มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
———————————————————–
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนที่ 2
ไม่เกินสองวันหลังจากนั้น ซ่งเฝ่ยพบชีเหยียนอีกครั้งในวิชาเลือกสองหน่วยกิตที่ชื่อว่า “การชมและวิเคราะห์ภาพยนตร์คลาสสิก” ห้องเรียนแน่นขนัดพอๆ กับตั๋วรถไฟในฤดูใบไม้ผลิ ตอนกดเลือกวิชานี้เหลือจำนวนโควตาเพียงน้อยนิด ทั้งหอพักของพวกซ่งเฝ่ยคลิกเมาส์พร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายมีเพียงซ่งเฝ่ยที่ได้รับชัยชนะ หลังจากเรียนคาบแรกก็พบว่าตนเองเลือกถูกแล้ว อาจารย์น่ารักอัธยาศัยดี เมื่อเสียงกริ่งดังก็จะเริ่มเช็กชื่อ หลังจากเช็กชื่อเสร็จก็ปิดไฟเปิดภาพยนตร์ ไม่ว่าคุณจะตั้งใจดูหรือฟุบหลับกับโต๊ะ อาจารย์ก็ไม่ถาม พูดตรงๆ ว่าห้องเรียนที่ไร้แสงไฟช่างเป็นสวรรค์ของการนอนเสียนี่กระไร หลายครั้งที่ซ่งเฝ่ยไม่รู้สึกง่วง แต่ก็เผลอพักสายตาไปบ้าง
เมื่อเทอมก่อนตอนที่ยังไม่เลือกวิชาเรียน พวกเขายังรักกันดีอยู่ ดังนั้นจึงมีหลายวิชาที่ลงเรียนด้วยกัน แต่หลังจากเลิกรากันในเทอมนี้ จึงเกิดสถานการณ์เงยหน้าไม่เห็น ก้มหน้าก็ต้องเห็น [1] อยู่บ่อยๆ ช่างเป็นความโรแมนติกที่น่าเศร้าเหลือเกิน
คาบเรียนนี้ชีเหยียนนั่งแถวแรก ส่วนซ่งเฝ่ยนั่งแถวสุดท้ายตามปกติ ดังนั้นระยะห่างจึงค่อนข้างไกลกัน การพบกันของทั้งคู่แทบไม่มีความรู้สึกโหยหาเรื่องราวในอดีตกันเลยสักนิด เพราะนั่นคอการเลือกจากก้นบึ้งของหัวใจ แม้จะต้องเรียนร่วมกันหลังจากเลิกรากันไป ทว่านี่เป็นเพียงวิชาเลือก แต่ซ่งเฝ่ยก็เชื่อว่าหมอนั่นจะเป็นแบบนี้ในวิชาบังคับด้วยเช่นเดียวกัน หวังชิงหย่วนก็เป็นเช่นนี้ บางทีในใจพวกเด็กเรียนคงรู้สึกว่ายิ่งอยู่ใกล้กระดานดำมากเท่าใด ยิ่งง่ายที่จะถูกความรู้โจมตีมากเท่านั้น ซ่งเฝ่ยที่อยู่ในระดับเพดานบินต่ำรั้งท้ายทุกวิชามาหลายปีจึงไม่เข้าใจความทะเยอทะยานของคนที่ได้ทุนการศึกษา ดังนั้น โชคดีแล้วที่เลิกกันในเทอมนี้ มิฉะนั้นตอนที่พวกเขาเข้าเรียนพร้อมกันก็ไม่รู้ว่าต้องทะเลาะกันอีกกี่ครั้งกี่หนว่าจะนั่งแถวหน้าหรือแถวหลังดี ภาคเรียนที่แล้วกับแค่เรื่องที่ว่าจะไปหรือไม่ไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเองที่ห้องสมุดก็ต้องอารมณ์เสียกันไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
มุมมองสามอย่าง [2] ต่างกันเกินไปไม่ควรคบหาอย่างนั้นหรือ
มุมมองด้านการเรียนต่างกันต่างหากคือเรื่องร้ายแรงที่สุด!!!
เหมือนคราวเคราะห์มาเยือน การลักลอบใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในหอพักที่เหมือนจะไม่ได้มีบทลงโทษอะไรตามมา เดาว่าเรื่องอาจจะจบลงง่ายๆ แล้ว ทว่าอาจารย์เจี่ยกลับโผล่มาอย่างสบายใจ แล้วเรียกพวกที่มีรายชื่อในคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ออกมาแสดงตัวต่อหน้านักศึกษาปีสอง คณะประวัติศาสตร์ทั้งหมดเสียหนึ่งยกใหญ่ ความน่าสลดหดหู่ยังติดตามมาถึงคาบเรียนนี้ วันนี้อาจารย์วิชาเลือกผู้มีจิตใจดีไม่รู้ว่ามาอารมณ์ไหน ถึงได้เปิดหนังสยองขวัญ ไม่สิ หนังสยองขวัญคือสิ่งที่ซ่งเฝ่ยสรุปเอาเอง อาจารย์ใช้คำว่า “หนังคัลท์ [3] ” ซึ่งเงียบราวกับหนังของผู้ดี ก่อนเปิดอาจารย์ได้พูดแนะนำประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์ประเภทเดียวกันในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา สุดท้ายก็กล่าวสรุปว่า หนังคัลท์ทุกเรื่องในตลาดต้องยกให้เรื่องนี้เป็นต้นแบบ ซ่งเฝ่ยมองดวงตาสดใสของอาจารย์ แล้วนึกสงสัยว่าบทเรียนคาบก่อนหน้านี้ล้วนเขียนไว้ในแผนการเรียนการสอนอย่างชัดเจน แต่บทเรียนในวันนี้อาจซ่อนอยู่ในฉากหลังเครดิต
ฉากหลังเครดิตน่าตื่นเต้นเร้าใจมาก ผู้กำกับต้องการแก้แค้นสังคมโดยใส่ฉากเลือดสาดกระเซ็น ชิ้นส่วนร่างกายกระจุยกระจายเข้ามา สมกับเป็นผู้กำกับระดับปรมาจารย์ เพราะไม่เพียงทำลายร่างกายคนในหนัง แต่ยังทรมานจิตใจคนดูด้วย สุดท้ายซ่งเฝ่ยก็รับมือไม่ไหว ขอถอนตัวออกมาก่อน ตอนที่เลื่อนประตูด้านหลังเปิดออก ดูเหมือนว่าจะมีเพื่อนนักศึกษาหญิงหลายคนมองมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม ซ่งเฝ่ยนับถือสาวๆ เหล่านี้จากใจ ยกย่องให้พวกเธอเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง เพื่อนที่รู้จักมากมายชื่นชอบภาพยนตร์แนวนี้ แต่เขารับไม่ไหวจริงๆ เหมือนคนที่กล้าจับหนูด้วยมือเปล่า แต่กลับใช้เท้าเตะหนอนด้วยความกลัว คนกว่าร้อยชีวิต รูปร่างลักษณะก็แตกต่างกันออกไป ทุกคนย่อมล้วนมีจุดอ่อนของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น
อย่างไรเสียก็เช็กชื่อแล้ว ตอนที่ฮัมเพลงเดินออกไปโรงอาหาร ซ่งเฝ่ยยังฝันหวานว่าได้กินข้าวแบบไม่ต้องต่อแถว มีความสุขสุดๆ ไปเลย
ปรากฏว่าตอนเพิ่งจะนั่งลงกินไก่ตุ๋นส้มที่พัฒนาสูตรโดยพ่อครัวใหญ่ (อาหารอร่อยๆ ในโรงอาหารถือเป็นหนึ่งในความสุขไม่กี่อย่างของชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่น่าเบื่อหน่ายของซ่งเฝ่ย ทั้งนี้ต้องชื่นชมฝีมือของพ่อครัวอาหารฟิวชั่น [4] ที่ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตากันท่านนั้น สิบเมนูที่เขาทำ มีอย่างน้อยหกเมนูที่รสชาติไม่เลว) ทันใดนั้นซ่งเฝ่ยก็ได้รับข้อความวีแชตจากชีเหยียน
[อาจารย์เช็กชื่ออีกรอบแล้ว]เนื้อไก่รสเปรี้ยวหวานพลันขมปี๋ขึ้นมาทันที
ซ่งเฝ่ยมองเวลา ตอนนี้น่าจะเลิกเรียนพอดี เขาคาดการณ์ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีเจตนาไม่ดีและคับแค้นใจจนอยากกลั่นแกล้งเขา จึงพิมพ์ตอบกลับไปว่า [อะไร ต้นคาบก็เช็กชื่อแล้ว ท้ายคาบยังจะเช็กชื่ออีกเหรอ บ้าปะเนี่ย]
อีกฝ่ายเพียงตอบกลับมาสั้นๆ [อืม]
ซ่งเฝ่ยเริ่มไม่มั่นใจ ถามเพื่อนร่วมชั้นสาขาฟิสิกส์ที่เซี่ยงหยางส่งรายชื่อผู้ติดต่อมาให้ อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างละเอียด [ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่เช็กชื่อ แต่ยังพูดว่า คนที่ไม่มาวันนี้ไม่ต้องสอบแล้ว ไม่ผ่านแน่นอน]
ชีเหยียนคิดจะแกล้งเขาหรือเปล่า ซ่งเฝ่ยก็ไม่แน่ใจ
แต่อาจารย์วิชาเลือกรักภาพยนตร์เรื่องนี้มาก! รักขนาดไหนน่ะหรือ ถึงขนาดที่หากคุณเข้าไม่ถึงการชื่นชมความงามในใจของผม ผมก็จะให้คุณทุกข์ใจจนฟ้าสว่างด้วยการสอบตก!
เขาเพิ่งออกมาสองนาที
ช่วงเวลาที่เข้าเรียนสองเดือนก็กลายเป็นเรื่องสูญเปล่าเสียแล้ว
ซ่งเฝ่ยไม่อยากอาหารอีก เขาสั่งข้าวให้หวังชิงหย่วนตามปกติ จากนั้นก็กลับหอไปด้วยท่าทางเศร้าสลด
เมื่อเข้าประตูมาก็เจอนักศึกษาหวังที่เพิ่งทำโจทย์ระดับหกเสร็จกำลังนั่งรออาหาร เขาไม่เพียงไม่แสดงความขอบคุณ แต่ยังซ้ำเติมอีกว่า “อีกครึ่งเดือนก็สอบภาษาอังกฤษระดับสี่กับหก [5] แล้ว นายอ่านหนังสือหรือยัง”
มหาวิทยาลัยของพวกเขาสามารถสมัครระดับสี่ได้ในภาคเรียนหน้า แต่เนื่องจากคะแนนของหวังชิงหย่วนสูงลิบ ภาคเรียนนี้จึงสมัครสอบระดับหกได้เลย ซ่งเฝ่ยผ่านคาบเส้นมาอย่างเฉียดฉิว เขาจึงจำต้องรักษาระยะปลอดภัยเอาไว้ ดังนั้น เทอมนี้จึงต้องพยายามต่อไป
หวังชิงหย่วนมองท่าทางของเขาก็รู้ว่าไม่คิดจะทบทวนอะไรอีก ก่อนถอนหายใจด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถเคี่ยวเข็ญให้อีกฝ่ายดีขึ้นได้ “ถ้านายยังไม่พร้อมจริงๆ ก็ไม่ต้องสมัครหรอก เสียเงินเปล่าๆ ”
ซ่งเฝ่ยเองก็เสียดายเงิน แต่… “ทุกคนสมัครกันหมด ฉันไม่สมัครก็แปลว่าไม่เข้าพวกสิ”
หวังชิงหย่วนมองเขา “คะแนนของนายไม่เข้าพวกยิ่งกว่าซะอีก”
ซ่งเฝ่ยยื่นอาหารกลางวันที่หิ้วกลับมาไปตรงหน้าเขา “พี่ชาย กินตอนร้อนๆ สิ”
หวังชิงหย่วนไม่เสียเวลาพูดอีก เรื่องการเรียน หากเจ้าตัวไม่ต้องการเสียอย่าง คนอื่นพูดจนปากเปียกไปก็ไร้ประโยชน์
ซ่งเฝ่ยนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงจนง่วง แล้วผล็อยหลับไป ตื่นมาเจอเซี่ยงหยางที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไรกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง
ซ่งเฝ่ยมองปราดเดียวก็รู้ว่าเขายังทะเลาะกับแฟนสาวอยู่ สีหน้าโกรธจนแทบอยากพังหน้าจอโทรศัพท์มือถือแบบนั้นเหมือนเขาเมื่อคืนนี้ไม่มีผิด
แฟนสาวของเซี่ยงหยางอยู่มหาวิทยาลัยนานาชาติที่ห่างออกไปสี่ป้าย ไม่รู้ว่ามาคบกันได้อย่างไร ผู้หญิงอยู่ชั้นปีหนึ่ง เซี่ยงหยางอยู่ชั้นปีสอง เป็นช่วงที่เรียนหนักทั้งคู่ บวกกับ “อยู่ต่างที่” ดังนั้น นอกจากวันหยุดสุดสัปดาห์ หากต้องการเจอกันในวันธรรมดาก็ต้องรีบเร่งใช้ช่วงเวลาอันมีค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตอนเพิ่งคบกันได้สองเดือนก็ยังรักกันเหนียวแน่นเหมือนกาว แต่เมื่อสัปดาห์ก่อน คนทั้งคู่ก็ตกอยู่ในภาวะกึ่งสงครามเย็นเสียแล้ว
“ยังไม่คืนดีกันอีกเหรอ” ซ่งเฝ่ยตัดสินใจถามรูมเมตด้วยความเป็นห่วง
เซี่ยงหยางเพิ่งกดส่งข้อความ จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ไปด้านข้าง ทำท่าทางว่า “นายไม่เข้าใจหรอก” พลางมองซ่งเฝ่ย “จีบสาวยากกว่าปีนเขาสูง ง้อสาวยากกว่าปีนขึ้นฟ้า! ”
“โง่” ซ่งเฝ่ยว่า “ใช้แค่คำพูดหวานๆ จะมีประโยชน์อะไร นายต้องทำให้เป็นรูปธรรม อย่างซื้อของขวัญให้”
เซี่ยงหยางเหล่ตามอง “นายจะให้เงินฉันรึไง”
ซ่งเฝ่ยหันมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ เขาเป็นกำลังใจให้ได้ แต่ไม่มีเงินให้หรอก
หวังชิงหย่วนปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษ-จีน เอ่ยแนะว่า “เธออยากดูงานกีฬาของเราไม่ใช่เหรอ ให้เธอมาสิ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
“ก็ของพวกนายไม่มีคนมานี่” เซี่ยงหยางคิดว่าจำเป็นต้องอธิบายให้เพื่อนโสดเข้าใจสักหน่อย “สาวบอกอยากมาดูการแข่งขันกีฬา ความนัยคืออยากมาดูนาย ถ้านายไม่มีรายการแข่งก็ดี ยอมถอยหนึ่งก้าว คิดซะว่ามาเดต…”
“ก็จบเรื่องแล้วนี่” หวังชิงหย่วนไม่ค่อยเข้าใจ
“แต่ฉันมีไง! ” เซี่ยงหยางตะโกนลั่น จากนั้นก็เริ่มเล่นบทบาทสมมติอย่างจริงจัง “ลองนึกถึงตอนที่แฟนของฉันคุยกับเพื่อนสิ…นี่ พรุ่งนี้เธอจะไปดูแฟนแข่งกีฬาเหรอ ฉันเองก็อยากไปบ้างจัง…เหรอ แฟนของเธอแข่งกีฬาอะไรล่ะ…วิ่งผลัด แฟนของเธอล่ะ…รำพัดไท่เก๊กปากว้า [6] ”
หวังชิงหย่วน “…”
ซ่งเฝ่ยเหลือบมองพัดสีแดงเล่มใหญ่ข้างหมอน เขาจุกในลำคอจนพูดไม่ออก
รำพัดไท่เก๊กและมวยทหาร [7] ถือเป็นกีฬาดั้งเดิมของมหาวิทยาลัย กล่าวกันว่ามีประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองมายาวนานหลายทศวรรษ งานแข่งขันกีฬาของทุกปี นักศึกษาทั้งหมดจำเป็นต้องเข้าร่วม แข่งกันเป็นที่หนึ่ง ที่สอง ไม่มีใครยอมใคร โดยมีนักศึกษาปีหนึ่งและปีสองรวมตัวกันเข้าร่วมการแข่งขัน แต่หลังจากมีนักศึกษารุ่นใหม่ๆ เข้ามา กิจกรรมนี้ก็ถูกต่อต้านมากขึ้น เนื่องจากต้องใช้เวลา ใช้แรง และใช้คนจำนวนมาก แต่เมื่อจัดอันดับจริงๆ คะแนนก็ไม่ได้มากไปกว่าโปรแกรมแข่งขันเดี่ยวชนิดอื่นๆ มากนัก ไม่มีใครอยากจะตื่นแต่เช้า ฝึกฝนด้วยความตรากตรำเป็นเวลาหลายเดือน เพียงเพื่อให้คณบดีของมหาวิทยาลัยชมการแสดงอย่างครื้นเครงและมีความสุข หากมีความสามารถเช่นนี้ สู้ไปซ้อมวิ่งหรือขว้างอะไรสักอย่างเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้คณะของตนเองเสียยังจะดีกว่า เมื่อเวลาผ่านไป การแสดงทั้งสองประเภทจึงค่อยๆ เสื่อมถอยลง ตอนแรกมีเพียงไม่กี่คณะที่เข้าร่วม กระทั่งสองปีมานี้มีการบรรจุรำพัดไท่เก๊กให้เป็นกิจกรรมของคณะประวัติศาสตร์ และมวยทหารเป็นของคณะคณิตศาสตร์
หนึ่งสายศิลปศาสตร์และหนึ่งสายวิทยาศาสตร์ ดุจหนึ่งอ่อนโยนและหนึ่งแข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งจากอธิการบดีของมหาวิทยาลัยหรือเป็นความชื่นชอบของคณบดีคณะ หรือถึงคราวเคราะห์ของทั้งสองคณะ สุดท้ายคนที่ทนทุกข์ก็ต้องเป็นเหล่านักศึกษาอยู่ดี
โกรธจนผมชี้ผมตั้ง แต่เพื่อการแสดงอันทรงพลัง ปีนี้คณะของพวกเขาได้สั่งซื้อพัดไท่เก๊กแบบก้านพัดเหล็กไร้สนิม ด้านบนเป็นพัดไหมสีแดงขนาดใหญ่ ยามโบกไปมาก็จะมีเสียงดังพึ่บพั่บ อยากแกร่งกร้าวเท่าใดก็โบกให้แกร่งกร้าวเท่านั้น อยากโดดเด่นแค่ไหนก็โบกให้โดดเด่นเท่านั้น
ความเงียบอันอ้างว้างค่อยๆ แผ่กระจาย นี่เป็นหัวข้อสนทนาชวนสลดใจ แต่ไม่มีใครหนีพ้น
“เริ่นเจ๋อล่ะ” ภายในความเงียบอันน่าเศร้า ซ่งเฝ่ยพบว่าสมาชิกห้อง 440 หายไปหนึ่งคน
เซี่ยงหยางยักไหล่ “จะอะไรซะอีก ก็วันเดย์ทริป [8] ไง”
วันเดย์ทริปรอบวิทยาเขตคือเครื่องมือในการจีบสาวของผู้ชายสาขาการจัดการการท่องเที่ยว โดยใช้กับนักศึกษาสาวปีหนึ่งเสียส่วนใหญ่ ขั้นตอนการดำเนินงานโดยพื้นฐานคือรุ่นพี่ที่ “ฝึกงานวิชาเอก” ต้องการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวภายในมหาวิทยาลัย จากนั้นก็จะเริ่มใช้รอยยิ้มที่เป็นมิตรจับน้องใหม่ไร้ประสบการณ์ ทำเหมือนค้นพบความงามที่ซ่อนอยู่ในมหาวิทยาลัยในช่วงปลายเดือนตุลาคม นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการหลอกล่อรุ่นน้องที่เพิ่งเข้าเรียนได้ไม่นาน
“เฮ้ย! จริงปะเนี่ย! ” เซี่ยงหยางตะโกนลั่นด้วยความตกใจ เขาลงมาจากเตียงสองชั้น เปิดประตูห้องพัก จากนั้นชะโงกศีรษะออกไปสำรวจ
ซ่งเฝ่ยที่นั่งอยู่บนเตียงตกใจสะดุ้งโหยง มองศีรษะของรูมเมตพลางถามว่า “อะไร”
เซี่ยงหยางไม่สนใจ ยังคงพยายามมองสำรวจด้านนอก ซ่งเฝ่ยเกิดความสงสัย เขากระโดดลงจากเตียงก่อนชะโงกหน้าออกไปนอกห้องตามเซี่ยงหยาง
ทางเดินในตึกหอพักชายค่อนข้างแคบและยาว มีห้องพักหลายสิบห้องเรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง แทบมองไม่เห็นปลายทาง ห้อง 440 อยู่ทางทิศตะวันตก และมองเห็นว่าบริเวณปลายสุดทางเดินทิศตะวันออกมีคนรวมตัวกันอยู่ แต่เนื่องจากไกลเกินไปจึงมองเห็นไม่ชัดเจน
“บ้าฉิบ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง” จ้าวจินซินห้อง 441 ก็เปิดประตูออกมาเหมือนกัน เมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นกำลังชะโงกหน้าด้อมๆ มองๆ ก็ร่วมวงสนทนาด้วยทันที
ซ่งเฝ่ยร้อนใจจนแทบบ้า ความสงสัยกำลังเกาะกุมใจเขา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่! ”
หวังชิงหย่วนเดินมาจากด้านหลัง “ดูในกลุ่มเอาเอง”
พวกซ่งเฝ่ยมีกลุ่มวีแชตของมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีคนจำนวนมาก แชตจึงไหลทั้งวันทั้งคืน ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ต่อมาซ่งเฝ่ยจึงบล็อกกลุ่มแชตนี้ เมื่อได้ยินหวังชิงหย่วนพูดว่า “กลุ่ม” ปฏิกิริยาแรกของเขาคือรีบกลับเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดแอปพลิเคชัน หน้าจอเต็มไปด้วย [แย่ละ] [ฉิบหาย] [บ้าเอ๊ย] โดยไม่คำนึงว่าเหล่าอาจารย์ในกลุ่มเห็นแล้วจะรู้สึกอย่างไร ซ่งเฝ่ยเลื่อนขึ้นไปร้อยกว่าข้อความจึงเห็นเรื่องสำคัญ
นักศึกษาภาควิชาโบราณคดีห้อง 402 คนหนึ่งขาดการติดต่อไปสี่วัน คณะปิดข่าวไม่ยอมรายงานทางมหาวิทยาลัย ทว่าเช้าวันนี้กลับพบกระเป๋าโน้ตบุ๊กและขามนุษย์ที่คาดว่าน่าจะเป็นของนักศึกษาคนนั้นอยู่ในพงหญ้ารกร้างนอกประตูทางทิศตะวันตก ตอนนี้จึงสงสัยว่านักศึกษาคนดังกล่าวถูกฆาตกรรม ทางตำรวจกำลังตรวจสอบข้าวของก่อนเสียชีวิตของนักศึกษาคนนี้อยู่ในห้อง 402 ขณะเดียวกันรูมเมตทั้งสามคนก็ถูกพาตัวแยกกันไปสอบสวน
ก่อนอ่านซ่งเฝ่ยค่อนข้างคาดหวัง แต่หลังอ่านจบกลับรู้สึกว่าไม่น่าสนใจเอาเสียเลย บางเรื่องอาจเป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นตำรวจคงไม่มา แต่บางทีอาจเป็นแค่เรื่องของหาย เจ้าของเลยแจ้งตำรวจ แต่เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในหอพัก เรื่องของหายหรือการฆาตกรรมเป็นข่าวสังคมที่เห็นบ่อยมาก สร้างเรื่องหรือเปล่า แล้วภายในหนึ่งวันก็จะเห็นข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยในโมเมนต์ [9] ราวแปดเรื่อง ที่ชอบพูดเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ ไหนจะเรื่องขานั่นอีก แน่จริงก็โพสต์รูปเลยสิ
ราวกับทำเพื่อซ่งเฝ่ย ไม่เกินสิบบทสนทนาของเพื่อนนักศึกษาที่แตกตื่นก็มีคนส่งรูป “ที่น่าสงสัยว่าเป็นภาพจากสถานที่เกิดเหตุของเพื่อนนักศึกษาในข่าว” เข้ามา
ภาพค่อนข้างเบลอ มองจากภาพเล็กแล้วต้องเป็นของปลอมแน่นอน ซ่งเฝ่ยจิ้มเปิดดูภาพ เมื่อโหลดภาพมาแล้วก็ขยายอีกครั้ง ตอนถ่ายกล้องจะต้องสั่นจนไม่โฟกัสทำให้ภาพขาเบลออย่างแน่นอน ช่วงบนเหนือหัวเข่าหายไป เหลือเพียงส่วนน่องและเท้า บริเวณท้องขามีสภาพเหวอะหวะ บนขาข้างเดียวนั้นมีเพียงรองเท้าไนกี้สีขาว เลือดที่แข็งตัวกลายเป็นสีดำทำร้ายลูกตาอย่างมาก
ซ่งเฝ่ยรู้สึกสะอิดสะเอียน
เขายังคงเชื่อว่า “ภาพจากสถานที่เกิดเหตุ” จะต้องหามาจากในอินเทอร์เน็ต แต่ช่วยไม่ได้ที่มันทำให้เขานึกถึง “หนังคัลท์” ที่ตนเองเคยดูในชั้นเรียน เมื่อภาพทั้งสองซ้อนทับกัน กระเพาะอาหารของเขาก็เริ่มบิดเกลียวอย่างเจ็บปวดทรมาน
[1] สุภาษิตจีน หมายถึง จะหลบหน้าหรือไม่ก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี
[2] ได้แก่ มุมมองต่อโลก มุมมองต่อชีวิต มุมมองต่อคุณค่า
[3] Cult Films เป็นภาพยนตร์ที่มีกลุ่มผู้ชื่นชอบกลุ่มเล็กๆ ส่วนมากไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
[4] คือการผสมผสานอาหารหลากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน
[5] เป็นการสอบภาษาอังกฤษระดับอุดมศึกษาของประเทศจีน เรียกว่า College English Test หรือ CET มีระดับ 4-6 จัดสอบทั่วประเทศในเดือนมิถุนายนและธันวาคมของทุกปี
[6] คือการรำไท่เก๊กแบบหนึ่งของจีน มีพัดเป็นอุปกรณ์ โดยนิยมใช้พัดสีแดงขนาดใหญ่
[7] คือ ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า พัฒนาขึ้นจากการฝึกของทหาร
[8] คือ การเดินทางไปกลับภายในวันเดียว
[9] หรือ Friend Circle ในแอปพลิเคชันวีแชต (WeChat) ฟังก์ชั่นการทำงานคล้ายหน้าฟีดของไลน์ (LINE)