เล่ห์รักประมุขพรรคมาร 杨书魅影
南风歌 หนานเฟิงเกอ เขียน
เจ้าเจิน แปล
นิยาย 3 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
** หมายเหตุ : ต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ mpreg (เพศชายตั้งครรภ์ได้) , among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา) , angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน) , coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ) , corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย) , death (การตาย) , depression (ภาวะซึมเศร้า) , gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) , massacre (การสังหารหมู่) , mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ) , rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม) , suicide (การฆ่าตัวตาย) , torture (การทรมาน) , underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์) and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)
________________________________________________________
บทที่ 3
แสงนอกถ้ำสลัว นกกาส่งเสียงร้องบินกลับเข้าถ้ำ เสียงน้ำไหลสงบเยือกเย็น ฉู่เฟยหยางค่อยๆ ตื่นขึ้น แสงสะท้อนจากคลื่นน้ำภายในถ้ำทำให้เขาสงสัยว่าตนเองอยู่ที่ใด
ร่างกายอุ่นในอ้อมอกทำให้เขาตัวแข็งทื่อชั่วขณะ สัมผัสแนบชิดระหว่างผิวหนังสนิทแนบแน่นเกินไป เขาก้มศีรษะลง เกลี่ยผมที่สยายปกคลุมใบหน้าที่ซบอยู่บนอกอย่างลังเล ใบหน้าที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ฉู่เฟยหยางไม่กล้าเชื่อ เขาสงสัยอย่างยิ่งว่าตนอาจจะยังอยู่ในห้วงฝัน แต่ใบหน้านั้นอิงแอบใกล้ชิด ใกล้จนมองเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นและคราบน้ำตาที่หางตาอย่างชัดเจน จริงจนไม่อาจจริงไปกว่านี้ได้อีก
ฉู่เฟยหยางรีบผละออกแล้วผุดลุกขึ้นทันที เสียงหยาบโลนของการแยกตัวจากบริเวณที่ทั้งสองคนยังเชื่อมติดกัน ทำให้สมองที่ควบคุมตนให้เยือกเย็นมาตลอดของฉู่เฟยหยางระเบิดออกภายในพริบตา ความจริงเบื้องหน้าเป็นเรื่องเหลวไหลเกินไปแล้ว แต่ทั้งสองคนล้วนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย มีรอยราคะที่ไม่อาจปกปิดได้ทั่วกายจวินซูอิ่ง ทั้งยังมีคราบขาวขุ่นบริเวณขา ทุกอย่างล้วนกำลังเตือนสติเขา แม้มันจะเหลวไหลเพียงใด ไม่น่าเชื่อเพียงไหน แต่ความจริงก็คือความจริง
ฉู่เฟยหยางจัดการสวมเสื้อผ้าภายในเวลาอันรวดเร็ว ตอนนี้เองจวินซูอิ่งก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ลืมตาทั้งสองข้าง หยัดกายขึ้นอย่างช้าๆ สายตาโหดเหี้ยมเพ่งมองฉู่เฟยหยางที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว พร้อมความเกลียดชังที่อยากจับเผาให้มอดไหม้ ทั้งสองคนสบตากัน คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน ไม่มีใครยอมใคร
ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะสืบหาต้นเหตุอีกต่อไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือตอนนี้ควรทำอย่างไรดี
จวินซูอิ่งร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ หากปล่อยให้เขาฟื้นคืนปราณดั้งเดิมแล้วค่อยฆ่าอีกครั้ง เกรงว่าจะไม่ง่ายนัก ฉู่เฟยหยางไม่ใช่คนเลวที่จะสามารถลงมืออย่างต่ำช้า แต่ก็ไม่ใช่คนโง่งมที่จะปล่อยให้โอกาสอันดีหลุดมือไป
จู่ๆ ไอสังหารก็แผ่ซ่านออกมา
จวินซูอิ่งก้มหน้าลง ผมยาวแผ่ปรกใบหน้า นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่กับพื้น คล้ายกับหัวใจได้หยุดเต้นไปแล้ว
ฉู่เฟยหยางเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น “จวินซูอิ่ง เจ้าจิตใจเหี้ยมโหด ก่อกรรมทำเข็ญ ข้าปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้ ตายเสียเถอะ!” พูดจบก็ยกมือขึ้นโจมตี กระบวนท่ารวดเร็วดุเดือด
จวินซูอิ่งกลิ้งอยู่กับพื้นหลบการโจมตีนั้น คล้ายกับพิษเย็นในร่างกายที่มาพร้อมกับยาของชิงหลางหายไปแล้ว กำลังภายในไม่เชื่องช้าอีกต่อไป ร่างกายว่องไวมากขึ้น เพียงแต่ว่ายามเผชิญหน้ากับฉู่เฟยหยางที่เต็มไปด้วยจิตสังหารเบื้องหน้า ก็ยังดูเหมือนไร้โอกาสชนะ ทำได้เพียงหลบหลีกและต้านเอาไว้เป็นครั้งๆ ไปเท่านั้น
จวินซูอิ่งเกาะผนังถ้ำพยุงตัวลุกขึ้นยืน มองฉู่เฟยหยางอย่างระแวดระวัง
ทั้งสองคน คนหนึ่งบุกคนหนึ่งถอย คนหนึ่งโจมตีคนหนึ่งหลบหลีก จวินซูอิ่งไม่ประมือกับฉู่เฟยหยางตรงๆ เพียงอาศัยวิชาตัวเบาที่ปราดเปรียวหลบหลีกไปมาอยู่ในถ้ำ ทำให้ฉู่เฟยหยางไร้ทางลงมือชั่วคราว
ระหว่างหลบหลีก จู่ๆ จวินซูอิ่งก็รู้สึกถึงความเย็นชื้นบริเวณขา น้ำสีขาวขุ่นไหลลงมาตามต้นขาที่เสื้อผ้าลู่ลงปกคลุมอย่างวับๆ แวมๆ ไม่เพียงแต่จวินซูอิ่งที่สีหน้าอึมครึม ฉู่เฟยหยางเองก็ชะงักกระบวนท่าที่เตรียมโจมตีกลับ ดูท่าคงไม่อาจลงมือเสียแล้ว
จวินซูอิ่งกัดฟันแน่น จ้องมองฉู่เฟยหยางด้วยดวงตาแดงก่ำฉายแววมุ่งร้าย ฉู่เฟยหยางเองก็จ้องมองอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็เคลื่อนสายตาออกพร้อมสลายกำลังภายใน เอ่ยเสียงเบาว่า “ช่างเถิด คนแซ่ฉู่ไม่ต้องการฉวยโอกาสจากคนตกที่นั่งลำบาก จวินซูอิ่ง พวกเราค่อยสู้กันในวันหน้า!” พูดจบก็หมุนตัวจากไป
กระทั่งรู้สึกว่าลมปราณของฉู่เฟยหยางจากไปไกลแล้ว ในที่สุดจวินซูอิ่งก็ฟุบลงกับพื้นอย่างทนไม่ไหว หลับตาพิงอยู่บนหิน ร่างกายด้านหลังยังคงมีของเหลวไหลออกมาให้ส่วนล่างเหนียวเหนอะหนะ เขาใช้มือทุบหินด้านข้างด้วยดวงตาแดงก่ำ จนสันมือมีเลือดไหลออกมาย้อมหินเป็นสีแดง
จวินซูอิ่งสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินลงบ่อน้ำร้อนก่อนจะทิ้งทั้งร่างลงสู่ใต้น้ำ ให้ผืนน้ำขวางกั้นสรรพเสียงจากภายนอก ผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ ไม่ยอมผุดขึ้นจากบ่อ หวังให้สายน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาด
ไม่นานนักเกาฟั่งก็มาถึงถ้ำ เมื่อเห็นจวินซูอิ่งแช่อยู่ในน้ำก็ตกใจ ตะโกนเรียกอย่างรีบร้อนทำท่าจะลงไปในน้ำ จวินซูอิ่งผุดขึ้นมาจากใต้น้ำพร้อมเสียงซ่า ผมยาวสีดำขลับเปียกลู่แนบหน้าผากและกกหู เขาเช็ดหยดน้ำที่เกาะบนขนตา แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ร้องเอะอะอะไร”
เกาฟั่งเห็นจวินซูอิ่งไม่เป็นอะไรจึงวางใจ ยืนอยู่ริมบ่อและกล่าวรายงาน
“…คิดไม่ถึงเลยว่าวรยุทธ์ของฉู่เฟยหยางจะล้ำลึกจนคาดเดาไม่ถูกเพียงนี้ ปล่อยให้เขาหลบหนีไปจนได้ หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ข้าคงไม่เชื่อแน่ว่ายาของแม่หมอจะใช้การไม่ได้…” เกาฟั่งเอ่ยพลางลูบกระดิ่งเงิน
มือของจวินซูอิ่งที่อยู่ใต้น้ำกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปถึงเนื้อก็ยังไม่รู้สึกตัว กระทั่งโลหิตลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
“ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” จวินซูอิ่งเอ่ยเสียงราบเรียบ ตัดบทเกาฟั่งที่ยังพูดจ้อน้ำไหลไฟดับ
เกาฟั่งนั่งลงที่ริมบ่อ หย่อนเท้าเปลือยเปล่าลงไปในน้ำและแกว่งอย่างอ้อยอิ่ง “ก็ได้ ไม่พูดแล้ว ครั้งนี้ปล่อยเขารอดไปได้ วันหน้าย่อมมีหนทาง”
จวินซูอิ่งค่อยๆ เดินเข้ามาหาจนผิวน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่น จู่ๆ เกาฟั่งก็รู้สึกว่าถูกคนจับไหล่ จวินซูอิ่งเดินมาด้านหน้าเกาฟั่ง จับมือของเกาฟั่งแนบกับฝ่ามือของตน กระแสความร้อนไหลจากฝ่ามือที่แนบชิดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ความเจ็บปวดที่เกิดจากฝ่ามือของฉู่เฟยหยางค่อยๆ กลับคืนเป็นปกติท่ามกลางกระแสร้อนที่อ่อนโยน
เกาฟั่งเอ่ยอย่างตกใจ “ท่านประมุข กำลังภายในของท่านกลับมาแล้วหรือ!”
จวินซูอิ่งโคจรปราณแท้รักษาเกาฟั่งอย่างต่อเนื่อง พยักหน้าพลางเอ่ย “แม้จะกลับมาถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ก็ไม่เท่าเมื่อก่อน พิษเย็นดูเหมือนว่าจะหายไปแล้ว อีกสองวันน่าจะหายเป็นปกติ”
เกาฟั่งใช้มืออีกข้างวักน้ำที่อยู่ด้านล่างขึ้นมาอย่างเบิกบานใจ ยิ้มแล้วเอ่ย “คิดไม่ถึงเลยว่าน้ำที่นี่จะเป็นของดีเพียงนี้ เมื่อก่อนถูกตาเฒ่านั่นทำให้เสียของโดยแท้”
จวินซูอิ่งเม้มปากแน่น รู้อยู่ว่าไม่ใช่สรรพคุณจากน้ำในบ่อ
ฉู่เฟยหยางออกมาจากถ้ำนั้นแล้วไม่รู้ว่าจะไปที่ใดต่อ ก็มาถึงยอดเขาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
ยามคิดทบทวนเงียบๆ คนเดียว ความทรงจำเมื่อคืนก็พรั่งพรูขึ้นมาทันทีราวกับน้ำหลาก มิเพียงแต่ไม่ลืม กระทั่งรายละเอียดยิบย่อยก็จำได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกสนิทสนมของการที่ริมฝีปากแนบชิดกันก่อกวนจนจิตใจเขาสับสนวุ่นวาย ที่อึดอัดใจที่สุดก็คือ ตอนนี้เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาคือผู้ที่บีบบังคับจวินซูอิ่ง
ไม่ว่าจวินซูอิ่งจะเป็นมารก็ดี เป็นประมุขพรรคนอกรีตก็ช่าง ตนสามารถสังหารได้ แต่ไม่อาจทำให้อับอาย การกระทำของตนล้วนไม่ใช่สิ่งที่สัตบุรุษพึงกระทำ
ฉู่เฟยหยางม้วนเก็บผมเรียบร้อยแล้วก็ถอนหายใจยาวอย่างเลื่อนลอย
เคยผ่านสัมผัสแนบชิดเช่นนี้มาก่อน เรื่องที่เดิมทีง่ายดายยิ่งกลับกลายเป็นซับซ้อนขึ้น จำไม่ได้ยังดี แต่จำได้แล้วก็ไม่อาจหลีกหนี ไร้ทางลบล้างความจริงที่ว่าเคยมีความสัมพันธ์แนบแน่นเช่นนั้น
กับคนที่ถูกเขากอดไว้ในอ้อมอกอย่างอบอุ่นเมื่อเช้า ไม่ว่าจะอย่างไรฉู่เฟยหยางก็ไม่อาจลงมือสังหารอย่างว่องไวได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
หากฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนไม่ทันได้คิดอะไรเลยตอนเช้าสังหารเขาก็คงดี ฉู่เฟยหยางหยิบหินขึ้นมาแล้วโยนลงหน้าผา
ทว่า… ภาพฉากหยาบโลนของน้ำสีขาวขุ่นที่ไหลลงตามขาของจวินซูอิ่งราวกับปรากฏแวบขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ฉู่เฟยหยางกระแอมเบาๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาติอีกหน คล้ายกับด้านข้างมีคนรู้ใจกำลังมองอยู่
เขายังจำได้อีกว่า เมื่อคืนจวินซูอิ่งเอ่ยว่าจะตายอยู่บนเขาชางหลาง ไม่บุกรุกจงหยวนอีก หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่เลว เขากับจวินซูอิ่งไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรกันถึงเพียงนั้น แค่จวินซูอิ่งอยู่นิ่งๆ ไม่สร้างความวุ่นวาย ฉู่เฟยหยางก็ไม่คิดเป็นศัตรู ถึงแม้จะตอบรับซ่งหลันอวี้ว่าจะทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลซ่ง แต่พอคิดถึงว่าตระกูลซ่งเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร แอบก่อกรรมทำชั่ว ทำเรื่องเลวร้ายมากมายลับหลัง ได้รับผลแบบนี้ ส่วนใหญ่คือหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น สมควรแล้ว…
เมื่อคิดได้ว่าตนเองกำลังคิดหาข้อแก้ตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องสังหารจวินซูอิ่งแล้ว ฉู่เฟยหยางก็ฝืนยิ้มครู่หนึ่ง อีกทั้งเมื่อคืนเขาก็ใช้การกระทำปฏิเสธเงื่อนไขที่จวินซูอิ่งเสนอมา…ตอนนี้หากคิดไปว่าบางทีจวินซูอิ่งอาจดำรงตำแหน่งประมุขพรรคเทียนอีอย่างสงบ ก็นับเป็นการหลอกลวงตัวเองอย่างสิ้นเชิง
ฉู่เฟยหยางถอนหายใจยาวอีกครั้ง ช่างเถิด ช่างเถิด ในเมื่อตอนนี้ไม่อาจสังหารได้แล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ อยู่บนเขาชางหลางต่อก็ยิ่งไร้ความหมาย ตอนนี้ไม่สู้กลับบ้านเสียดีกว่า หากจวินซูอิ่งกล้าเหยียบย่ำยุทธภพจงหยวนเพื่อกระทำการชั่ว เขาจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาด!
จวินซูอิ่งรักษาบาดแผลอยู่ในบ่อน้ำอีกสองสามวัน แต่ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าไรนัก บาดแผลภายนอกไม่ได้ร้ายแรงแล้ว ทว่ากำลังภายในกลับไม่ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม บางครั้งถึงขั้นลดลง เขากังวลเรื่องในพรรค ทุกอย่างในถ้ำแห่งนี้ก็ยิ่งย้ำเตือนถึงเรื่องเหลวไหลที่เคยเกิดขึ้นตลอดเวลา ในที่สุดจวินซูอิ่งก็ทนอยู่ต่อไม่ได้
หลังจากจวินซูอิ่งออกจากถ้ำก็ต้องการทำลายสถานที่ที่มีความทรงจำอันเลวร้ายของเขานี้ไปเสีย แต่พอคิดว่าภายภาคหน้าอาจได้ใช้มันอีก ถึงอย่างไรน้ำในบ่อน้ำก็เป็นของดีหายาก จึงให้เกาฟั่งสั่งคนไปปิดถ้ำนั้นไว้ มองไม่เห็นก็ไม่นึกถึง ทำเสมือนว่ามันพังไปแล้ว ไม่มีอยู่แล้ว แม้เกาฟั่งจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็รับคำสั่งไปปิดปากทางเข้าถ้ำนั้นอย่างแน่นหนา
ช่วงที่จวินซูอิ่งกลับพรรคเป็นเวลาที่พรรคเทียนอีวุ่นวายที่สุด การที่เขาหายไปหลายวันทำให้คนในพรรคเกิดความสงสัยขึ้นมาจนมีข่าวลือต่างๆ นานา ที่ลือกันมากที่สุดคือเขาถูกชิงหลางทำร้ายบาดเจ็บสาหัส จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน คนที่คิดการใหญ่มีหรือจะปล่อยให้โอกาสดีเช่นนี้หลุดลอยไป ทั้งหมดล้วนแสดงธาตุแท้ออกมาอย่างไม่รอช้า เมื่อจวินซูอิ่งกลับมาถึงพรรคก็กวาดล้างผู้เป็นปรปักษ์ทันทีดุจสายฟ้าแลบ ลงโทษทรมานหัวหน้ากลุ่มหลายคนจนตาย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทำให้คนกลัวจนตัวสั่น ในไม่ช้าคนในพรรคไม่ว่าตำแหน่งสูงหรือต่ำก็ไม่มีใครไม่เชื่อฟังคำสั่ง ล้วนปฏิบัติตามจวินซูอิ่งอย่างเคร่งครัด
ใกล้เวลาเที่ยงตรง แสงแดดงดงามกระจ่างตา ภายในห้องโถงกว้างขวางสว่างไสว เงาต้นไม้ด้านนอกเป็นพุ่มหนาแน่น ทั่วบริเวณอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเลี่ยนของดอกกุ้ยฮวา บรรยากาศสงบเงียบแสนเกียจคร้านเตือนให้รู้ว่าพวกคนสิ้นคิดที่โหดร้ายกลุ่มนี้อยู่บนเขาชางหลางก็ยังคงมีฤดูกาลที่งดงามเช่นกัน
“ท่านประมุข นี่คือบัญชีกลุ่มแต่ละกลุ่ม ท่านดูเถิด ทุกกลุ่มเก็บเงินได้มากขึ้น วันก่อนได้สังหารหัวหน้าผู้ไม่ภักดีหลายคน ตอนนี้คนเหล่านั้นซื่อสัตย์มากขึ้นแล้ว” เกาฟั่งวางสมุดบัญชีไว้ตรงหน้าจวินซูอิ่ง
จวินซูอิ่งหยิบขึ้นมาพลิกดูคร่าวๆ ก็ปิดลงแล้วดันไปไว้อีกฝั่ง “เจ้าดูแลเรื่องพวกนี้ข้าก็เบาใจ ต่อไปไม่ต้องเอามาให้ข้าดูแล้ว” พูดพลางนวดคลึงหว่างคิ้ว ท่าทางเกียจคร้าน
เกาฟั่งเอามือยันโต๊ะ โน้มตัวเข้ามามองใกล้ๆ แล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แม้การที่ท่านบอกว่าเชื่อใจข้าจะทำให้ข้าดีใจ แต่ว่านี่ดูไม่เหมือนท่านเลย”
“หืม?! แล้วเช่นไหนจึงจะเป็นข้าหรือ” ความวุ่นวายในพรรคเทียนอีค่อยๆ สงบลง จวินซูอิ่งคล้ายว่าอารมณ์ดีขึ้น จึงยิ้มบางๆ พร้อมถามกลับ
“ท่านประมุข ท่านดูน่าสงสัยยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดล้วนไม่ยืมมือผู้อื่น ต้องลงมือทำด้วยตัวเองจึงวางใจ แต่ไม่กี่วันมานี้…ท่านดูราวกับเกียจคร้านขึ้นมาก”
รอยยิ้มของจวินซูอิ่งหุบลงทันใด สีหน้าเปลี่ยนไปมา แล้วส่งเสียงหึขึ้นอย่างเย็นชา “เกาฟั่ง นับวันเจ้าช่างกล้าหาญขึ้นนะ”
เกาฟั่งกอดบัญชีเดินห่างออกไปหลายก้าวพลางหัวเราะแหะๆ “เพราะพักนี้ท่านประมุขไม่ได้สังหารคนกลายเป็นศพแห้งกรังอย่างไร้เหตุผล จึงไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว” พูดจบก็ย่างเท้ากรีดกรายจากไป เสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งรื่นหูก็ค่อยๆ ไกลห่างออกไปเช่นกัน
จวินซูอิ่งก้มหน้าลง สองมือที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ กำแน่น ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ครู่ถัดมาก็ลุกขึ้นอีกครั้ง เปิดประตูห้องลับบนกำแพง หลังจากเงาของเขาหายเข้าไปในประตูลับแล้ว ประตูนั่นก็ปิดเข้าหากันอีกครั้งทันที เหลือไว้เพียงแต่ความวังเวง
วันที่สิบห้าของทุกเดือนเป็นวันที่หัวหน้าของแต่ละกลุ่มต้องเข้าพบประมุขพรรค กฎนี้กำหนดไว้ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคเทียนอี แม้ตอนนี้จะมีเหตุวุ่นวายหลายครั้ง แต่ไหนแต่ไรมากฎข้อนี้ก็ไม่เคยถูกละเลย ยามนี้หัวหน้าของแต่ละกลุ่มจึงกำลังนั่งยืดตัวตรงอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ เข้ามารายงานตัวทีละคน จวินซูอิ่งนั่งฟังโดยพิงอยู่บนตั่งปูเบาะนุ่ม บ้างก็เป็นคำชมเชยเรียบๆ ไม่กี่ประโยค บ้างก็เป็นการติเตียนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่กี่คำ ก่อนจะปลอบด้วยคำพูดอ่อนโยนเล็กน้อย
หัวหน้ากลุ่มเหล่านี้เมื่ออยู่ภายนอกล้วนเป็นคนที่ใช้ตำแหน่งในทางมิชอบจนเคยชิน แต่พออยู่ที่นี่กลับดูเหมือนเป็นหนูในปากแมว ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว หลังจากหัวหน้าทุกกลุ่มรายงานตัวเสร็จแล้ว บนใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยเหงื่อราวกับว่าได้ผ่านสงครามอันหนักหน่วงมาก็ไม่ปาน โชคดีที่จวินซูอิ่งแม้จะอารมณ์ไม่คงที่ มักจะสร้างความลำบากให้โดยไม่กล่าวเหตุผล ทว่าวันนี้เพียงเอ่ยสั่งงานกับทุกคนสั้นๆ ไม่กี่คำก็พยักหน้าเบาๆ แล้วปล่อยตัวไป น่าเวทนาหัวหน้าเหล่านั้นที่อดจะอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาสักหนไม่ได้
สุดท้ายก็มาถึงตาของหัวหน้ากลุ่มชื่อเยี่ยน จวินซูอิ่งกลับไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก หัวหน้ากลุ่มชื่อเยี่ยนพูดสิ่งที่ควรพูดหมดแล้วก็โค้งคำนับอย่างนบนอบ หน้าผากของเขาเริ่มปรากฏเหงื่อเม็ดโตออกมาตามเวลาที่ผ่านเลยไปไหลลงมาตามแนวเส้นเลือดดำที่ปูดออกมาตรงขมับ กระทั่งถึงคาง ก่อนจะหยดลงบนอาภรณ์ เขากลับไม่กล้าขยับตัวเช็ดแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูปแล้ว จวินซูอิ่งก็ยังคงไม่เอ่ยอันใด หัวหน้ากลุ่มชื่อเยี่ยนแอบเหลือบตาขึ้นมอง เห็นเพียงประมุขของพวกเขาใช้มือข้างเดียวกุมหน้าผากอยู่บนตั่ง กลับมองไม่เห็นสีหน้าที่อยู่หลังแขนเสื้อนั้น หัวหน้ากลุ่มคนอื่นที่อยู่รอบๆ ยังคงนั่งยืดตัวตรง ทุกคนต่างรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงย่อมไม่มีใครเอ่ยอันใดขึ้นแทนเขา
หัวหน้ากลุ่มชื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย แล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ไม่ทราบว่าท่านประมุขมีคำแนะนำใดต่อกลุ่มชื่อเยี่ยนหรือไม่”
จวินซูอิ่งกลับยังคงไม่ให้ความสนใจ ห้องโถงเต็มไปด้วยความเงียบงันที่น่ากลัวและน่าอึดอัด
ในที่สุดหัวหน้ากลุ่มชื่อเยี่ยนก็ทนไม่ไหว ไถลลงจากเก้าอี้ คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น โขกศีรษะลงอย่างแรง น้ำเสียงค่อนข้างสั่นเครือ “ทะ…ท่านประมุข แม้กลุ่มชื่อเยี่ยนจะไม่มีคุณงามความดี แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาด กลับจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อท่านประมุข ให้ตะวันจันทราเป็นพยาน หากมีสิ่งใดทำให้ท่านประมุขไม่พอใจ ข้าน้อยยินยอมรับโทษทัณฑ์ ขอท่านประมุขโปรดเมตตา!” เอ่ยจบก็โขกศีรษะกับพื้นอย่างแรงอีกหนึ่งครั้งจนหน้าผากมีเลือดไหล
ครั้งนี้ในที่สุดจวินซูอิ่งก็ส่งเสียง เขาเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างมึนงง “เจ้ากำลังทำอะไร เจ้าไม่ได้มีความผิดอันใด จะให้เมตตาอะไรหรือ”
หัวหน้ากลุ่มชื่อเยี่ยนไร้ท่าทีตอบสนองครู่หนึ่ง คุกเข่านิ่งอึ้งทั้งที่ศีรษะเต็มไปด้วยเลือด จวินซูอิ่งโบกมืออย่างเกียจคร้าน “พูดหมดแล้วใช่หรือไม่ จบแล้วก็ออกไปเสีย”
หัวหน้ากลุ่มทุกคนที่อยู่ด้านล่างรีบลุกขึ้นทันที ก่อนจะโค้งคำนับและถอยออกไป หัวหน้ากลุ่มชื่อเยี่ยนผู้นั้นได้รอดพ้นอันตรายหนึ่งหนก็ยินดีราวกับรักษาชีวิตไว้ได้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไหนเลยจะมีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อยกับการกระทำที่ผิดปกติของจวินซูอิ่ง เขาโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรงอีกครั้งก็ลุกขึ้นยืนแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
รอกระทั่งหัวหน้ากลุ่มทุกคนจากไป จวินซูอิ่งก็ลุกจากตั่ง ขมวดคิ้วกุมหน้าผาก เกาฟั่งเดินมาข้างหน้า ก่อนถามขึ้นอย่างกังวล “ท่านประมุข ไม่สบายตรงไหนหรือ”
จวินซูอิ่งส่ายหน้า จะเดินเข้าไปในห้องด้านใน เกาฟั่งมองตามหลัง สายตาเผยความกังวลเล็กน้อย
เกาฟั่งมักจะรู้สึกเสมอว่าหลายวันมานี้จวินซูอิ่งไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก บางทีอาจเป็นเพราะเหตุโกลาหลในพรรคเทียนอีสงบแล้ว ศัตรูในพรรคถูกกวาดล้าง ไม่ต้องลงมือและติดตามจัดการอะไรเหมือนแต่ก่อน จวินซูอิ่งในตอนนี้จึงคล้ายกับหละหลวมมากขึ้น ดวงตาที่เมื่อก่อนเต็มไปด้วยการคิดคำนวณแทบจะตลอดเวลา ตอนนี้กลับกลายเป็นง่วงซึมเกียจคร้านทั้งวัน ท่าทางพร้อมหลับเสมอ
เมื่อครู่หัวหน้าแต่ละคนล้วนเงียบสนิทราวกับจักจั่นในยามเหมันต์ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ย่อมมองไม่เห็นสีหน้าของจวินซูอิ่ง ทว่าตนที่นั่งอยู่ข้างกายจวินซูอิ่งกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน ความเงียบของจวินซูอิ่งทำให้หัวหน้าพวกนั้นหวาดกลัวจนสุดจะทน แต่ความจริงแล้วตนเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าเขาเพียงแค่หลับไปเท่านั้น
เกาฟั่งเดินไปที่หน้าต่างมองสีของท้องฟ้า เวลาเพิ่งจะผ่านยามโหย่ว [1] ผู้ฝึกยุทธ์กลับขี้เซาเช่นนี้ย่อมผิดปกติอย่างแน่นอน แต่จวินซูอิ่งไม่สั่งให้เขาตรวจชีพจร เขาก็ไม่กล้าถือวิสาสะแตะต้องตัวของอีกฝ่าย มิเช่นนั้นจากนิสัยใจคอของจวินซูอิ่งแล้ว เขาอาจตายอย่างไร้ความยุติธรรมก็ได้
กลิ่นหอมลอยฟุ้งในอากาศ ลมยามเย็นอบอุ่น เกาฟั่งถอนหายใจเบาๆ “ขอให้เป็นเพียงเพราะอากาศยามวสันต์กลั่นแกล้งคนเถิด”
[1] ยามโหย่ว คือ เวลา 17.00 – 18.59 น.