เล่ห์รักประมุขพรรคมาร 杨书魅影
南风歌 หนานเฟิงเกอ เขียน
เจ้าเจิน แปล
นิยาย 3 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
** หมายเหตุ : ต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ mpreg (เพศชายตั้งครรภ์ได้) , among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา) , angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน) , coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ) , corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย) , death (การตาย) , depression (ภาวะซึมเศร้า) , gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) , massacre (การสังหารหมู่) , mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ) , rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม) , suicide (การฆ่าตัวตาย) , torture (การทรมาน) , underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์) and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
________________________________________________________
บทที่ 1.2
หลังจากฉู่เฟยหยางได้พบหยวนคังโซ่วแล้ว ก็รุดไปยังตระกูลซ่งเพื่อตรวจสอบภายในวันนั้นทันที
เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพรรคเทียนอี การสืบสวนจึงง่ายขึ้นมาก ฉู่เฟยหยางเข้าใจต้นสายปลายเหตุได้อย่างรวดเร็ว
จวินซูอิ่ง ทูตซ้ายแห่งพรรคเทียนอีมีใจทะเยอทะยานต่อการแย่งชิงตำแหน่งมานานแล้ว ซ่งจงเหรินทำการค้าขายอย่างสุจริตในที่แจ้ง แต่ลับหลังกลับสมคบคิดกับจวินซูอิ่ง จวินซูอิ่งช่วยตระกูลซ่งขยับขยายเส้นทางแห่งความร่ำรวย ได้รับเงินสกปรกมาไม่น้อย ส่วนซ่งจงเหรินติดตามและจับกุมช่างเหล็กในจงหยวนเพื่อหลอมอาวุธให้จวินซูอิ่ง ทั้งยังให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่เขา
ต่อมาซ่งจงเหรินรู้ว่าความทะเยอทะยานของจวินซูอิ่งไม่ใช่เพียงแค่ตำแหน่งประมุขพรรค เป้าหมายสุดท้ายของอีกฝ่ายคือยุทธภพจงหยวน ซ่งจงเหรินรู้ดีว่ายุทธภพจงหยวนมีผู้เก่งกาจมากมาย จึงถูกจิตใจใฝ่สูงที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำของอีกฝ่ายทำให้หวาดกลัว เขาต้องการตีจาก สุดท้ายกลับถูกจวินซูอิ่งฆ่าล้างตระกูลด้วยวิธีการโหดเหี้ยม
“ช่างเป็นพวกโหดร้ายเลือดเย็นจริงๆ” ฉู่เฟยหยางยืนอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลซ่งที่ปิดตาย ตัวเขาเคยมาเยือนบ้านตระกูลซ่งแห่งนี้ ในตอนนั้นคึกคักมีสีสันยิ่งนัก ตอนนี้กลับเหลือเพียงซากปรักหักพังท่ามกลางสายลมหนาวเย็น
“ท่านคือ…” น้ำเสียงประหม่าเสียงหนึ่งดังขึ้น ฉู่เฟยหยางหันไปตามเสียงนั้น ขอทานในชุดขาดวิ่นใบหน้าสกปรกมอมแมมยืนขึ้นตรงมุมกำแพง มองมายังเขา “ท่านคือฉู่เฟยหยางใช่หรือไม่ ฉู่เฟยหยางแห่งสำนักกระบี่ชิงเฟิง ขะ…ข้าเคยพบท่านมาก่อนหน้านี้”
ฉู่เฟยหยางไม่เข้าใจ ทำเพียงพยักหน้าพลางยิ้มให้เล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ข้าน้อยคือฉู่เฟยหยาง ท่านมีเรื่องอันใดหรือ”
จู่ๆ ขอทานผู้นั้นก็ร้องไห้โฮ โผเข้ากอดฉู่เฟยหยางแน่น “ท่านจอมยุทธ์ฉู่ ข้าขอร้องท่าน แก้แค้นให้ตระกูลซ่งของข้าทีเถิด! ข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจฆ่าศัตรูของตนได้เอง แม้แต่หน้าของเขาข้าก็ไม่อาจพบ! ทุกวันต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าจะถูกฆ่า พวกเขาบอกว่าท่านเกลียดชังความชั่ว มีสัจจะคุณธรรม ข้าตามหาท่านหลายวันแล้ว ตั้งแต่บ้านตระกูลเหมย จวนผู้นำหยวน จวบจนสำนักกระบี่ชิงเฟิง แต่ก็หาท่านไม่พบ! สวรรค์มีตาให้ข้าได้มาเจอท่านที่นี่! ท่านมาที่นี่เพราะต้องการแก้แค้นให้ตระกูลซ่งของพวกเราใช่หรือไม่” ขอทานร้องไห้อย่างตื่นเต้น ทั้งร้องทั้งพูด ฉู่เฟยหยางทำได้แค่ปลอบประโลมเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
รอกระทั่งขอทานผู้นั้นร้องไห้จนเหนื่อยและเงียบเสียงลงแล้ว ฉู่เฟยหยางจึงเอ่ยถามอย่างช้าๆ ถึงได้รู้ว่าเดิมทีขอทานผู้นั้นคือซ่งหลันอวี้ที่โชคดีหลบหนีออกมาได้
ฉู่เฟยหยางเคยพบซ่งหลันอวี้ครั้งหนึ่งในตอนที่เขามาเยือนตระกูลซ่งก่อนหน้านี้ รู้ว่าซ่งหลันอวี้คือบัณฑิตคร่ำครึผู้รู้เพียงการแต่งโคลงกลอน ไร้ทักษะการต่อสู้ และยิ่งไม่รู้เรื่องการค้าขาย ฉู่เฟยหยางเดาว่าเขาพูดออกมาหมดเปลือกอย่างทนไม่ไหว คงเพราะไม่รู้เรื่องที่บิดาของตนทำเรื่องผิดศีลธรรมอย่างลับๆ
“ท่านจอมยุทธ์ฉู่ ขะ…ข้าในตอนนี้ไม่มีทรัพย์สินใดแล้ว หากท่านช่วยข้าสังหารศัตรูได้ ข้าซ่งหลันอวี้ขอเป็นทาสรับใช้เพื่อตอบแทนท่านทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า ในชาตินี้และชาติหน้า!” ซ่งหลันอวี้มองเขาด้วยสีหน้าสัตย์ซื่อระคนโศกเศร้า
ฉู่เฟยหยางปลอบโยนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “คุณชายซ่งกล่าวเกินไปแล้ว แม้ท่านไม่ขอ แต่เป้าหมายของจวินซูอิ่งคือยุทธภพจงหยวน ข้าย่อมไม่นิ่งนอนใจ ท่านรออย่างวางใจเถิด ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลซ่งเอง”
ซ่งหลันอวี้กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ เขาคุกเข่าลงกับพื้น ฉู่เฟยหยางรีบประคองขึ้นทันที “คุณชายซ่งอย่าทำเช่นนี้เลย เมื่อก่อนข้าน้อยเคยได้รับความเมตตาจากตระกูลซ่ง ถือว่าข้าตอบแทนบุญคุณก็แล้วกัน ตอนนี้จวินซูอิ่งน่าจะรู้แล้วว่าท่านรอดไปได้ ท่านอยู่ข้างนอกคนเดียวอันตรายเกินไป จะยินยอมตามข้ากลับไปซ่อนตัวอยู่ที่สำนักกระบี่ชิงเฟิงสักระยะหนึ่งหรือไม่”
เมื่อก่อนซ่งหลันอวี้เป็นคุณชายผู้กินดีอยู่ดีมาตลอด ตอนนี้กลับเร่ร่อนอยู่ข้างนอกตามลำพัง ต้องหวาดกลัวตัวสั่นอยู่ทุกขณะ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องทนไม่ไหวแน่นอน ข้อเสนอของฉู่เฟยหยางตรงตามที่เขาปรารถนาพอดี จึงกล่าวขอบคุณฉู่เฟยหยางอีกหลายครั้ง
ฉู่เฟยหยางคุ้มกันซ่งหลันอวี้กลับสำนักกระบี่ชิงเฟิงด้วยตนเองแล้ว ก็กลับออกไปอีกครั้งทันที
ฉู่เฟยหยางมีแผนในใจเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จวินซูอิ่งเพิ่งช่วงชิงตำแหน่งประมุขพรรคมาได้ไม่นานนัก ภายในพรรคย่อมวุ่นวาย เพียงแค่เขาปลิดชีพจวินซูอิ่งได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าพรรคเทียนอีจะไม่เกิดความโกลาหล แม้ล้มพรรคเทียนอีไม่ได้ในครั้งเดียว แต่ก็ได้สร้างบาดแผลใหญ่ หากภายหน้าเขาต้องการประมืออีก ย่อมง่ายดายยิ่งขึ้น
ฉู่เฟยหยางรีบเร่งควบม้าทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อน ไม่กี่วันก็ถึงเขาชางหลาง ในพรรคเทียนอีตอนนี้สถานการณ์ระส่ำระสาย ฉู่เฟยหยางเปลืองแรงไม่เท่าไรก็สามารถแทรกซึมเข้าไปได้
เขาสังเกตการณ์อยู่ภายในพรรคสองสามวัน สำรวจพื้นที่กว้างขวางของพรรคเทียนอี การเฝ้าเวรยามภายในพรรคก็ล้วนคำนวณจนกระจ่างเช่นกัน
ตอนที่ฉู่เฟยหยางได้พบหน้าประมุขคนใหม่ของพรรคเทียนอี เขากำลังลงโทษลูกน้องที่ไม่เชื่อฟัง
เสาไม้สิบกว่าต้นถูกตั้งไว้บนสนามฝึก ชายหนุ่มที่ทำภารกิจไม่สำเร็จถูกมัดติดกับเสานั้น ก่อนจะถูกเฆี่ยนตีทั่วร่างกายจนสิ้นใจ โทษทรมานดำเนินไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่า เสียงกรีดร้องแหลมที่ดังก้องและร่างคนบนเสาไม้ที่ชักกระตุกอย่างเจ็บปวดรวดร้าวสุดขีดทำให้ประมุขผู้นั้นแสยะยิ้มออกมาบนใบหน้างามสง่า
แม้คนพรรคเทียนอีพวกนั้นไม่ใช่คนดีอะไร ยามปกติก่อกรรมทำชั่วเป็นนิจ สมควรได้รับผลกรรมเช่นนี้ แต่ฉู่เฟยหยางก็ยังมองจนคิ้วขมวด
จวินซูอิ่งผู้นั้นราวกับกระหายเลือดก็ไม่ปาน ทั้งยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งเรื่องไม่สำคัญก็ทำให้เขาหัวเสียโกรธเกรี้ยว ลงโทษสังหารคนไม่เลือกหน้า แต่ไหนแต่ไรมาฉู่เฟยหยางไม่เคยพบคนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ แม้เป็นบุรุษผมยาวที่จงรักภักดีอย่างสุดใจผู้ซึ่งอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา เมื่อพบเขาบางครั้งก็ยังต้องระมัดระวังอย่างมาก
ต่อให้ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของยุทธภพจงหยวน คนโหดเหี้ยมเช่นนี้ก็ปล่อยไว้ไม่ได้
ภายใต้สถานการณ์ที่ศัตรูอยู่ที่แจ้งตนเองอยู่ที่มืด หากฉู่เฟยหยางคิดจะสังหารใครสักคนก็ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ
ทว่านับแต่ตั้งแต่เด็กเขาถูกท่านอาจารย์สั่งสอนว่าการต่อสู้ควรทำอย่างเปิดเผย การกระทำลับๆ ล่อๆ จึงเป็นเรื่องไม่คู่ควร
โชคดีที่วรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่ง ในยุทธภพแทบไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้ เขาจึงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างมือเท้าครบคู่ กระนั้นยามเที่ยวเร่ร่อนในยุทธภพช่วงแรก ฉู่เฟยหยางมักถูกคนต่ำทรามลอบทำร้ายลับหลัง ทั่วร่างกายบาดเจ็บบอบช้ำสาหัสเป็นประจำ ครั้งนั้นก็ยังเป็นซิ่นอวิ๋นเซินในวัยเด็กที่ร้องห่มร้องไห้ด้วยความกังวลและปวดใจ ก่นด่าน้ำตาไหลพรากว่าเขาไม่รู้จักปรับตัวจนหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนเอง ฉู่เฟยหยางในตอนนั้นทั้งกล่าวขอโทษทั้งปลอบใจอย่างนุ่มนวล แต่หลังจากจบเรื่องก็หาได้มีการเปลี่ยนแปลงไม่
ครั้งนี้ฉู่เฟยหยางก็ยังคงส่งจดหมายท้าประลองไปยังจวินซูอิ่งอย่างเปิดเผย ตัวอักษรในจดหมายสง่างามประณีต ข้อความง่ายๆ ได้ใจความว่า วันที่สิบ ยามอู่ [1] ยอดเขาชางหลาง จากฉู่เฟยหยาง สำนักกระบี่ชิงเฟิง
จวินซูอิ่งปราดมองจดหมายท้าประลองแวบหนึ่งก็ส่งเสียงหึออกมา ขยำจดหมายแผ่นนั้นไว้ในอุ้งมือ ก่อนจะยื่นออกไปนอกหน้าต่าง ผงสีขาวละเอียดค่อยๆ ร่วงลงปลิวสลายไปกับสายลม
เกาฟั่งเอ่ยอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “ฉู่เฟยหยางผู้นี้วรยุทธ์เก่งกล้า ชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ เขามาครั้งนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดี พวกเราจะรับมืออย่างไรหรือ”
จวินซูอิ่งกระตุกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง
การแสดงออกเช่นนั้นไม่อาจเรียกว่าเป็นรอยยิ้ม มันแฝงไปด้วยการดูถูกและเฉยชา ทั้งยังมีความบิดเบี้ยวจากการปรารถนาบางสิ่งอย่างรุนแรง
“เขากล้าส่งจดหมายท้าประลองมาให้ประมุขอย่างข้า คิดว่าข้าจะไม่กล้าประลองฝีมือด้วยโดยลำพังหรือ แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยสังหารคนดีด้วยสิ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าผู้เที่ยงธรรมในเลือดของเขาจะมีรสชาติแตกต่างอย่างไร” จวินซูอิ่งพูดอย่างเชื่องช้า หยิบมีดสั้นกะทัดรัดที่ใช้ปักจดหมายเข้ากับโต๊ะไม้ขึ้นมาลูบไล้อย่างทะนุถนอมราวกับกำลังปฏิบัติต่อสิ่งของล้ำค่า แววตาเป็นประกาย แต่กลับดูบ้าคลั่งต่างจากการกระทำที่อ่อนโยนอย่างสิ้นเชิง
“ท่านประมุข ท่านไปตัวคนเดียวอันตรายเกินไป ให้ข้าไปกับท่านเถิด” เกาฟั่งยังคงโน้มน้าวอีกครั้ง จวินซูอิ่งปรายตามองเขาอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง
เกาฟั่งชะงักเล็กน้อย พลางกลืนคำพูดที่เหลือ “เช่นนั้นท่านโปรดระวัง”
“อืม”
ฉู่เฟยหยางยืนอยู่บนยอดเขาชางหลาง ลมบนเขาพัดโหมกระหน่ำ พัดจนเสื้อของเขาปลิวไสวอย่างแรง
จวินซูอิ่งโฉบขึ้นเขามาอย่างคล่องแคล่ว ร่อนตัวลงตรงหน้าฉู่เฟยหยาง ใต้ฝ่าเท้าไม่มีเศษฝุ่นปลิวว่อนแม้แต่น้อย
เขาเผชิญหน้ากับบุรุษหนุ่มในชุดสีฟ้าเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ท้องฟ้าเหนือหน้าผาชันเป็นสีฟ้าโดดเด่นเกินหน้าเกินตา เขายืนอยู่ตรงนั้น รูปร่างที่สูงสง่าแผ่ความรู้สึกดูหมิ่นใต้หล้าออกมาอย่างไร้เหตุผล
จวินซูอิ่งกระตุกยิ้มหนึ่งครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ฉู่เฟยหยาง เขาชางหลางของข้านี้สวรรค์ประทานความงดงามมาให้ เจ้าช่างเลือกสถานที่สุดท้ายของชีวิตเจ้าได้ดียิ่งนัก”
ฉู่เฟยหยางยิ้มเล็กน้อย “ประมุขจวินต้อนรับดียิ่งนัก นี่คือวิธีดูแลแขกของพรรคเทียนอีหรือ”
“ก็แค่การสังหารสัตบุรุษจอมปลอมอย่างพวกเจ้าต้องทำให้ดูดีเสียหน่อย ต้องการให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าก่อนหรือไม่ จอมยุทธ์ฉู่” จวินซูอิ่งเพิ่งพูดได้ครึ่งหนึ่งก็ชักอาวุธออกมาจู่โจมทันที การเคลื่อนไหวปราดเปรียวดุดันดุจสายฟ้าแลบ
ฉู่เฟยหยางคิดไม่ถึงเลยว่าจวินซูอิ่งในครู่ก่อนยังยืนด้วยท่าทีสบายๆ ใบหน้าซ่อนยิ้มพูดคุยกับเขาอยู่แท้ๆ ครู่ต่อมากลับเข้าโจมตีในทันทีทันใดจนเขาไม่ทันได้ชักกระบี่ออกมา รู้สึกแค่ลมพัดปะทะใบหน้า ห่อหุ้มทั้งร่างกายของเขาไว้ แล้วบีบรัดอย่างรุนแรง ทำได้เพียงใช้ฝักกระบี่ฝืนทนตั้งรับ สะสมกำลังภายในให้เพียงพอจนรู้สึกว่าฝ่ามือสั่นอย่างรุนแรงแล้ว ก็ซัดแรงมหาศาลออกไป
จวินซูอิ่งโจมตีพลาดก็ถอยหลังผละออกทันทีราวกับภูตผี ก่อนจะร่อนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล
“กำลังภายในดี” เขายิ้มพร้อมเอ่ยชม แต่ในน้ำเสียงกลับต้องเค้นลอดไรฟันเล็กน้อย
ฉู่เฟยหยางเพิ่งเห็นชัดว่าที่มือของอีกฝ่ายถืออยู่คือขลุ่ยไม้ไผ่สีเขียวมรกต งดงามเรียบง่าย
ทว่าตอนนี้หาใช่เวลาชื่นชมอาวุธของศัตรูไม่ ฉู่เฟยหยางชักกระบี่ในมือออกมา ตัวกระบี่สะท้อนแสงดุจธารา
“โหดเหี้ยมอำมหิตดังคาด เดิมทีข้าคิดว่าอย่างน้อยประมุขพรรคเทียนอีคงเป็นคนที่น่าเกรงขาม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนเลวทรามต่ำช้าเพียงนี้” ฉู่เฟยหยางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ชี้ปลายกระบี่ไปทางจวินซูอิ่ง “วันนี้ ข้าสาบานจะต้องกำจัดภัยร้ายเพื่อยุทธภพให้ได้”
ห่างกันอยู่หลายจั้ง [2] จวินซูอิ่งกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าบนกระบี่ล้ำค่าที่คมกริบนั้นแผ่ไอสังหารรุนแรงดุเดือดออกมา เมื่อครู่ยังเป็นบุรุษที่นุ่มนวลดุจสายน้ำ พริบตาเดียวกลับเพิ่มพลังข่มขวัญคนเฉกเช่นกระบี่ในมือของเขา
จวินซูอิ่งส่งเสียงหึ ขาซ้ายเหยียบพื้นเบาๆ ทะยานขึ้นสู่ฟ้า กวัดแกว่งขลุ่ยไม้ไผ่ในมืออยู่กลางอากาศ ไอจากขลุ่ยรุนแรงหลายสายกระจายเป็นรูปพัดพุ่งแทงไปทางฉู่เฟยหยาง
ฉู่เฟยหยางวาดกระบี่ในมือออก กำจัดพลังรุนแรงที่โอบล้อมเข้ามา ไม่ทันเห็นว่าเขาเคลื่อนที่อย่างไร ราวกับหายตัวไปอย่างฉับพลัน บนพื้นดินไร้ซึ่งร่องรอย ครู่ต่อมากลับปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าจวินซูอิ่ง พร้อมกับความรู้สึกกดทับที่หนักนับพันจวิน [3] ฉู่เฟยหยางกวัดแกว่งกระบี่จากล่างฟันย้อนขึ้นด้านบน องศาพลิกกลับอย่างแปลกประหลาด
เกิดเสียงเคร้ง เป็นเสียงของกระบี่ปะทะเข้ากับขลุ่ยไม้ไผ่ สองคนเพียงโจมตีก็แยกออกจากกันทันที ต่างคนต่างลอยถอยไปด้านหลัง
ในใจจวินซูอิ่งแอบตกตะลึง กำลังภายในของฉู่เฟยหยางเหนือกว่าเขาอย่างชัดเจน แม้แต่วิชาตัวเบาก็รวดเร็วกว่าเขาหนึ่งขั้น ท่วงท่ารวดเร็วดุจภูตผีปีศาจเช่นนั้น จวินซูอิ่งยอมรับว่าตนไม่อาจรับมือได้ อันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ นับว่าไม่เสียชื่อโดยแท้
ขณะที่ฉู่เฟยหยางล่าถอยออกไปก็วาดกระบี่ปล่อยไอออกมาหลายสาย ไอกระบี่รุนแรงนั้นโจมตีมาทางจวินซูอิ่ง ด้วยรูปร่างอสนีบาตหมื่นจวิน เป็นกระบวนท่าที่เขาใช้เมื่อครู่ แต่ขุมพลังเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด จวินซูอิ่งไม่กล้าฝืนตนตั้งรับ ทำได้เพียงหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็วอยู่กลางอากาศ
ไหนเลยจะรู้ว่าฉู่เฟยหยางจะปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาภายในพริบตา ก่อนจะแทงกระบี่คมเข้ามา จวินซูอิ่งทำได้เพียงป้องกันอย่างรีบร้อน สองคนแลกเปลี่ยนหลายกระบวนท่าอยู่บนน่านฟ้า เสียงอาวุธกระทบกระทั่งดังไม่หยุดหย่อน ถี่กระชั้นดุจดั่งสายฝน
แต่ไหนแต่ไรมาจวินซูอิ่งไม่เคยพบเจอคนที่ใช้เพลงกระบี่ได้รวดเร็วเช่นนี้มาก่อน เขาถึงขั้นคิดอย่างหวาดกลัวว่าความเร็วประเภทนั้นไม่ใช่ความสามารถที่มนุษย์จะเอื้อมถึง ด้วยพละกำลังของตัวเขา แม้แต่กระบวนท่าของฉู่เฟยหยางก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ทำได้เพียงอาศัยความรู้สึกตั้งรับ เผยความอ่อนแอออกมาอย่างช้าๆ
เกิดเสียงดังผัวะ เป็นเสียงหมัดปะทะร่างกาย
จวินซูอิ่งร่วงลงจากอากาศ ตกกระทบพื้นดินอย่างแรง ก่อนจะกระอักเลือดออกมา แล้วดิ้นรนลุกขึ้นยืน
ฉู่เฟยหยางร่อนจากอากาศลงบนพื้น แตะปลายเท้า ยกกระบี่ขึ้นจู่โจมอีกครั้งโดยไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย รวดเร็วดุจปุยเมฆลอยสายน้ำไหล
จวินซูอิ่งต่อต้านเต็มกำลัง ค่อยๆ ทรงตัวไม่อยู่
ฉู่เฟยหยางรู้ดีว่าหมัดที่รวมกำลังภายในไว้เต็มเปี่ยมของตนต้องทำให้จวินซูอิ่งบาดเจ็บภายในสาหัสแน่นอน คงทำได้เพียงแค่ประคับประคองไว้เท่านั้น ฉับพลันจึงพลิกตัวโฉบไปด้านหลัง เปลี่ยนจากเพลงกระบี่ว่องไวที่มีชีวิตชีวาและพลิ้วไหวราวกับสายลมเย็นเมื่อครู่ ยกขึ้นโจมตีจากบนลงล่างอย่างสุดกำลัง
จวินซูอิ่งใช้ขลุ่ยไม้ไผ่ป้องกันศีรษะได้ทันท่วงที
ไม่รู้ว่าขลุ่ยไม้ไผ่เลานั้นประกอบขึ้นจากอะไรจึงแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ภายใต้แรงโจมตีที่รุนแรงถึงเพียงนี้ก็ยังไม่แตกหัก เกิดแค่รอยขีดข่วนไม่กี่รอยเท่านั้น จวินซูอิ่งล้มลงกับพื้น โลหิตที่เขาใช้กำลังภายในกดไว้ในลำคอมาตลอด ยามนี้พลังรั่วไหลแล้ว จึงกระอักเลือดสดออกมาหลายหน ทั้งยังไอไม่หยุด
“เจ้าแพ้แล้ว” ฉู่เฟยหยางเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ มองจวินซูอิ่งที่จนตรอกไร้ทางหนีอยู่บนพื้นจากด้านบน ยกกระบี่หมายจะฟันลงไป
จวินซูอิ่งดิ้นรนล่าถอยไปทางด้านหลัง หลบหลีกกระบี่ที่หมายปลิดชีวิต กระนั้นก็ยังโดนไอกระบี่กรีดทรวงอกเป็นแผลยาว ชุดสีดำบริเวณหน้าอกเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นทันที
ฉู่เฟยหยางยกกระบี่จะแทงเข้าไปอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้นข้างหู ท่วงทำนองนั้นอ่อนโยนไพเราะไม่เข้ากับการต่อสู้ที่เปี่ยมล้นไปด้วยไอสังหารแม้แต่น้อย
ฉู่เฟยหยางตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าตนเองปล่อยโอกาสสังหารบุรุษผู้จนตรอกที่กำลังนอนเป่าขลุ่ยห่างออกไปไม่กี่จั้งไปเสียแล้ว
เพราะทันทีที่เสียงขลุ่ยดังขึ้น รอบกายก็มีงูพิษ ฝูงแมงป่องน้อยใหญ่ และแมลงนานาชนิดนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นมาจากแห่งใดไม่รู้ เบียดเสียดจนเกิดเสียงจ้อกแจ้กจอแจ คืบคลานเข้าใกล้เขาอย่างช้าๆ
ฉู่เฟยหยางทำได้เพียงถอยหลังไปทางหน้าผา สัตว์พิษเหล่านั้นก็คืบคลานตามติดอย่างใกล้ชิด ก่อนจะโจมตีฉู่เฟยหยางที่ไปถึงริมผาตามเสียงขลุ่ยที่สูงขึ้น
ฉู่เฟยหยางหมุนตัวขึ้นด้านบน ปลายกระบี่วาดเป็นรูปวงกลม หมุนวนล้อมรอบตัวเขาสองรอบแล้วพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้แมลงพิษตายทันทีที่สัมผัสโดน เศษซากพร้อมโลหิตร่วงตกลงเป็นสาย ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง
ตอนนั้นเองเสียงขลุ่ยก็หยุดลง งูพิษ แมลงพิษที่เหลืออยู่สลายหายไปทันทีราวกับกระแสน้ำลง คงจะหลบเร้นเข้าไปในซอกหิน
ฉู่เฟยหยางกวาดสายตาไปรอบทิศ ไหนเลยจะเหลือร่องรอยของจวินซูอิ่ง
เขาถอนหายใจเบาๆ หยิบฝักกระบี่ขึ้นเสียบกระบี่กลับคืนแล้วเดินลงจากเขาไป
จวินซูอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส หนีกลับเข้าไปในพรรคอย่างจนมุม เกาฟั่งขมวดคิ้วมุ่นขณะรักษาบาดแผลให้เขา
โชคดีที่แม้บาดแผลจะสาหัส แต่ก็ไม่ได้กระทบไปถึงอวัยวะสำคัญ กำลังภายในของจวินซูอิ่งล้ำลึก เกาฟั่งช่วยเขารักษาบาดแผลภายนอก พอเขาปรับลมหายใจตนเองเล็กน้อยก็ไร้กังวลเรื่องถึงแก่ชีวิต
เกาฟั่งยกยาที่ต้มเสร็จแล้วส่งให้จวินซูอิ่งถึงมือ จวินซูอิ่งรับมาดื่มหนึ่งอึกก็กระแทกถ้วยยาที่อยู่ในมือดังปัง กัดฟันพูดเสียงต่ำ “ฉู่เฟยหยาง!”
เพราะเสียเลือดมากเกินไป ใบหน้าของจวินซูอิ่งจึงซีดเซียว ริมฝีปากจางไร้สีโลหิต การขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาหายใจหอบอย่างแรง เกาฟั่งกลัวว่าการหายใจถี่กระชั้นจะซ้ำเติมบาดแผลเก่าอีก จึงลูบหลังจวินซูอิ่งเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ท่านประมุข ต้องการออกคำสั่งให้ตามสังหารฉู่เฟยหยางหรือไม่ ต่อให้วรยุทธ์เขาสูงเพียงใดก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือจำนวนมากในพรรคได้”
จวินซูอิ่งปัดมือของเกาฟั่งออก ลุกขึ้นยืน ปลายนิ้วแตะที่ผ้าพันแผลด้านหน้า “ไม่ต้อง คนผู้นี้ ข้าจะสังหารเขาด้วยมือของข้าเอง! ก่อนสิ้นใจ ข้าจะทำให้เขาได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดของการอยู่ไม่สู้ตาย!”
ตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีศิษย์สำนักป่าวร้องอยู่ด้านนอก ลมหายใจไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยหรือเพราะว่ากลัว “รายงานท่านประมุข มีสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดบุกเข้ามาในพรรคแล้ว!”
“สัตว์ประหลาดหรือ สัตว์ประหลาดอะไร” เกาฟั่งเอ่ยด้วยความสงสัย
จวินซูอิ่งย่นคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งก็คลุมชุดคลุมไว้บนไหล่ เปิดประตูเดินออกไปด้านนอก เกาฟั่งและคนที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นรีบเร่งตามออกไปทันที
ทั้งสามคนมาถึงทางเข้า ก็เห็นคนพรรคเทียนอีกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้หยุดคนรูปร่างสูงใหญ่อย่างยากลำบาก
จวินซูอิ่งทอดสายตาจับจ้อง เห็นหน้าตาที่ถูกรายล้อมด้วยผู้คนชัดเจนแล้ว ก็เข้าใจว่าทำไมลูกน้องที่มารายงานเมื่อครู่จึงเรียกอย่างตื่นตระหนกว่าเป็นสัตว์ประหลาด
บุรุษผู้นั้นสูงราวๆ เก้าฉื่อ [4] กลุ่มคนพรรคเทียนอีโดยรอบส่วนใหญ่สูงเพียงอกของเขาเท่านั้น ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า รูปร่างสูงกำยำ กล้ามเนื้อที่เป็นมัดเรียงแน่นนูนออกมาอย่างผิดรูปผิดร่าง บนร่างกายของเขามีลวดลายโลหิตแดงพาดผ่านจากด้านหลังยืดสู่ด้านบน พาดผ่านลำคอ ลามไปถึงบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าของเขาดูประหลาดน่าพรั่นพรึง ตาของเขาไม่ปรากฏสีดำขาว มีเพียงสีแดงฉานเท่านั้น เขาทั้งชูแขนกวาดคนที่บุกเข้าไปโจมตีทิ้ง ทั้งอ้าปากส่งเสียงคำราม ฟันของเขาเต็มไปด้วยโลหิตสด น้ำลายที่ปนด้วยเลือดไหลตามคางหยดสู่พื้นดิน
ศิษย์พรรคเทียนอีผู้หนึ่งชูกระบี่ขึ้นแทงชายผู้มีหน้าตาดั่งสัตว์ประหลาดด้วยตัวสั่นงันงก คาดไม่ถึงว่าจะถูกฝ่ามือใหญ่ของเขาหยุดคมกระบี่ไว้ทันที ก่อนจะดึงไป แล้วอ้าปากกัดหูข้างขวาของศิษย์ผู้นั้นอย่างแรงพร้อมๆ กับมีเสียงร้องอันน่าเวทนาดังขึ้น
สัตว์ประหลาดทิ้งคนที่ร้องคร่ำครวญไม่หยุดผู้นั้นลงกับพื้น กวาดดวงตาสีแดงไปทั่วบริเวณ ศิษย์พรรคเทียนอีไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปอีกแล้ว ทั้งยังล่าถอยอย่างไม่ลังเล
สายตาของสัตว์ประหลาดตนนั้นมองเห็นจวินซูอิ่งที่อยู่บนขั้นบันไดก็คำรามขึ้นทันที พลันบุกเข้ามาทางจวินซูอิ่ง
จวินซูอิ่งถอยหลังสองก้าวก่อนจะยืนนิ่ง ยกมือขึ้นกลางอากาศเรียกกระบี่ออกมา ยามที่สัตว์ประหลาดตนนั้นโจมตีเข้ามา กระบี่คมก็แทงเข้าที่ท้องของสัตว์ประหลาดนั่น เมื่อชักออกก็เบี่ยงตัวถอยทันที
สัตว์ประหลาดกุมหน้าท้อง เอียงตัวไล้เลียร่างกายตน ดวงตาสีเลือดจับจ้องที่จวินซูอิ่ง เอ่ยเสียงประหลาดอื้ออึงออกมาจากปาก
จวินซูอิ่งมองเลือดที่ไหลออกมาตามซอกนิ้วที่สัตว์ประหลาดใช้กอบกุมบาดแผลไว้ด้วยสายตาเย็นเฉียบ กระตุกมุมปากขึ้น เอ่ยเสียงเย็นชา “พวกไม่รู้จักประมาณตน”
กลุ่มคนบนบันไดเห็นฉากนี้แล้วก็รวบรวมความกล้าล้อมโจมตีเข้าไปอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักนั้น เพียงแกว่งมือสองทีก็โจมตีหลายคนได้แล้ว สัตว์ประหลาดไม่สนใจกลุ่มคนที่ถือกระบี่บุกเข้ามาทางด้านหลัง แต่กลับพุ่งโจมตีไปทางจวินซูอิ่งอีกครั้ง
จวินซูอิ่งตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าสัตว์ประหลาดจะยังคงเหลือเรี่ยวแรงบุกโจมตีมาได้อีก เมื่อครู่ที่โจมตีออกไปทำให้เขาเหลือกำลังภายในไม่มากนัก ตอนนี้จึงไร้หนทางต่อกรกับสัตว์ประหลาดที่เรี่ยวแรงมหาศาลดุจวัวตนนี้อย่างสิ้นเชิง ทำได้เพียงตวัดกระบี่ขึ้นอย่างส่งเดชในช่วงชุลมุน
สัตว์ประหลาดเลิกหลบหลีก ไม่สนใจว่ากระบี่ของจวินซูอิ่งจะแทงเข้าที่ร่างกาย ทำเพียงใช้มือสองข้างบีบคอของจวินซูอิ่ง ยกตัวเขาขึ้น ดวงตาสีแดงลุกโชนทันใด ปากก็พลันส่งเสียงขึ้นอย่างขาดห้วง “…จวินซะ..ซู…อิ่ง…ฆ่า…ฆ่า…เจ้า…ให้…ตาย…”
เท้าของจวินซูอิ่งค่อยๆ ลอยห่างจากพื้น เขาใช้สองมือดึงมือที่อยู่บนลำคอตนให้แยกออกอย่างสุดชีวิต ทว่ามันไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย การหายใจไม่ออกทำให้ภาพเบื้องหน้าเริ่มมืดมัวเลือนรางลงเรื่อยๆ กระนั้นเขาก็ยังมองเห็น ศิษย์ในสำนักที่อยู่ด้านหลังสัตว์ประหลาดล้วนยืนอยู่บนพื้น มองกันและกันอย่างลังเล ทุกคนต่างมีกระบี่ เพียงแค่เข้าโจมตีพร้อมกัน สัตว์ประหลาดตนนี้ย่อมตายอย่างแน่นอน และเขาก็จะรอดชีวิตไปได้ แต่ว่าไม่มีใครขยับกายสักคนเดียว ทุกคนทำเพียงยืนนิ่ง มองประมุขของพวกเขาพยายามดิ้นรนจากความตายภายในกำมือของสัตว์ประหลาด
คาดไม่ถึงว่าจวินซูอิ่งในตอนนี้จะยังสามารถกระตุกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาได้ รอยยิ้มนั้นให้ความรู้สึกกระหายเลือดและเต็มไปด้วยไอสังหาร
มือของสัตว์ประหลาดยังคงออกแรงอย่างต่อเนื่อง จวินซูอิ่งไร้แรงต้านทานแล้ว แต่เขารู้ว่าตนไม่อาจตายได้ ข้างหูคือเสียงร้องเรียกอย่างหวาดกลัวของเกาฟั่ง แม้เกาฟั่งจะไม่เป็นวรยุทธ์ แต่ไม่อาจปล่อยให้เขาตายอย่างแน่นอน
เขาเห็นใบหน้าอัปลักษณ์และดวงตาสีแดงเลือนรางลงเรื่อยๆ จวินซูอิ่งก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
บุตรชายของอดีตประมุขที่ถูกเขาสังหาร อดีตประมุขน้อยของพวกเขา
บุรุษเจ้าสำราญรูปงามผู้นั้นกับสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ตรงหน้านี้ต่างกันลิบลับ แต่ในใจของจวินซูอิ่งกลับรู้สึกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เป็นเขาแน่นอน! เป็นชายผู้นั้น!
เกาฟั่งเคยบอกไว้ว่า แม้ประมุขน้อยของพวกเขาจะเป็นเพียงเศษฟางไร้ค่าตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ภายในถึงภายนอก แต่รูปลักษณ์ของเขาก็น่ามองอย่างมาก ชายหนุ่มที่ตื้นเขินผู้นั้นก็เคยรักทะนุถนอมใบหน้าของตนที่สุดเช่นกัน บัดนี้เพื่อแก้แค้นแล้ว ถึงกับยอมให้ตัวเองมีรูปลักษณ์เฉกเช่นผีสาง เห็นได้ชัดเจนว่าความแค้นที่มีต่อเขานั้นมากมายเพียงใด
ทุกคนล้วนจงเกลียดจงชังเขา ทุกคนล้วนรังเกียจเขา แต่เขาไม่สนใจ ตอนนี้เขาเป็นประมุขพรรค อนาคตเขายังจะต้องเป็นเจ้ายุทธภพ เขาต้องการเพียงแค่ให้ทุกคนเกรงกลัวเขา รอยยิ้มที่มุมปากของจวินซูอิ่งค่อยๆ คลี่ออกกว้าง จู่ๆ แรงที่คอก็พลันหายไป สัตว์ประหลาดตนนั้นร้องโหยหวนก่อนจะล้มกระแทกพื้นดิน
[1] ยามอู่ คือ ช่วงเวลาระหว่าง 11.00–12.59 น.
[2] 1 จั้ง เท่ากับประมาณ 3.33 เมตร
[3] 1 จวิน เท่ากับ 15 กิโลกรัม
[4] 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 นิ้ว