ข้าอยากเป็นภรรยาจอมยุทธ์
鸢鸢相报
จ้าวเฉียนเฉียน 赵乾乾 เขียน
ลีลรักษ์ แปล
— โปรย —
หวังชิงเฉี่ยน บุตรีเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ผู้มีความคลั่งไคล้ที่จะเป็นจอมยุทธ์หญิง
และมีความใฝ่ฝันว่าอยากแต่งงานกับจอมยุทธ์หนุ่ม
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งบุตรชายอัครเสนาบดี ฟั่นเทียนหาน
ผู้มีคุณสมบัติเป็นเลิศระดับจ้วงหยวนบู๊คนใหม่จะมาสู่ขอนาง
ที่ไม่มีคุณสมบัติกุลสตรีตามแบบฉบับอะไรเลย นอกจาก “ความรวย”
นางแคลงใจนักว่าเขาคงแต่งเพราะหมายตาสินเดิมเจ้าสาวอันมหาศาลของนางล่ะสิ!
แต่ในเมื่อสตรีอย่างไรก็ต้องออกเรือน แต่งกับจ้วงหยวนบู๊
ก็ใกล้เคียงความฝันของนางกึ่งหนึ่ง เช่นนั้น “แต่งก็แต่ง”
แต่หลังจากแต่งงานกันแล้ว กลับพบว่าเรื่องราวมันแสนจะพิลึกพิลั่นกว่านั้นมาก
มีอย่างที่ใด ในจวนจ้วงหยวนที่นางกับสามีอยู่ด้วยกัน
ยังมีญาติผู้น้องของเขาตามมาอยู่ด้วย!
ทั้งนางยังถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวความรักความแค้นของคนอื่นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีก
ตกลงว่าที่สามีจ้วงหยวนบู๊รูปงามยืนกรานจะแต่งงานกับนางเป็นเพราะอะไรกันแน่
แล้วความฝันที่จะได้ผาดโผนผจญภัยไปกับยอดฝีมือผู้รู้ใจของนางจะเป็นอย่างไรต่อ
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
3.1
ญาติผู้น้องหญิง
วัยเยาว์อันแสนเขลา
ข้าเองก็เคยหลงรักใครบางคน
คือว่า…เรื่องนี้ออกจะเหนือความคาดหมายของข้าเสียแล้ว
ข้ายังจำท่าทางห้าวหาญยามนางใช้เท้าบดขยี้พื้นดินเต็มแรงในวันนั้นได้ดี ไม่ว่าอย่างไรน้องสาวก็ไม่น่าจะเป็นหญิงสาวบอบบางที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้สิ
นางค้อมตัวเล็กน้อย อ้าปากหาวแล้วเอ่ยว่า “จื่ออวิ๋นคารวะพี่สะใภ้ ตอนพี่สะใภ้เข้าบ้าน จื่ออวิ๋นไปเยี่ยมญาติ ไม่ทันได้มาคารวะก่อนหน้านี้ จึงมาขออภัยพี่สะใภ้ หวังว่าพี่สะใภ้จะอภัยให้จื่ออวิ๋น จื่ออวิ๋นได้ยินว่าพี่สะใภ้อยากปลูกดอกไม้ที่สวนหลังเรือน จึงสั่งให้คนไปหาเมล็ดพันธุ์ดอกไม้หายากมาจำนวนหนึ่ง ขอพี่สะใภ้ได้โปรดอย่าตำหนิพี่ชายกับพ่อบ้านหลี่เลย ข้าสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เล็ก พวกเขาจึงคอยตามใจข้าจนเคย”
คนอย่างข้าถูกรูปลักษณ์ภายนอกทำให้ไขว้เขวได้ง่ายนักล่ะ เห็นนางหน้าตางดงามหมดจด ละม้ายคล้ายอี๋เหนียงสี่สมัยยังสาว ทั้งยังพูดจามีเหตุมีผล วางตัวเหมาะสมยิ่งนัก ข้าจึงอภัยให้นางทันที และรู้สึกว่าฟั่นเทียนหานกับพ่อบ้านหลี่ช่างใจคอคับแคบจริงๆ ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องที่นางกระทืบเท้าระหว่างที่ข้ากับเขาเข้าพิธีมงคลอยู่นั้น ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เก็บมาใส่ใจ นับแต่โบราณมาน้องสาวมากมายล้วนเก็บงำความรักที่มีต่อพี่ชายไว้ในใจ ข้าเดาว่านางเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
วัยเยาว์อันแสนเขลา ข้าเองก็เคยหลงรักใครบางคน เคยลิ้มรสชาติความเจ็บปวดเช่นกัน แล้ววันหนึ่งพอตื่นขึ้นมาก็ตระหนักรู้ได้เอง
ข้าให้เป่าเอ๋อร์ชงชาอู่หลงชั้นดีป้านหนึ่ง แล้วเรียกน้องจื่ออวิ๋นผู้รู้ความคนนี้มาดื่มชาพูดคุยกัน พอได้คุยกันแล้ว ข้าจึงได้รู้ว่าเส้นทางชีวิตของน้องสาวผู้นี้ทั้งลุ่มๆ ดอนๆ คดเคี้ยวและสั่นคลอนเพียงใด
สองขวบนางเสียมารดา สามขวบบิดาตายจาก สาเหตุการตายของมารดานางไม่ชัดเจน ส่วนบิดานางสิ้นชีพเพราะช่วยชีวิตฟั่นเทียนหานซึ่งพุ่งเข้าไปในระหว่างที่กำลังต่อสู้กับคู่แค้น นับแต่นั้นมาฟั่นเทียนหานก็นับเซียวจื่ออวิ๋นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตน สองคนตัวติดกันไม่เคยห่าง ในดินที่ปั้นเป็นเจ้ามีข้า ในดินที่ปั้นเป็นข้ามีเจ้า[1]
ฟังเรื่องราวครึ่งแรกของชีวิตที่มีทั้งเลือดและน้ำตาของนางจนจบแล้ว ข้าสะอื้นไห้อยู่ในอกพร้อมกับนึกละอายใจ หากมิใช่เพราะความหลงใหลในยุทธภพของข้ากับความไม่ใส่ใจเรื่องความรู้สึกแล้ว ข้าก็คงไม่แต่งงานกับฟั่นเทียนหาน เช่นนั้นก็คงไม่ต้องพรากยวนยางคู่หนึ่งให้ต้องจากกันทั้งเป็น และไม่ต้องทำลายหัวใจบอบบางดุจแก้วผลึกของสาวน้อยจนแตกสลายไม่มีชิ้นดี
ข้า ฟั่นเทียนหาน และเซียวจื่ออวิ๋นกินมื้อเที่ยงด้วยกัน หากไม่นับแกงข้นเม็ดบัวเมื่อคืน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ากินข้าวกับฟั่นเทียนหานนับตั้งแต่แต่งเข้ามา
ระหว่างกินข้าว ข้าพูดคุยกับฟั่นเทียนหานไม่มากนัก เซียวจื่ออวิ๋นเล่าสิ่งที่นางได้เห็นและได้ฟังมาระหว่างพักอยู่ที่บ้านญาติอย่างตื่นเต้น ทุกครั้งที่เล่าจบเรื่องหนึ่ง นางจะมองฟั่นเทียนหานตาปริบๆ ด้วยดวงตากลมโตแวววาว เขาจะคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า เอ่ยว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้ารีบกินเถอะ”
ข้ารู้มาตลอดว่าฟั่นเทียนหานอ่อนโยนกับข้า แม้เขาจะสกัดจุดข้าและจับข้ากรอกยา แต่สุดท้ายเขาจะให้ข้ากินลูกเหมยเชื่อมเม็ดหนึ่งแก้ขมเสมอ จะว่าไปก็แปลก ลูกเหมยนั้นเป็นลูกเหมยที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมา แต่เขาไม่ยอมเรียกข้าว่าเฉี่ยนเอ๋อร์ จะเรียกข้าว่าชิงเฉี่ยน ในขณะที่เขากลับเรียกนางว่าอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำ ทุกเรื่องล้วนต้องผ่านการเปรียบเทียบเสียก่อนจึงจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญกว่าสิ่งใด ข้ามิใช่เฉี่ยนเอ๋อร์ ส่วนนางคืออวิ๋นเอ๋อร์ ผลแพ้ขนะเป็นอันรู้แล้ว อาจเพราะคนเราล้วนมีข้อเสีย จึงมองไม่เห็นส่วนดีของผู้อื่น จู่ๆ ข้าก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา อึดอัดจนกินข้าวได้ไม่กี่คำก็รีบกลับห้อง ข้าคิดว่าทำเช่นนี้เท่ากับข้าหนีหัวซุกหัวซุนสินะ
เวลาอารมณ์ไม่ดี ข้าจะชอบนอนนิ่งเป็นศพอยู่บนเตียง ตอนที่ฟั่นเทียนหานเข้ามาในห้อง ข้าก็นอนตัวตรงแหน็วบนเตียงมาสองชั่วยามแล้ว เขาวางชามในมือลงแล้วมองข้า “ชิงเฉี่ยน เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
ข้าไม่ขยับ
มือเขาทาบลงบนหน้าผากข้า “มีไข้หรือไม่”
ข้าดึงมือเขาออก ลุกขึ้นมานั่ง “ไม่เป็นไร แค่ร่างกายอ่อนเพลียเท่านั้น สงสัยก่อนหน้านี้จะป่วยนานเกินไป”
เขาจึงคลายใจลง “ข้าเห็นเมื่อกลางวันเจ้ากินได้ไม่มาก คิดว่าเจ้าคงยังปรับตัวกับอาหารของจวนจ้วงหยวนไม่ได้ ข้าจึงให้เป่าเอ๋อร์ไปตามอาเตามาสอนพ่อครัวในจวนเรา นี่คือถั่วแดงต้มน้ำตาลที่พ่อครัวเพิ่งต้มเสร็จ เจ้าลุกขึ้นมาลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องทำดีกับข้าเช่นนี้ด้วย เหมือนกับที่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงแต่งข้าเป็นภรรยา และทั้งสองเรื่องนี้ที่ข้าไม่เข้าใจบางครั้งก็ทำให้ข้าว้าวุ่นใจไปทั้งวัน ยุทธภพนั้น แท้จริงแล้วอยู่ยากนัก
วันต่อมา เซียวจื่ออวิ๋นให้คนนำรังนกตุ๋นมาส่งให้แต่เช้า การกระทำนี้ทำให้ข้าจนปัญญาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเป่าเอ๋อร์จ้องข้าตาปริบๆ หลังจากข้าดื่มไปได้คำเดียว คำทำนายที่ว่าเป่าเอ๋อร์จะอ้วนจนกลายเป็นลูกหนังมาถึงเร็วเกินไปหรือไม่ ข้าควรไปตั้งแผงรับดูลายมือทำนายดวงชะตาที่ตลาดเสียแล้ว
เป่าเอ๋อร์เพิ่งดื่มรังนกเสร็จ เซียวจื่ออวิ๋นก็มาเยี่ยมถึงเรือน ทำเอาข้าตกใจรีบยกแขนเสื้อขึ้นมาช่วยเช็ดปากให้เป่าเอ๋อร์
ทั้งที่เผชิญหน้ากับท่าทางลุกลี้ลุกลนของพวกเราสองนายบ่าว เซียวจื่ออวิ๋นกลับดูไม่สะทกสะท้านอย่างเห็นได้ชัด นางค้อมตัวเล็กน้อย เอ่ยว่า “พี่สะใภ้ รังนกรสชาติดีหรือไม่”
ข้าย้อนคิดถึงรสชาติรังนกหนึ่งคำนั้น นำมารวมกับคำวิจารณ์ของเป่าเอ๋อร์ระหว่างดื่ม แล้วตอบไปตามความจริงอย่างเที่ยงธรรม “หวานไปหน่อย คราวหน้าให้พ่อครัวลดน้ำตาลลงสักหน่อยก็ดี”
รอยยิ้มอ่อนโยนงดงามบนใบหน้าเซียวจื่ออวิ๋นเลือนหายไปทันใด “จื่ออวิ๋นฝีมือทำอาหารไม่เอาไหน ครั้งหน้าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
ข้ากับเป่าเอ๋อร์มองตากัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “ไม่หรอก รสชาติดีจนน่าคลั่งไคล้ไปเลยต่างหาก”
เวลาอยู่บ้านเราจะให้กำลังใจอี๋เหนียงรองที่ทำอาหารไม่เก่งเช่นนี้ ทุกครั้งจะหยอกจนนางยิ้มหน้าบาน แต่กับเซียวจื่ออวิ๋นดูเหมือนวิธีนี้จะใช้ไม่ได้ผล นางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาคมกริบก็พุ่งไปทางเป่าเอ๋อร์ “สาวใช้น้อย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ารังนกของข้ารสชาติเป็นเช่นไร”
เป่าเอ๋อร์ไม่กล้าตอบ ค่อยๆ เขยิบมาอยู่ข้างกายข้า ข้ารีบยิ้มกลบเกลื่อน “รสชาติดีมาก ข้าเลยอดแบ่งให้นางได้ลองชิมด้วยไม่ได้”
“ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ชม ข้ายังกลัวว่าสาวใช้ที่เพิ่งมาใหม่จะไม่รู้กฎระเบียบ แอบกินของบำรุงของพี่สะใภ้ไปเสียอีก”
จากนั้นนางก็หันไปเอ่ยกับเป่าเอ๋อร์ “ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว มีอะไรก็ไปทำเถอะ”
ข้ามองเป่าเอ๋อร์ ดวงหน้าเล็กของนางยับยู่ยี่จนกลายเป็นดอกเบญจมาศด้วยความคับข้องใจ ข้าจึงตบหลังมือนางเบาๆ เป็นการปลอบ “เป่าเอ๋อร์เป็นสาวใช้ประจำตัวที่ติดตามข้ามาตอนออกเรือน มิใช่สาวใช้ใหม่ นางหัวไม่ค่อยไวนัก หากนางไม่เข้าใจกฎระเบียบของจวนนี้ หวังว่าน้องสาวจะให้อภัย”
เซียวจื่ออวิ๋นยิ้ม “ที่แท้เป็นคนของพี่สะใภ้นี่เอง ขายหน้าท่านแล้วจริงๆ”
ข้าไม่รู้ว่าที่นางพูดว่าขายหน้าหมายถึงตัวนางเองหรือว่าเป่าเอ๋อร์ แต่รอยยิ้มของนางช่างไม่จริงใจเอาเสียเลยในสายตาข้า เมื่อวานข้ายังรู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ชวนให้นึกเอ็นดูนัก ยามนี้จู่ๆ ก็รู้สึกว่านางออกจะน่ารังเกียจไปสักหน่อย เฮ้อ คนอย่างข้าก็ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน
“ไม่ทราบว่าช่วงบ่ายพี่สะใภ้ว่างหรือไม่ ออกไปเดินเที่ยวข้างนอกเป็นเพื่อนจื่ออวิ๋นได้หรือไม่ เมื่อก่อนจื่ออวิ๋นจะพาสาวใช้ไปด้วยทุกครั้ง ตอนนี้มีพี่สะใภ้ไปเป็นเพื่อนแล้ว จะต้องสนุกมากแน่ๆ…”
เรื่องออกไปเดินเที่ยวข้างนอกทำให้หัวใจข้าเต้นรัวด้วยความลิงโลด แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “ข้าไม่มีธุระสำคัญอะไรอยู่แล้ว เช่นนั้นออกไปเดินเที่ยวเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน”
เราเดินผ่านเรือนแรมหลงเหมินมาเป็นรอบที่สามแล้ว ไปร้านขายแป้งชาด ไปร้านขายเครื่องประดับ ตอนนี้อยู่ระหว่างทางไปร้านผ้า ข้าเห็นตาเฒ่าเคราขาวเล่านิทานจนน้ำลายแตกฟองอยู่ในเรือนแรมมาสามรอบแล้ว แต่กลับทำได้เพียงมองตาปริบๆ แล้วเดินผ่านไป สุดท้ายข้าทนไม่ไหว หยุดเดินแล้วเอ่ยว่า “จื่ออวิ๋น เราพักดื่มชาที่เรือนแรมหลงเหมินสักหน่อยดีหรือไม่”
เซียวจื่ออวิ๋นทำท่าไม่เต็มใจอย่างยิ่ง อิดออดอยู่นานกว่าจะยอมเข้าไปในเรือนแรมกับข้า ข้าหาที่นั่งตำแหน่งดีๆ แล้วนั่งลงฟังอย่างเพลิดเพลิน แต่เซียวจื่ออวิ๋นนั่งก้นยังไม่ทันร้อนก็ร้องว่าจะไปร้านผ้า ข้าจึงปล่อยให้นางไปเอง โดยนัดแนะกันว่าอีกหนึ่งชั่วยามให้นางมาหาข้าที่เรือนแรม แล้วค่อยกลับจวนด้วยกัน
ตาเฒ่าเคราขาวกำลังเล่าเรื่องตำนานอักษรกระบี่[2] จนถึงตอนที่องค์หญิงเซียงเซียงกำลังจะปรากฏตัว ข้าฟังอย่างติดลม และเชื่ออย่างสุดใจว่าเฉินจยาลั่วกับฮั่วชิงถงจะต้องได้ลงเอยกันในที่สุด หลังจากนั้นพอองค์หญิงเซียงเซียงปรากฏตัว เพียงได้ยินชื่อของนางก็ทำเอาข้าหนาวสะท้านขึ้นมา นอกจากนี้ข้ายังไม่เข้าใจพฤติกรรมชอบกินดอกไม้แต่ไม่ชอบกินข้าวขององค์หญิงเซียงเซียงเอาเสียเลย พร้อมกับคิดคำนวณในใจอยู่นานว่า หากกินแต่ดอกไม้ต้องกินกี่ดอกจึงจะอิ่มท้องกันแน่ เรื่องราวผิดวิสัยสุดกู่นี้ทำให้ข้าผิดหวังในตัวตาเฒ่าเคราขาวอยู่บ้าง อาจเพราะเขาเพิ่งเปลี่ยนที่ทำงานใหม่จึงยังปรับตัวไม่ได้กระมัง ข้าให้อภัยเขา
ข้าตัดสินใจออกไปหาเซียวจื่ออวิ๋นก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องผิดหวังในตัวตาเฒ่าเคราขาวจนถึงที่สุดหากฟังต่อไป ตอนจะก้าวออกจากประตู ตาเฒ่าเคราขาวมองข้าตาละห้อย เขาจำข้าได้ เพราะข้ามาฟังเขาเล่านิทานตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยออกจากเรือนแรมกลางคันระหว่างที่เขาเล่าอยู่ หลังจากข้าส่งสายตาขอโทษขอโพยให้เขาแล้วก็ตัดใจเดินจากมา
พอไปถึงร้านผ้าข้ากลับไม่พบเซียวจื่ออวิ๋น เหลาป่านร้านผ้าบอกว่า นางแค่มาดูๆ ครู่เดียวก็เดินออกไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงย้อนกลับไปที่เรือนแรมหลงเหมินอีกรอบ แต่ก็ไม่เจอนาง จึงตัดใจจากไปอีกครั้งท่ามกลางสายตาเศร้าสร้อยของตาเฒ่าเคราขาว
ข้าเที่ยวเดินหาทุกร้านที่หญิงสาวมักเข้าไปแวะเวียน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นนางแม้แต่เงา ดังนั้นจึงได้แต่กลับไปนั่งรอที่เรือนแรมหลงเหมิน ตาเฒ่าเคราขาวผู้นั้นพอเห็นข้ากลับมาก็น้ำตาแทบร่วง
นั่งแกร่วรออยู่สองชั่วยาม จนข้าเกิดความคิดอยากจะฆ่าองค์หญิงเซียงเซียงก็แล้ว เซียวจื่ออวิ๋นก็ยังไม่โผล่มา ข้าจึงได้แต่ต้องกลับจวนก่อน ก่อนกลับยังหันไปส่งสายตาให้กำลังใจตาเฒ่าเคราขาวด้วย
ครั้นกลับถึงจวนข้าก็ถามทันที ไม่มีผู้ใดเห็นเซียวจื่ออวิ๋นกลับมาที่จวน
ข้าคิดแล้วจึงตัดสินใจ ถึงอย่างไรก็ไปแจ้งให้ฟั่นเทียนหานรู้สักหน่อยดีกว่า จากนั้นจึงเดินลัดเลาะผ่านป่าไผ่หร็อมแหร็มผืนนั้นไปที่ห้องหนังสือของฟั่นเทียนหาน ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ ข้าก็ได้ยินเสียงออดอ้อนของเซียวจื่ออวิ๋นดังแว่วมาจากข้างใน “พี่ชาย นี่คือชาดที่ข้าเพิ่งซื้อมาใหม่ สีสวยหรือไม่เจ้าคะ”
เสียงของฟั่นเทียนหานทุ้มต่ำ ข้าต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงจะได้ยินชัด “อวิ๋นเอ๋อร์ใช้สีใดก็สวยทั้งนั้น”
ข้ายืนอยู่นอกประตู รู้สึกอัดอั้นในอกจนตัวสั่น ข้าสูดหายใจลึก รู้สึกว่าข้าควรปรากฏตัวอย่างสง่างามดุจประกายรุ้ง จึงซัดฝ่ามือใส่ประตูไปทีหนึ่ง บานประตูส่งเสียงตอบก่อนจะหลุดออกมา สองคนในห้องตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ดูเหมือนว่าไม่ได้ฝึกยุทธ์หลายวัน จึงติดขัดไม่ค่อยคล่อง อาจารย์มักขู่ข้าเสมอว่าด้วยคุณสมบัติของข้า มีแต่ต้องอาศัยความเพียรเท่านั้นนจึงพอจะชดเชยได้
ฟั่นเทียนหานตั้งสติได้ก่อน เขามุ่นคิ้วถามว่า “ชิงเฉี่ยน เกิดอะไรขึ้น”
ข้าลูบจมูกพลางยิ้มตอบว่า “ข้าโมโหจนลืมควบคุมกำลังไปหน่อยน่ะ แต่ประตูห้องท่านก็บอบบางเหลือเกิน ต่อไปอย่าใช้ของถูกๆ อีกเลย”
เขาวางถ้วยชาในมือ “มีเรื่องใดทำให้เจ้าโมโหถึงเพียงนี้”
ข้าเหลือบมองเซียวจื่ออวิ๋นอย่างเย็นชา “มิใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่ถูกใครบางคนวางแผนกลั่นแกล้งเท่านั้น”
ฟั่นเทียนหานเอ่ยล้อ “อ้อ ผู้ใดกันกล้าวางแผนกลั่นแกล้งฟูเหรินจ้วงหยวนของข้า ให้สามีคนนี้สั่งสอนแทนฟูเหรินเป็นอย่างไร”
“ไม่จำเป็น คนอย่างข้ามีแค้นต้องชำระมาตลอด คุ้นเคยกับการมือเองมากกว่า”
ฟั่นเทียนหานยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร ก็อย่าให้เกินกว่าเหตุ”
ข้ายังคงยิ้ม “แน่นอน ข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ขอตัวไปห้องครัวก่อนว่ามีของบำรุงร่างกายจำพวกรังนกหรือไม่ รังนกที่ดื่มเมื่อเช้าหวานเกินไป ฝีมือพ่อครัวผู้นั้นยังสู้หมูไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เอ่ยจบ ข้าก็เหลือบมองเซียวจื่ออวิ๋นที่โกรธจนหน้าซีดอีกครั้ง แล้วเดินออกจากห้องหนังสืออย่างหยิ่งผยอง
ใช่แล้ว ข้าประกาศสงครามกับเซียวจื่ออวิ๋นอย่างเป็นทางการ
ข้าไม่คิดว่าเซียวจื่ออวิ๋นจะไล่ตามมา
นางดึงแขนเสื้อข้าไว้ ร้องไห้พลางอธิบายทั้งน้ำตา
ข้าฟังเสียงสายลมพัดผ่านทิวไผ่ดังซู่ซ่า ดึงแขนเสื้อตนเองกลับมา “เซียวจื่ออวิ๋น ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอาจไม่ได้ตั้งใจจะลืมว่าข้ารอเจ้าอยู่ที่เรือนแรมหลงเหมิน แต่ข้ารออยู่ที่นั่นสองชั่วยาม ทั้งยังเที่ยวเดินหาตามเจ้าทุกร้านในตลาดอีก สองชั่วยามมันนานเพียงใดเจ้ารู้หรือไม่ นานพอที่ไก่จะออกไข่จนไข่ฟักเป็นลูกเจี๊ยบ ลูกเจี๊ยบโตเป็นไก่เอามาตุ๋นน้ำแกงชามหนึ่ง จากนั้นก็ถูกเป่าเอ๋อร์ดื่มเกลี้ยง ข้าเป็นคนอารมณ์ร้อนมาตั้งแต่เด็ก ใครตบข้าทีหนึ่งข้าต้องตบกลับทีหนึ่ง เรื่องที่เจ้าทำครั้งนี้ความจริงมิใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากข้าก็แค่กลั่นแกล้งเจ้านิดๆ หน่อยๆ ถึงเวลาเหมาะสมข้าก็หยุดเอง ถึงตอนนั้นข้ายินดีอยู่ร่วมกับเจ้าอย่างปรองดอง ไม่รู้ว่าเจ้าจะยังยินดีอยู่หรือไม่”
ตั้งแต่เด็กข้ารู้สึกว่าทุกเรื่องต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม ถังหูหลุหนึ่งไม้มีหกลูก ข้าต้องแบ่งกินกับเป่าเอ๋อร์คนละสามลูกเท่ากัน
เซียวจื่ออวิ๋นซับน้ำตา มองข้าอย่างแค้นเคือง “หวังชิงเฉี่ยน เจ้าอย่าทำเป็นอวดดีให้มันมากนัก ข้าเซียวจื่ออวิ๋นไม่ได้กลัวเจ้า”
ข้ารู้สึกนับถือทักษะการเปลี่ยนสีหน้าเข้าขั้นยอดเยี่ยมของพวกเขาทั้งครอบครัวจริงๆ จึงเอ่ยไปตามตรง “เจ้าวางใจ ข้าไม่ทำเรื่องอะไรที่ควรค่าให้เจ้ากลัวหรอก”
นางได้ฟังคำพูดจากใจจริงของข้า แทนที่จะคลายใจ กลับยิ่งโกรธ สะบัดแขนเสื้อเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป ข้าคิดไปร้อยตลบก็ไม่เข้าใจนางเลยจริงๆ
แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยโกหก หากบอกว่ากลั่นแกล้งนิดแกล้งหน่อย ก็คือกลั่นแกล้งนิดหน่อยจริงๆ
นับตั้งแต่วันนั้น เสื้อผ้าของเซียวจื่ออวิ๋นมักมีรูขาดเพิ่มขึ้นมาหลายรูโดยไม่รู้สาเหตุ บางครั้งในตลับชาดของนางจะมีแมลงปริศนาชอนไชอยู่ข้างใน บางคราวน้ำหวานที่นางดื่มก็มีรสชาติเค็ม….
ลูกไม้ทำนองนี้ข้าเล่นสามวันก็เบื่อแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจทำใจกว้างให้อภัยนาง แต่พอเป็นเช่นนี้ข้าก็ว่าง คนอย่างข้าอยู่ไม่สุขมาทั้งชีวิต พอว่างเข้าหน่อยก็เริ่มกระสับกระส่าย ด้วยเหตุนี้จึงเรียกเป่าเอ๋อร์มา ตัดสินใจนำเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ที่เซียวจื่ออวิ๋นให้มาไปปลูกที่ลานด้านหลัง ข้าไตร่ตรองดูแล้วว่าทำเช่นนี้นับเป็นการหาทางลงให้ข้าและเซียวจื่ออวิ๋น เซียวจื่ออวิ๋นเองก็น่าจะรู้ว่าข้าให้อภัยนางแล้ว ยิ่งกว่านั้นข้าก็อยากรู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดอกไม้หายากเหล่านี้เพาะออกมาแล้วจะเป็นดอกอะไรบ้าง
ข้ากับเป่าเอ๋อร์เพิ่งขุดหลุมแรกเสร็จ เซียวจื่ออวิ๋นก็วิ่งมาอย่างเดือดดาล ดวงหน้าเล็กแดงก่ำมีเหงื่อผุดพรายเพราะรีบวิ่งมา เอ่ยกระหืดกระหอบ “หวังชิงเฉี่ยน เจ้ารังแกกันเกินไปแล้วนะ!”
ข้าคิดแล้วก็ไม่รู้จริงๆ ว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร ข้าตัดสินใจรามือแล้ว แน่นอนว่าวันนี้จึงไม่ได้ยั่วโมโหนาง
ข้าปัดเศษดินที่มือ “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
พอเซียวจื่ออวิ๋นอารมณ์เย็นลงก็เริ่มวางท่าเป็นคุณหนู เอ่ยเสียงเย็นชา “พฤติกรรมลอบกัดเหมือนหนูสกปรกของเจ้าตลอดหลายวันมานี้ข้าอุตส่าห์ทำใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อย เหตุใดเจ้าต้องหาเรื่องข้าให้ได้ด้วย”
ชิ คำพูดนี้กล่าวหากันเกินจริงไปแล้ว เจ้าสิหนู พวกเจ้ามันเป็นหนูกันทั้งจวน
ข้ารู้สึกว่าข้าจำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจน จึงเอ่ยว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร มิสู้เจ้าบอกมาตามตรงดีหรือไม่”
ทันใดนั้นเซียวจื่ออวิ๋นก็แย่งจอบไปจากมือข้าแล้วโยนลงพื้น การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วฉับไว ไม่เข้ากับภาพลักษณ์อ่อนแอบอบบางที่นางสร้างขึ้นมายามปกติโดยสิ้นเชิง
แต่การที่นางทำเช่นนี้ก็ทำให้ข้าเข้าใจขึ้นมาไม่น้อย ที่แท้กฎระเบียบของจวนนี้เป็นกฏที่พิลึกกึกกือนัก ยามที่ผู้อื่นมอบเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ให้เจ้าพร้อมกับเชื้อเชิญให้เจ้าปลูกดอกไม้ในสวนหลังเรือน ความจริงแล้วนี่เป็นการสื่อความหมายว่า ห้ามปลูกดอกไม้ในสวนหลังเรือนเด็ดขาดต่างหาก วิธีการสื่อสารเช่นนี้ช่างอ้อมค้อมวกวนเสียจริง ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าตนเองจะเข้าใจได้ ข้านี่ช่างเป็นบุปผารู้ภาษาชัดๆ
พอคิดว่าหลายวันมานี้ข้าทำให้นางตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่น้อย จึงเอ่ยอย่างใจกว้าง “ในเมื่อน้องสาวไม่ชอบใจที่ข้าปลูกดอกไม้ ข้าก็ไม่ปลูกแล้ว เป่าเอ๋อร์ เราไปหาเรื่องสนุกอย่างอื่นทำกันเถอะ”
ข้ากำลังจะหันหลังจากไป เซียวจื่ออวิ๋นก็ฉุดมือข้าไว้ ข้าหันกลับไปมองนาง ดวงตาจิ้งจอกเย้ายวนของนางวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัด ข้ารู้สึกแปลกใจ กุลสตรีที่ทั้งเรียบร้อยอ่อนโยนและเปี่ยมจรรยามารยาทอย่างนาง พอมองดูใกล้ๆ กับมีดวงตาราวกับนางจิ้งจอกเช่นนี้ ทั้งแรงที่นางจับมือข้าก็ไม่ใช่เรี่ยวแรงที่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมพึงมี
ข้าถามด้วยความสงสัย “น้องสาวเคยฝึกยุทธ์หรือ”
“เจ้าคิดจะไปฟ้องพี่ชายหรือ” นางบีบมือข้าแน่นจนข้าอยากร้องหามารดา พยายามสะบัดออกแต่สะบัดไม่หลุด
ข้าเจ็บจนนิ่วหน้า “ฟ้องอะไร เรื่องที่เจ้าแรงเยอะหรือ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เป่าเอ๋อร์ของข้าก็แรงเยอะเหมือนกัน”
เป่าเอ๋อร์รีบก้าวออกไปทันที ฟาดมือเซียวจื่ออวิ๋นจนหลุดออก ตวาดลั่น “คุณหนูเคยได้รับบาดเจ็บที่มือ เจ้าห้ามบีบมือนางนะ!”
หลายปีที่ผ่านมา ไม่เสียแรงที่รักและเอ็นดูเจ้าจริงๆ เป่าเอ๋อร์
ข้ามองข้อมือนวลเนียนดุจหยกขาวของเซียวจื่ออวิ๋นค่อยๆ ขึ้นสีแดงเข้ม แล้วก็รู้สึกทึ่งกับพละกำลังอันมหาศาลของเป่าเอ๋อร์ แต่คำพูดตามมารยาทยังคงต้องกล่าว จึงตวัดสายตาตำหนิเป่าเอ๋อร์ “อย่าทำตัวไร้เหตุผล รีบขอโทษคุณหนูเดี๋ยวนี้”
เป่าเอ๋อร์เอ่ยอย่างเข้าใจ “ขออภัยเจ้าค่ะ เชิญคุณหนูลงโทษด้วย”
เซียวจื่ออวิ๋นไม่ยอมรับคำขอโทษจากเรา ยังคงซักไซ้ไม่เลิก “เจ้าคิดจะไปฟ้องพี่ชายใช่หรือไม่”
ท่าทางเอาเรื่องไม่จบไม่สิ้นนี้ทำให้ข้าหวาดหวั่น รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ใช่”
ที่ข้าตอบเช่นนี้ ประการแรกเป็นเพราะข้ารู้สึกว่าเซียวจื่ออวิ๋นผู้นี้ดูเหมือนความคิดความอ่านออกจะบิดเบี้ยวไปสักหน่อย ประการที่สองเพราะข้ารู้ดีว่า ต่อให้ข้าไปฟ้องฟั่นเทียนหานจริง ก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์อะไร
ยิ่งนางมองข้าด้วยสายตาแปลกๆ ข้าก็ยิ่งมองตอบนางด้วยสายตาจริงใจ สุดท้ายนางเดินนวยนาดจากไป
ข้าพรูลมหายใจ มารดามันเถอะ สายตานั่นน่ากลัวชะมัด ขืนมองข้านานกว่านี้อีกนิดมีหวังข้าได้อยากเรียกนางว่านายแม่แน่ๆ
สายตาของนางทำให้ข้านึกถึงแมวที่อี๋เหนียงหกเลี้ยงไว้ ทุกครั้งที่มันทำสายตาเช่นนี้ เพียงชั่วข้ามคืนในห้องเก็บฟืนจะมีซากหนูตายนับไม่ถ้วน บางตัวหัวไม่มี บางตัวขาหายไป บางตัวไส้ทะลัก…โหดเหี้ยมจนชวนให้ขนลุกขนพอง
ดูเหมือนเป่าเอ๋อร์จะรู้สึกเช่นเดียวกับข้า มือเล็กอวบอ้วนสั่นระริก เอ่ยว่า “คุณหนู นาง…นางน่ากลัวเหลือเกิน”
ข้าตบหลังนางเบาๆ พลางปลอบ “ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน ไม่แน่นางอาจกินคนก็ได้ เป่าเอ๋อร์ เจ้าเนื้อเยอะหนังบางเช่นนี้ หากนำไปนึ่งแล้วโรยขิงซอยสักหน่อย จะต้องเป็นอาหารอันโอชะของโลกมนุษย์แน่นอน”
“คุณหนู!” เป่าเอ๋อร์กระทืบเท้า
[1] มาจากวรรคหนึ่งในบทกวีหวั่วหนงฉือ ประพันธ์โดยภรรยาของจ้าวเมิ่งฝู่ จิตรกรและนักลายสือศิลป์ในยุคราชวงศ์หมิง เพื่อเตือนสติสามีที่ต้องการจะมีอนุภรรยา สื่อความหมายถึงสามีภรรยาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสมือนเป็นคนคนเดียวกัน ดั่งก้อนดินที่ปั้นเป็นฉันและเธอ ถูกนำมาผสานรวมกัน แล้วปั้นใหม่อีกครั้งเป็นฉันและเธอ ในดินของเธอมีฉัน ในดินของฉันมีเธอ
[2] หรือ จอมใจจอมยุทธ์ ผลงานเรื่องแรกของจินยง