร ท้องก็ร้องโครกครากขึ้นมาทันที ทุกครั้งที่ยืนอยู่ระหว่างความฝันกับความเป็นจริงอย่างไม่ชัดเจน แล้วคิดขึ้นว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นความฝันหรือเปล่า ก็จะรู้สึกถึงความเป็นจริงได้ด้วยท้องที่กำลังหิว เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผมไม่ได้รู้สึกถึงอะไรแบบนั้นจากผู้ชายที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแต่ทำตัวเหมือนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผม หรือเพราะสุสานของแม่ที่ได้เห็นกับสองตาตัวเอง แต่กลับรู้สึกถึงความเป็นจริงได้เพียงเพราะเสียงท้องร้องดังโครกที่ร้องขอให้ใส่อาหารลงไป
ผมนั่งนิ่งถือช้อนไว้ในมือ ผู้ชายคนนั้นก็ดันชามโจ๊กมาให้ตรงหน้าช้า ๆ
‘ท้องไส้นายน่าจะไม่ค่อยดี ไม่ควรกินของหนัก’ เขาพูดแบบนั้น แล้วพาไปร้านโจ๊กที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง และสิ่งที่เขาสั่งตามใจตัวเองก็คือโจ๊กไก่ตุ๋นโสม
“มีของแพงอีกตั้งเยอะ…อย่างโจ๊กหอยเป๋าฮื้อ”
ผมบ่นพึมพำพลางตักโจ๊กใส่ปากหนึ่งคำ ผู้ชายคนนั้นหัวเราะเบา ๆ พร้อมส่ายหัว
“ไม่ชอบอาหารทะเลจนไม่เอาใกล้ปากด้วยซ้ำ แล้วจะสั่งหอยเป๋าฮื้อทำไม”
ผมจ้องผู้ชายคนนั้นโดยที่ยังอมช้อนอยู่ในปาก จนเขาถามว่ามีอะไร
“แค่รู้สึกว่าคุณดูรู้เรื่องผมดีมาก”
“นาย…จำไม่ได้จริงเหรอ”
“ผมก็บอกคุณแล้วนี่ครับ แถมใครกันล่ะที่บอกว่าผมความจำเสื่อมหรือไม่ก็สมองผิดปกติ”
ทีตอนนี้มาถามว่าจำไม่ได้เหรออย่างกับเป็นเรื่องใหม่ เขาจ้องผมคล้ายกับกำลังประเมินว่าพูดความจริงหรือเปล่า แล้วพึมพำออกมาว่าจะบ้าตายพร้อมกับส่ายหัว
“ขอโทษจริง ๆ นะครับ ว่าแต่…คุณเป็นใครเหรอ”
คำถามของผมทำให้ผู้ชายคนนั้นถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อ
“นอกจากชื่อว่าพอมจูโดน่ะครับ ผมสงสัยว่าทำไมที่ที่ผมตื่นขึ้นมาถึงเป็นบ้านของคุณจูโด ดูเหมือนคุณจูโดรู้เรื่องเกี่ยวกับผมละเอียดมาก แต่ผมจำอะไรเกี่ยวกับคุณจูโดไม่ได้เลย”
“คุณจูโด?”
“หรือว่า…คุณลุง”
“ลุงงั้นเหรอ”
“ถ้างั้นก็…พี่”
คิ้วของเขากระตุกทุกครั้งที่ผมพยายามพูดแก้ให้ถูก แล้วต้องเรียกว่าอะไรกันแน่ สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับเขามีแค่ชื่อพอมจูโดเท่านั้น ต้องรู้ก่อนสิว่าเป็นใคร ทำงานอะไร แล้วเกี่ยวข้องอะไรกัน ถึงจะใช้สรรพนามเรียกถูกไม่ใช่เหรอ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะเหมือนจะเป็นลม ดูท่าแล้วคงช็อกมากเหมือนกันที่ผมกลายเป็นแบบนี้ เขาเอาหน้าผากโขกโต๊ะดังตึงประมาณสองครั้ง
“เป็นแฟน”
หน้าผากของเขาแดงนิดหน่อย เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วพูดออกมาแบบนั้น ผมกะพริบตาปริบ ๆ ประมาณสองครั้งแล้วถามย้ำว่า ‘แฟนงั้นเหรอ’ พลางโบกมือพร้อมหัวเราะ เป็นการหัวเราะออกมาจริง ๆ ครั้งแรกหลังจากตื่นขึ้นมาเลย ผู้ชายคนนั้นคงรู้ว่าผมรู้สึกไม่ดีก็เลยตั้งใจจะทำให้ผมหัวเราะ
“ถึงจะเป็นการพูดเล่น แต่ก็ควรจะมีความน่าเชื่อ…”
“ทำไมถึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง”
เขาถามด้วยสีหน้าจริงจัง หน้าตาดูเหมือนไม่ได้ล้อเล่น นี่พูดเรื่องจริงเหรอ
“ผมไม่ได้เป็นเกย์”
“แน่ใจเหรอ”
เขายกริมฝีปากยิ้ม
“ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย”
คำพูดของผมทำให้สีหน้าของผู้ชายคนนั้นบูดบึ้ง แม้ไม่ใช่คำที่จะพูดต่อหน้าผู้ชายที่เพิ่งบอกว่าเป็นแฟนก็จริง แต่ว่าผมไม่ใช่เกย์จริง ๆ นี่ มีคนเพศเดียวกันมาบอกว่าเป็นแฟน จะให้ตอบรับง่าย ๆ ว่า ‘อย่างนั้นเองสินะครับ’ ก็ไม่ได้อยู่แล้ว
“งั้นนายชอบผู้หญิงรึไง”
“ครับ”
“ใครล่ะ”
ถ้าถามว่าชอบใครก็ตอบไม่ได้ในทันทีเพราะตอนนี้ไม่ได้มีผู้หญิงที่ชอบอยู่ แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็คงเป็นการเปิดช่องให้มองว่าอาจจะเป็นเกย์ได้ ต้องพยายามนึกถึงผู้หญิงที่เคยชอบในอดีต ไม่ต้องเป็นตอนนี้ก็ได้
“…คิวตี้เกิร์ล”
คิ้วของผู้ชายคนนั้นขยับไปมาราวกับงูที่มีชีวิตอย่างน่าทึ่ง ผมจ้องคิ้วที่ขมวดอย่างใจลอย ผู้ชายคนนั้นก็ถอนหายใจทางจมูกดังฮึ่ม
“นายใช้ผู้หญิงที่อยู่ในทีวีเป็นของช่วยปลดปล่อยรึไง”
“หา”
“ผู้หญิงที่ชื่อคิวตี้เกิร์ลอะไรนั่น หมายถึงนักร้องไม่ใช่เหรอ ฉันถามว่านายดูรูปเกิร์ลกรุ๊ปวงนั้นเวลาช่วยตัวเองเพื่อปลดปล่อยรึไง”
มันใช่เรื่องที่จะพูดในร้านอาหารซึ่งมีคนอื่นเข้าออกตลอดไหม คำพูดของผู้ชายคนนั้นทำให้ผมมองเขาด้วยสีหน้าตกตะลึงแล้วรีบยกมือขึ้นปิดหู คนที่พูดเรื่องลามกคือเขา แต่คนฟังอย่างผมกลับอายยิ่งกว่า
“ผู้หญิงที่ชอบจริง ๆ สิ ไม่ใช่ของช่วยพรรค์นั้น”
“ขะ…ของช่วย…”
ผมมองดูรอบ ๆ ด้วยความตกใจนิดหน่อย ค่อยยังชั่วที่เป็นตอนเช้า ลูกค้าในร้านอาหารเลยมีแค่ผมกับผู้ชายคนนั้นเท่านั้น อย่างน้อยพนักงานก็ไม่ได้สนใจบทสนทนาทางนี้ด้วย
“พูดแบบนั้นอย่างหน้าตาเฉยในสถานที่แบบนี้ได้ยังไงกันครับ”
“พูดแบบไหน”
“ก็ของช่วย…ชะ…ช่วยตัวเองเพื่อปลดปล่อยอะไรนั่น…”
ผมรีบตอบเสียงเบา เขากลับหัวเราะออกมา
“ถ้างั้นมีวิธีอื่นนอกจากช่วยตัวเองเพื่อปลดปล่อยรึไง จริงสิ นายคงปลดปล่อยด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดาสินะ”
ให้ตายเถอะ อาหารอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ต้องมาพูดเรื่องช่วยตัวเองหรือปลดปล่อยอะไรพวกนั้นด้วยหรือไง ผมมองค้อนผู้ชายคนนั้น แล้วตักโจ๊กกินทำเป็นไม่ได้ยิน
“เอาเป็นว่า ผมไม่ใช่เกย์แล้วกันครับ”
“งั้นก็คงกลายเป็นเกย์ในช่วงระหว่างสี่ปี”
“ไม่…”
“จำอะไรไม่ได้แล้วกล้ายืนยันได้ยังไง”
ผมจะพูดว่าไม่ใช่ แต่ที่พูดปฏิเสธไม่จบประโยคเป็นเพราะคิดขึ้นมาว่า บางที แค่บางทีจริง ๆ อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะผมไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง แล้วตัวผมเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
“เป็นแฟน…จริง ๆ เหรอครับ ไม่ได้พูดเล่นจริง ๆ น่ะเหรอ”
“ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ ถ้าไม่ใช่แฟน นายคิดว่าทำไมนายถึงมานอนและตื่นขึ้นมาที่บ้านฉันได้ ทำไมฉันต้องมาฟังเรื่องไร้สาระของนายตั้งแต่เช้ามืด พานายไปทุกที่ ทั้งที่จัดงานศพโดยที่รู้ว่างานนั่นไม่ใช่ของแม่นาย ทั้งพาไปสุสานของแม่นาย คิดว่าเพราะฉันเบื่อรึไง หรือเพราะฉันโง่”
จะว่าไปเขาก็อุ้มผมไปที่นั่นที่นี่โดยไม่อายเลยด้วย ถ้าไม่ใช่แฟน แต่เป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักกันเลยคงไม่อุ้มกันแบบนั้น ผมจ้องหน้าผู้ชายคนนั้นพลางคิดว่าทำไมถึงจำไม่ได้ เขาเท้าคางแล้วจ้องผมกลับเหมือนกัน
“พอมองดี ๆ แล้วคงคิดว่าฉันหล่อละสิ เหมือนตกหลุมรักอีกครั้งใช่ไหม”
“ผมไม่ได้มองแบบนั้นสักหน่อย มั่นใจจังเลยนะครับ”
“ประมาณนี้ก็ถือว่าหล่อไม่ใช่เหรอ ไปที่ไหนก็เหมือนจะมีแต่คนหลง”
ก็ใช่ เขาหล่อจริง ๆ หน้าตาดูดีถึงขนาดไปไหนก็คงมีแต่คนหลง ไม่สิ ผู้หญิงคงต่อแถวเดินตามเป็นขบวนเลยละ แล้วทำไมผู้ชายหน้าตาดีขนาดนี้ถึงเป็นแฟนผมได้ล่ะ ถึงจะไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่พอมองหน้าหล่อ ๆ ของเขาที่ถึงขั้นน่าอิจฉาก็คิดขึ้นมาว่า เพราะหล่อขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้ชายเหมือนกันก็คงยอมเป็นแฟนได้ละมั้ง ผมอาจจะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับหน้าตาก็ได้
“เพราะงั้นเลยอยู่ด้วยกันเหรอครับ…เพราะเป็นแฟนกันน่ะเหรอ”
“ถ้าถามว่าอยู่ด้วยกันรึเปล่า คำตอบก็คือใช่ ถึงนายจะเป็นผู้อาศัยก็เถอะ”
เป็นคำพูดที่แรงมาก ทั้ง ๆ ที่บอกว่าเป็นแฟนกัน แต่พูดว่าผมเป็นผู้อาศัยเนี่ยนะ
“ท่าทางความสัมพันธ์จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ”
“…ทำไมคิดแบบนั้น”
คำพูดของผมทำให้ผู้ชายคนนั้นทำหน้านิ่งในทันทีแล้วถามกลับ คิ้วที่เคยขมวดก็นิ่งค้าง ดูท่าทางสับสนมากกว่าโกรธหรืออารมณ์เสีย หรือว่าผมเดาถูก ผมใช้มือเกาหน้าดังแกรก ๆ นึกถึงการพบกันครั้งแรกขึ้นมา
“บรรยากาศ…ตอนแรกที่ผมตื่นขึ้นมาน่ะครับ บรรยากาศตอนนั้นดูไม่ได้หอมหวานถึงขนาดที่จะบอกว่าเป็นแฟนกัน เพราะคุณน่ากลัวนิดหน่อย”
ผมพูดประโยคสุดท้ายออกไปเบา ๆ ผู้ชายคนนั้นก็ถอนหายใจเบามากจนแทบไม่ได้ยินแล้วใช้ฝ่ามือถูแก้ม
“คงจะทะเลาะกันสินะครับ”
“ไม่ได้ทะเลาะ นายโมโหอยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก”
“ผมไม่มีทางโมโหโดยไม่มีเหตุผล คุณทำอะไรผิดล่ะครับ”
คำพูดของผมทำให้ผู้ชายคนนั้นถอนหายใจแล้วเดาะลิ้น
“นายโมโหโดยไม่มีเหตุผล”
“อะไรนะครับ”
“นายน่ะ ชอบโมโหโดยไม่มีสาเหตุอยู่บ่อย ๆ นอกจากอารมณ์ร้ายแล้วยังเอาแต่ใจอีก”
“เห็นว่าผมจำอะไรไม่ได้ก็เลยใส่ความให้ผมดูเป็นตัวประหลาดสินะครับ”
“นายต่างหากที่ใช้เรื่องความจำเสื่อมมาเป็นข้อแก้ตัว ขี้ขลาดชะมัด”
ผู้ชายคนนั้นรู้เกี่ยวกับผมหลายเรื่องก็จริง แต่นิสัยของผมที่เขาพูดต่างจากที่ผมรู้ ผมไม่เคยอารมณ์ร้ายขนาดนั้นแล้วก็ไม่เคยโมโหโดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้เอาแต่ใจด้วย ถึงจะไม่ได้เชื่อคำพูดของเขาทั้งหมด แต่ถ้าคำพูดของเขาเป็นความจริง ทั้งคนรอบข้างรวมถึงตัวผมคงเปลี่ยนไปมากในระยะเวลาสี่ปี
“ถ้าอย่างนั้นที่ตอนนี้ผมกับพ่อไม่ถูกกัน…ก็เป็นเพราะเรื่องนี้รึเปล่าครับ เพราะผมกับคุณ…ชอบกัน”
ผู้ชายคนนั้นเบิกตากว้างเพราะคำพูดของผม สีหน้าดูเหมือนตกใจหรือไม่ก็สับสนนิดหน่อย ผมพูดอะไรผิดเหรอ ลองทบทวนสิ่งที่พูดออกไปก็ไม่มีจุดไหนที่ผิดแปลก แล้วทำไมเขาถึงทำหน้าแบบนั้น
ตอนที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมา เขาทำเหมือนเป็นคนเย็นชาสุด ๆ แต่ตอนนี้สีหน้าของเขาหลากหลายจนน่าแปลกใจ ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย แต่เพราะนั่งอยู่ตรงข้ามจึงเห็นความแตกต่างนั้นชัดเจน
“ถูกเหรอครับ”
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำหน้าแบบนั้น แต่คิดว่าคงเป็นเพราะคนที่เขาบอกว่าความจำเสื่อมอย่างผมเดาเหตุผลได้ถูกต้อง ผู้ชายคนนั้นพยักหน้าราวกับเห็นด้วยกับความคิดของผม
“จะว่าแบบนั้น…ก็ได้”
“แล้วสรุปว่าใช่หรือไม่ใช่ คำตอบกำกวมมากเลยนะครับ”
“สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เรียบง่ายถึงขนาดที่จะรวบรัดในคำพูดเดียวได้นี่”
ไม่ใช่คำพูดที่ผิดเสียทีเดียว แต่คำตอบของเขาทิ้งความค้างคาใจที่ไม่รู้สาเหตุเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่ามีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า หมายความว่ามีเรื่องบางอย่างถึงขนาดที่ทำให้ตอนนี้ผมกับพ่อไม่เจอหน้ากันเหรอ
แม้อยากถามต่อ แต่ผู้ชายคนนั้นดูจะเลี่ยงตอบเรื่องที่เกี่ยวกับพ่ออย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนเขาไม่ค่อยชอบพ่อด้วย อาจจะมีปัญหาระหว่างเขากับพ่อก็ได้ แต่ก็นะ จะมีพ่อแม่คนไหนชอบที่ลูกตัวเองชอบคนเพศเดียวกัน ทั้งยังอยู่กินด้วยกันอีก พ่อคงคัดค้านเต็มที่ อาจจะทะเลาะกับผู้ชายคนนั้นใหญ่โตก็ได้ และการที่ตอนนี้ผมอยู่กับผู้ชายคนนั้น คงเป็นเพราะหนึ่งในสองเหตุผลคือ พ่อยอมลดทิฐิ หรือไม่ผมก็ตัดสินใจออกจากบ้านมาอยู่กับเขาโดยไม่สนใจคำทัดทานของพ่อ ถ้าเป็นแบบนั้นแน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับผม รวมถึงกับผู้ชายคนนั้นต้องไม่ดีแน่นอน
ผมใช้สมองขบคิดไปทีละอย่าง แต่ผู้ชายคนนั้นกลับจ้องผมไม่ลดละ เขากำลังทำสีหน้าที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ไม่ได้ยิ้มเยาะที่ผมนั่งเหม่อ ไม่ใช่สีหน้าหงุดหงิด แล้วก็ไม่ใช่สีหน้าไร้ความรู้สึกด้วย ถ้าให้อธิบายก็คือดูเป็นทุกข์มากกว่า ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นกันนะ สีหน้าเหมือนกำลังเหม่อลอยนึกถึงอะไรไปไกลทั้ง ๆ ที่ผมก็นั่งอยู่ตรงหน้า
“พอลองดูดี ๆ ก็คิดว่าผมหล่อใช่ไหม เหมือนจะตกหลุมรักอีกครั้งเลยรึเปล่าครับ”
“ว่ายังไงนะ”
“ผมไปที่ไหนก็มีแต่คนชมเหมือนกัน เคยมีคนบอกว่าผมหล่อที่สุดในโลกด้วย”
“ใคร”
“แม่ของผม”
ผมพูดแล้วหลบตา ผู้ชายคนนั้นยิ้มเยาะราวกับบอกว่าอย่ามาตลกแล้วเงียบไป ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกเศร้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความเศร้าให้คนอื่นเห็น ผมยิ้มเหมือนไม่เป็นอะไรพลางเงยหน้ามองผู้ชายคนนั้น
“ตอนแรกก็ไม่รู้ตัว แต่พอมองดูดี ๆ ตอนนี้ผมน่าจะดูประหลาดคนมากแน่ ๆ เพราะใส่เสื้อโค้ตกับกางเกงนอน เท้าข้างหนึ่งพันผ้าพันแผล แถมใส่สลิปเปอร์อีก คนอื่นคงคิดว่าผมเป็นคนบ้า”
“ไหน ใครมองว่านายเป็นคนบ้า”
ผู้ชายคนนั้นจิ๊ปากแล้วบอกว่าเหลวไหล ทั้ง ๆ ที่ตัวเองนั่นแหละที่หาว่าผมเป็นบ้าเพราะจำอะไรไม่ได้
“น่ารัก”
เขายื่นมือออกมากุมที่แก้มผม นิ้วโป้งลูบแถว ๆ ริมฝีปาก ผมหน้าแดงเพราะการกระทำที่คาดไม่ถึงของเขา ความรู้สึกเหมือนตอนกำลังแอบมองการแสดงความรักของคนอื่นผุดขึ้นมาในทันที แม้ว่าอีกฝ่ายที่ผู้ชายคนนั้นกำลังส่งความรักให้จะเป็นตัวผมเองก็ตาม แต่นั่นเป็นตัวผมที่ผมไม่รู้จัก ความจริงนั้นทำให้รู้สึกผิดต่อเขาและรู้สึกแปลกเอามาก ๆ
“ต่อให้นายตื่นมาแล้วผมยุ่งเหมือนรังนก มีคราบน้ำลายไหลเพราะไม่ได้อาบน้ำ ต่อให้มีขี้ตาก็ยังน่ารัก ไม่มีใครมองว่านายเป็นคนบ้าหรอก”
นี่เป็นคำหวานของคู่รักที่หวานชื่นมาก ๆ แต่ตัวผมที่กำลังฟังคำพูดนั้นอยู่ในขณะนี้ไม่อาจเคลิบเคลิ้มไปกับความหอมหวานนั้นได้เลย คำพูดของเขาทำให้ผมหลบตาไปทางอื่นแล้วใช้นิ้วมือเช็ดขี้ตาออก ใช้ผ้าเปียกเช็ดรอบคางกับปากเพราะอาจจะมีคราบน้ำลายติดอยู่ แล้วก็ใช้นิ้วมือสางผมด้วย
“อย่าแกล้งสิครับ”
“ฉันจะแกล้งนายทำไม”
บางที…เราอาจจะเป็นแฟนกันอย่างที่เขาบอกจริง ๆ ก็ได้ เพราะถ้าไม่ใช่ เขาคงไม่มีทางพูดแบบนั้นได้อย่างหน้าตาเฉย ถึงจะตกใจเพราะคำพูดคำจาเลี่ยนเกินคาด แต่ถ้าเป็นแฟนกันก็คงพูดได้หมด
“ผม…อยากกลับแล้วครับ ถึงผมจะดูดีก็จริง แต่ถึงยังไงก็คงใส่ชุดนอนไปไหนมาไหนไม่ได้อยู่ดี”
ผมพูดแบบนั้นเพื่อกะจะให้ขำ แต่เขากลับไม่ขำแถมจ้องผมจนแทบจะทะลุ เขาเม้มปากแน่น ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงราวกับกำลังอดกลั้นบางอย่างอยู่
“พูดอีกทีซิ…เมื่อกี้พูดว่าอะไร”
เขาหลับในหรือเปล่า ผมเอียงคอมองผู้ชายคนนั้นที่สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังไงก็คงเป็นความผิดของผมที่ลากคนดื่มเหล้าไปนู่นมานี่ตั้งแต่เช้ามืด
“ผมบอกว่าอยากกลับแล้วครับ คงเป็นเพราะไปที่นั่นที่นี่ตั้งแต่เช้ามืด สีหน้าคุณก็ดูไม่ค่อยดีด้วย”
“อ้อ โอเค ไปสิ”
เขารีบร้อนลุกจากเก้าอี้ทันที คนที่ดูเป็นปกติดีมาตลอด จู่ ๆ ทำไมเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้ เขาเดินไปจ่ายเงินก่อนกลับมาหยุดยืนตรงหน้าผม สอดมือเข้ามาระหว่างรักแร้แล้วยกตัวผมลอยขึ้นรวดเดียว
เป็นเพราะเมื่อกี้ได้ยินว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า ตอนนี้ถึงได้รู้สึกเคอะเขินกับการกระทำของเขา รู้สึกเหมือนผมกำลังฉกฉวยความรักที่ควรเป็นของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวผมเองมา แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นตัวผมที่ผมไม่รู้จัก แต่ความจริงแล้วก็คือตัวผมอยู่ดี นั่นทำให้ใบหน้าเห่อร้อนชอบกล ต่างจากความรู้สึกตะขิดตะขวงใจก่อนหน้านี้เลย และคงเป็นเพราะถูกเขาอุ้มไปที่นั่นที่นี่ตั้งแต่ตอนเช้ามืดก็เลยเริ่มคุ้นเคยมากขึ้น เริ่มรู้สึกผ่อนคลายอยู่บนบ่าของผู้ชายที่อุ้มผมไว้ด้วยแขนสองข้าง เขาใช้มือที่แข็งแรงมั่นคงเป็นฐานรองใต้ก้นผม แล้วเดินออกจากร้านโจ๊ก