มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
———————————————————–
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
มหาวิทยาลัยซอมบี้ 2
ตอนที่ 31
จังหวะที่หลินตี้เหล่ยกดปิดกระเป๋าเดินทาง ซ่งเฝ่ยก็กดปิดเพลงชั่วคราวแล้วหดมือเข้าไปปิดประตูทันที ภารกิจของเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนสหายร่วมรบคนอื่นๆ เขามั่นใจว่าจะต้องกลับไปยังคลังหนังสือปิดได้อย่างแน่นอน
ตอนมาที่นี่เขาแอบลัดเลาะเข้ามาทางระเบียง ขากลับจึงต้องย้อนกลับไปเส้นทางเดิม หลังจากล็อกหน้าจอและยัดโทรศัพท์มือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อยแล้ว ซ่งเฝ่ยก็หันกลับไป ขณะที่คิดจะพุ่งตัวไปด้านหน้านั้น พอเงยหน้าขึ้นปลายเท้ากลับหยุดชะงัก
เดิมทีหน้าต่างปิดอยู่ แต่ตอนนี้กลับเปิดกว้าง อากาศแห้งเย็นแทรกผ่านเข้ามา ทำให้ห้องเก็บเอกสารที่แต่เดิมก็ไร้ซึ่งความอบอุ่นอยู่แล้วกลับยิ่งหนาวเหน็บขึ้นมาอีกหลายเท่า เขาจำได้แม่นว่าหลังจากตัวเองเข้ามาก็ปิดหน้าต่างแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ปิดสนิท เผื่อว่าหากปิดประตูไม่ทันแล้วมีซอมบี้พุ่งเข้ามาก็จะได้หลบหนีออกทางหน้าต่างได้อย่างทันท่วงที แต่ในวันที่ไม่มีลมเหมือนอย่างวันนี้ก็ไม่น่าจะพัดหน้าต่างที่มีน้ำหนักให้เปิดออกได้
ประตูอยู่ห่างจากหน้าต่างประมาณยี่สิบเมตร ระหว่างประตูกับหน้าต่างเป็นเพียงทางเดินแคบๆ ทั้งสองฝั่งอัดแน่นไปด้วยตู้เก็บเอกสารที่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตู้ทั้งหมดมีความสูงกว่าสองเมตร ทำให้ห้องที่แต่เดิมก็ไม่ค่อยสว่างเพราะเป็นวันที่มีเมฆมากอยู่แล้ว ยิ่งมืดมิดมากขึ้นไปอีก
ซ่งเฝ่ยสัมผัสถึงจังหวะหัวใจของตนเองที่เต้นรัวเร็วขึ้นได้อย่างชัดเจน เขาพยายามสะกดความรู้สึกของตัวเองอย่างหนักหน่วงพลางเงี่ยหูฟัง ภายในห้องเก็บเอกสารยังคงเงียบสนิท เงียบเสียจนทำให้เขานึกหวาดหวั่น
ซ่งเฝ่ยกลั้นหายใจ ดึงกรรไกรออกจากเอว ค่อยๆ กระชับกรรไกรในมือแน่น แล้วถอดรองเท้าข้างหนึ่งออกเงียบๆ ก่อนขว้างออกไปสุดแรง!
รองเท้าวาดเป็นเส้นตรงเรียบกริบกลางอากาศ ข้ามผ่านทางเดินไปกระทบกับผนังใต้หน้าต่างอย่างจัง จนเกิดเสียงดัง “ปึ้ก!”
เมื่อมีเสียงรองเท้ากระทบผนัง ทันใดนั้นก็มีซอมบี้ตนหนึ่งโผล่ออกมาระหว่างตู้เก็บเอกสารที่สามและสี่ทางด้านหน้าฝั่งซ้ายมือ แล้วพุ่งเข้าใส่สถานที่ลงจอดรองเท้าบินของเขาทันที!
ซ่งเฝ่ยรีบพุ่งไปยังตู้เอกสารที่อยู่ใกล้ที่สุด ดึงลิ้นชักออกมาเพื่อทำเป็นบันได จากนั้นก็ใช้มือและเท้าช่วยกันปีนขึ้นไป
เมื่อซอมบี้ตนที่พุ่งเข้าใส่รองเท้าได้ยินเสียงก็หันหัวกลับมา ก่อนพุ่งกระโจนเข้าหาซ่งเฝ่ยที่กำลังเคลื่อนตัวทันที!
ในที่สุดซ่งเฝ่ยก็ปีนขึ้นมาถึงด้านบนสุดของตู้เก็บเอกสาร แผ่นเหล็กใต้ฝ่าเท้าของเขาไม่ถือว่าหนามากนัก พวกมันจึงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดประท้วง ตอนนั้นเองซอมบี้ได้ทิ้งรองเท้าลงแล้วปีนตามซ่งเฝ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยลักษณะท่าทางแบบเดียวกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน!
แย่แล้ว!
ซ่งเฝ่ยสบถด่าอยู่ในใจก่อนรีบกระโดด เขากระโดดไปยังด้านบนของตู้เก็บเอกสารตู้ที่สอง ทว่าแผ่นเหล็กไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ไหว คราวนี้จึงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดรุนแรงขึ้น
ดูเหมือนซอมบี้ที่ปีนขึ้นมาบนตู้จะถูกเสียงหนวกหูเช่นนี้กระตุ้น มันจึงส่งเสียงคำรามลั่นเหมือนสัตว์ร้าย!
ซ่งเฝ่ยคุ้นเคยกับเสียงคำรามเช่นนี้ดีจึงถอดความได้ว่า ‘ข้าถูกรังแก พวกเอ็งรีบมาช่วยข้าเร็ว! ‘
ปัง ปัง ปัง!
ซ่งเฝ่ยกระโดดไปยังตู้เอกสารที่อยู่ใกล้หน้าต่างที่สุดอย่างว่องไว จังหวะที่กำลังจะกระโดดลงกลับมีขาข้างหนึ่งก้าวข้ามเข้ามาทางหน้าต่างอย่างกะทันหัน!
ซ่งเฝ่ยชะงักค้างอยู่ด้านบน
เป็นซอมบี้ผู้หญิงที่ก้าวเข้ามา มันสวมเสื้อสเวตเตอร์สีขาวที่สกปรกเหลือทน มีคราบเลือดขนาดเล็กใหญ่ประปรายแห้งกรังอยู่บนเสื้อ ดูเหมือนซอมบี้สาวจะไวต่อกลิ่นมาก ทันทีที่เข้ามาก็เงยหน้าขึ้น ล็อกเป้าหมายไว้ที่ซ่งเฝ่ยโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย!
ข้างหน้ามีเสือขวางทาง ข้างหลังมีหมาป่าไล่ตาม [1] ซ่งเฝ่ยขบกรามแน่น ตัดสินใจกระโจนเข้าใส่ซอมบี้สาวเต็มแรง โดยอาศัยความเร็วในการพุ่งตัวลงไป ก่อนใช้กรรไกรแทงเข้าที่บริเวณกลางกะโหลกศีรษะของอีกฝ่ายในคราวเดียว!
ซอมบี้สาวไม่ทันหลบหนี จึงถูกแรงปะทะมหาศาลกระแทกเข้าอย่างจังจนล้มลง! ซ่งเฝ่ยที่ใช้กรรไกรแทงลงบนศีรษะของมันก็หงายหลังล้มลงไปพร้อมกัน!
ซอมบี้สาวล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง แม้ซ่งเฝ่ยจะทับอยู่บนตัวมัน แต่แรงกระแทกก็ทำให้มีอาการมึนงงเล็กน้อย กระทั่งสายตาของเขากลับมาเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งก็พบว่าซอมบี้อีกตนที่อยู่ข้างๆ กำลังพุ่งเข้ามา!
หัวใจของซ่งเฝ่ยหนักอึ้งทันที เขารู้ดีว่าควรหนี แต่ถึงอย่างไรก็คงหนีไม่ทัน!
ขณะที่สายตาเหลือบไปเห็นว่าซอมบี้กำลังจะแทะไหล่ของตนเอง ทันใดนั้นก็มีขาข้างหนึ่งยื่นเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะฟาดเข้าที่ใบหน้าของซอมบี้อย่างจัง!
ซอมบี้ถูกเตะออกไปไกลสองเมตร ซ่งเฝ่ยหันกลับไปมองพบว่าเป็นชีเหยียน!
ชีเหยียนไม่ได้มองมาที่เขา แต่กลับวิ่งไปทางซอมบี้!
ขณะที่ซ่งเฝ่ยใช้แรงดึงกรรไกรออกจากหัวของซอมบี้สาว ชีเหยียนก็ได้เข้าไปตะลุมบอนกับซอมบี้ตนนั้น
ซอมบี้ตนนั้นไม่เพียงเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ยังมีพละกำลังมหาศาล ชีเหยียนคิดอยากจะแทงหัวของมันอยู่หลายครั้ง แต่มันกลับปัดออกได้สำเร็จ ซ่งเฝ่ยรีบเข้าไปเป็นกองหนุนทันที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเข้าไปใกล้ ชีเหยียนก็ถูกซอมบี้โยนเข้าไปในช่องว่างระหว่างตู้เก็บเอกสาร!
ปัง!
เสียงกระแทกกับตู้เก็บเอกสารดังแสบแก้วหูทำให้ซ่งเฝ่ยตกตะลึง เขารีบพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เห็นชีเหยียนกำลังถูกซอมบี้กดลงบนลิ้นชักที่เขาเคยใช้เป็นบันไดอย่างรุนแรง
เสียงกระแทกดังลั่นคือเสียงเอวของชีเหยียนกระแทกกับขอบลิ้นชัก!
ซ่งเฝ่ยโกรธจัดจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ เขาพุ่งตัวเข้าไป ใช้กรรไกรทิ่มบริเวณท้ายทอยของซอมบี้! แล้วดึงออกมาโดยไม่มีการค้างไว้แม้แต่น้อย จากนั้นก็แทงลงไปใหม่ เขาทำเช่นนี้ติดต่อกันราวห้าถึงหกครั้ง!
“พอแล้ว” ชีเหยียนที่เหมือนจะทนมองต่อไปไม่ไหวเอ่ยปากห้าม
ซ่งเฝ่ยตกใจแต่แล้วก็ดึงสติกลับมาจนได้ ทว่าสีหน้ายังดูไม่ค่อยดีนัก
จะว่าไปก็แปลก ทั้งที่การใส่หน้ากากป้องกันแก๊สพิษทำให้มองเห็นเพียงดวงตาเท่านั้น แต่ชีเหยียนกลับจับอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย “นายโมโหอะไรน่ะ”
ซ่งเฝ่ยดึงกรรไกรออกอย่างไม่ออมแรง “ตีคนอย่าตีหน้า ทุบคนอย่าทุบเอว เอวของผู้ชายเป็นจุดสำคัญนะ! ”
ชีเหยียนทำหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หวนนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายแล้วใจของเขาก็พลันกระตุก แววตาหม่นลง กดเสียงพึมพำว่า “อยากทุบก็ทุบเลย ยังไงซะตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้งานแล้ว”
ซ่งเฝ่ยลืมสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดเสียสนิท จึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “พี่ชาย ใครทำให้นายกล้าถึงขนาดนึกเรื่องลามกขึ้นมาในเวลาแบบนี้เนี่ย”
ชีเหยียนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงมองผ่านแว่นตานิรภัย ทอดสายตาจ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ
ซ่งเฝ่ยรู้สึกได้ว่าดวงตาของคนผู้นี้กำลังยิ้ม แต่ก็ไม่แน่ใจนัก ความจริงหากไม่มีหน้ากาก เขาก็คงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชีเหยียนไม่เพียงกำลังยิ้ม แต่ยังยิ้มอย่างอ่อนโยนมากเหลือเกิน ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านปลายคิ้วและหางตา อบอวลไปด้วยความอบอุ่น
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากหน้าต่าง สมองของซ่งเฝ่ยคล้ายถูกเสียงนาฬิกาปลุกเตือนให้ได้สติ จังหวะที่เขาเตรียมจะลุกขึ้นยืน ฝีเท้าของผู้มาใหม่กลับรวดเร็วกว่า พุ่งข้ามทางเดินเข้ามาเรียบร้อยแล้ว
“พวกนายไม่เป็นไร…นะ”
นักศึกษาเฉียว เทพกวางแห่งบูรพายืนชะงักค้างอยู่กับที่ นี่เป็นภาพสถานการณ์ที่ยากเกินกว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยคำพูดเดียว หน้าอกของซ่งเฝ่ยกดทับอยู่บนตัวซอมบี้ หน้าอกของซอมบี้กดทับอยู่บนตัวชีเหยียน ส่วนด้านหลังของชีเหยียนคือลิ้นชัก
หวังชิงหย่วนที่ตามมาก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีพลังต้านทานมากกว่าเฉียวซือฉี จึงตัดสินใจทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนโดยพลัน “การฆ่าซอมบี้ให้ดูดีมีมาตรฐาน ต้องใช้ท่ายากขนาดนี้เลยเหรอ”
ซ่งเฝ่ย “…”
ชีเหยียน “…”
ซ่งเฝ่ยอายมากจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชีเหยียนผลักซอมบี้บนตัวออกแล้วลุกขึ้นยืนตัวตรงเช่นกัน เขาไม่ได้มองหวังชิงหย่วน เพียงตอบคำถามของเฉียวซือฉีว่า “ไม่เป็นไร เจอซอมบี้สองตนน่ะ คงปีนขึ้นมาจากระเบียงชั้นสาม”
สิ้นเสียงของชีเหยียนปุ๊บ สหายที่เหลืออีกสามคนก็มาถึงระเบียง และแล้วมังกร [2] ทั้งเจ็ดก็ได้มารวมตัวกัน ต่างคนต่างมองกันและกันผ่านหน้าต่าง
ไม่ต้องรอให้สหายร่วมรบคนอื่นๆ เอ่ยปาก ซ่งเฝ่ยก็ชิงพูดขึ้นก่อน “ฉันไม่เป็นไรแล้ว บังเอิญเจอซอมบี้สองตนพอดี เลยช้าไปหน่อย”
สหายร่วมรบทั้งสามคนบนระเบียงจึงรู้สึกโล่งใจได้สักที
โจวอีลวี่มองบนล่างซ้ายขวา เมื่อมั่นใจว่าไม่มีซอมบี้ปีนขึ้นมาอีกก็หันกลับไปมองซ่งเฝ่ย แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “เป็นเพราะพวกนั้นเกลียดเพลงลูกทุ่งในเพลย์ลิสต์ของนายแน่ๆ ”
ซ่งเฝ่ยชะงัก “…”
หลินตี้เหล่ยอ่อนโยนกว่ามาก เธอมองค้อนอย่างกึ่งโกรธกึ่งแค้น “พวกเราเป็นห่วงแทบตายเลยเนี่ย”
ซ่งเฝ่ยรู้สึกโล่งใจที่ภายในโลกอันเหน็บหนาวก็ยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
“พวกนายช่วยเป็นห่วงฉันก่อนได้ไหม”
ราวกับได้ยินเสียงร้องอันน่าเวทนาของหลี่จิ่งอวี้ดังมาจากที่แสนไกล
ทั้งสี่คนที่อยู่ในห้องจึงรีบตรงไปยังระเบียงเพื่อรวมกลุ่มกับสหายร่วมรบอีกสามคนทันที จากนั้นมังกรทั้งเจ็ดก็หันมองออกไปตามเสียง จากหน้าต่างราวสิบกว่าบานที่เปิดอ้า ตรงมุมอาคาร หลี่จิ่งอวี้กำลังกอดราวระเบียงแรกไว้ทั้งตัวและหัวใจด้วยท่าทางจริงจังอย่างมาก ขณะที่ตัวหันกลับไปอีกทาง ทว่าดูเหมือนขาข้างหนึ่งต้องการจะก้าวข้ามมายังด้านนี้ แต่ขาอีกข้างหนึ่งและทั้งร่างกายกลับปฏิเสธอย่างแน่วแน่
“พวกนายทุกคนต้องห้อยสลิงไว้แน่ๆ …” จนถึงตอนนี้หลี่จิ่งอวี้แทบไม่อยากเชื่อว่าเหล่าสหายร่วมรบจะมีร่างกายแข็งแรงและมีความสามารถพิเศษกันถึงขนาดนั้น
หลินตี้เหล่ยปลอบโยนเขา “ค่อยเป็นค่อยไปนะ พวกเราเองก็ค่อยๆ พัฒนาเหมือนกัน”
หลี่จิ่งอวี้รู้สึกเศร้าเล็กน้อย เขากัดฟันแน่น ในที่สุดก็ก้าวออกไปอีกหนึ่งก้าวจนถึงขอบระเบียงห้องถัดไป เขาคลายแขนออกด้วยความสั่นเทาแล้วค่อยๆ ยื่นแขนข้างเดิมออกไป ทันทีที่สัมผัสกับราวระเบียงได้ก็คว้าไว้แน่น จากนั้นจึงทิ้งตัวลงแล้วกระโดดไปข้างหน้า ก่อนลงจอดได้อย่างมั่นคง
“ได้อีกระเบียงละ! ” หลี่จิ่งอวี้ตื่นเต้น เขารู้สึกได้ถึงทักษะที่เริ่มพัฒนาขึ้นเล็กน้อย
ทหารร่วมรบที่อยู่ไกลออกไปส่งเสียงให้กำลังใจพร้อมกันอย่างไม่ลังเล
หลินตี้เหล่ย “เยี่ยมเลย! ”
ซ่งเฝ่ย “สู้ๆ นะ!”
หลัวเกิง “ไม่ต้องรีบ!”
โจวอีลวี่ “พวกเรารอนายแน่นอน!”
เฉียวซือฉี “Come on!”
หลังผ่านพ้นช่วงเวลาสิบสี่นาทีอันยาวนานและน่าตื่นเต้น ในที่สุดหลี่จิ่งอวี้ก็มารวมตัวกับทีมใหญ่ได้สำเร็จ เมื่อเห็นเพื่อนทุกคนพากันยกนิ้วโป้งให้ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังความสามัคคีของทีม!
หลี่จิ้งอวี้ไม่อาจระงับความรู้สึกตื่นเต้นจนพลุ่งพล่านในหัวใจได้ จนถึงกับเผลอคว้ามือของหลัวเกิงที่อยู่ใกล้ที่สุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ทีนี้เราต้องทำอะไรต่อ! ”
หลัวเกิงออกแรงดันกลับ “ปีนกลับไปด้วยกัน! ”
หลี่จิ่งอวี้ “…”
หลังจากนักศึกษาหลี่กลับถึงคลังหนังสือปิด เขาก็นั่งทบทวนชีวิตตัวเองอยู่นาน สหายร่วมรบคนอื่นๆ เข้าใจเป็นอย่างดี จึงไม่เข้าไปรบกวน แต่ไปช่วยหลินตี้เหล่ยนับรายการถ้วยรางวัลจากสงครามแทน
เม็ดเกาลัด เวเฟอร์ เอ็มแอนด์เอ็ม มอลทีเซอร์ส [3] เยลลี่ บะหมี่ถ้วย เนื้อวัวแห้ง และอื่นๆ กองรวมกับเศษกระจกอยู่ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เต็มใบ หลินตี้เหล่ยต้องการคัดแยกด้วยตนเอง แต่เหล่านักศึกษาชายมีหรือจะยอม สุดท้ายจึงเป็นซ่งเฝ่ยที่ลากเธอไปอีกทางหนึ่ง กึ่งบังคับกลายๆ ให้เธอรับถุงมือไปสวม
หลินตี้เหล่ยนั่งลงข้างๆ อย่างไม่เต็มใจนัก พอเหลือบไปก็เห็นสหายร่วมรบคนอื่นทำงานได้อย่างรวดเร็วราวกับตัวมาร์มอต [4] ในที่สุดเธอก็หมดความอดทน “พวกนายอย่าเห็นฉันเห็นผู้หญิงได้ไหม”
ซ่งเฝ่ยปรายตามองเธอ “พวกเราขอร้องละ ช่วยเห็นพวกเราเป็นผู้ชายหน่อยเถอะ”
หลินตี้เหล่ยเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ ไม่ต่อล้อต่อเถียงอีก
ขนมทั้งหมดถูกหยิบออกมาอย่างรวดเร็ว เศษกระจกถูกนำไปกองไว้บริเวณมุมของคลังหนังสือปิด ตอนนี้สงครามตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติของชั้นสี่ถือเป็นอันสำเร็จลุล่วง
“น่าเสียดายเครื่องดื่มพวกนั้น” เฉียวซือฉีนึกเสียดายตู้ขายสินค้าอัตโนมัติอีกตู้หนึ่งที่พวกเขายอมแพ้ไปเสียก่อน
“ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ แล้วดื่มเครื่องดื่มพวกนั้นให้น้อยลงหน่อย มันไม่ดีต่อสุขภาพ” ปากของชีเหยียนพูดกับเฉียวซือฉี แต่สายตาคล้ายส่งไปทางซ่งเฝ่ย
ซ่งเฝ่ยฉีกยิ้มเล็กน้อย แล้วควานหานมยี่ห้อเอดีแคลเซียมขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เสียบหลอดลงไปและเริ่มดูดนมทันที
ชีเหยียนหลุบตาลง หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ใช้มือบีบนวดช่วงเอวด้านหลัง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยคล้ายกำลังเจ็บปวด
ซ่งเฝ่ยรีบผละจากหลอด แล้วเอ่ยถามด้วยความกังวลทันที “ยังเจ็บเอวอยู่เหรอ”
ชีเหยียนเม้มริมฝีปาก ส่ายหน้าอย่างแผ่วเบา
ซ้ำยังเป็นการส่ายหน้าที่แสนเชื่องช้าและยากลำบาก ซ่งเฝ่ยร้อนใจจะแย่แล้ว “นายอย่าฝืนเลย เจ็บก็พูดสิ จริงสิ! ” ซ่งเฝ่ยนึกถึงวันแรกที่เข้ามาในห้องสมุด ตอนที่อีกฝ่ายตกลงไปดูเหมือนไหล่จะกระแทก “ไหล่ล่ะ ไหล่ยังเจ็บอยู่ไหม”
ชีเหยียนชะงัก ในแววตาปรากฏร่อยรอยความสับสน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เก็บซ่อนมันเอาไว้ “ก็…พอไหว”
ตามความเข้าใจของซ่งเฝ่ย “พอไหว” แปลว่า “ไม่ไหว”
“ถ้าเจ็บก็พูดออกมาสิ ถ้าปล่อยไว้จนบาดเจ็บรุนแรงขึ้นมาจะทำยังไง”
“ถ้าฉันบอกตอนนี้” ชีเหยียนมองเขาเงียบๆ “นายจะช่วยยังไง”
ซ่งเฝ่ยได้ยินคำถามก็ชะงักไป เขาไม่ใช่หมอ จะช่วยอะไรได้เล่า
แต่ชีเหยียนกลับรีบเอ่ยขึ้นว่า “แต่ฉันมีวิธีนะ”
ซ่งเฝ่ยชะงักอีกครั้งและตั้งใจรอฟัง
ชีเหยียนกะพริบตาเล็กน้อย “จูบฉันหน่อยสิ”
ซ่งเฝ่ย “…”
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างไร้สุ้มเสียงจะกล่าว สหายร่วมรบทั้งหมดได้ฟังก็แทบทรุด ตอนแรกที่ได้ยินยังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีเหยียนจริงๆ เสียอีก จึงต่างรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ แต่เมื่อฟังจนจบกลับพบว่าผลลัพธ์คืออาหารหมา [5] ชัดๆ!
หลัวเกิงสะกิดถามเฉียวซือฉีว่า “ตกลงพวกเขาสองคนทำอะไรอยู่ข้างในนั้น แค่ซอมบี้สองตน ถึงกับเจ็บไหล่เจ็บเอวเลยเหรอ”
เฉียวซือฉีหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์แซนวิชเนื้อมนุษย์ก็เผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก จึงตอบไปตามตรงว่า “ตอนที่ฉันเข้าไปถึง พวกเขาก็ทำเสร็จแล้ว”
หลัวเกิงตกตะลึง “ทะ…ทำอะไรเสร็จแล้ว”
เฉียวซือฉี “ทำการต่อสู้ไง สู้เสร็จแล้ว”
หลัวเกิง “นายช่วยเลิกพูดจาแบบประหยัดถ้อยประหยัดคำสักทีได้ไหม!! ”
สุดท้ายซ่งเฝ่ยก็จบประโยคแบบสวยๆ ว่า “เชิญนายเจ็บต่อไปเถอะ” เป็นดังที่ชีเหยียนคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก เขาไม่เพียงไม่รู้สึกโกรธ แต่ตอนที่ซ่งเฝ่ยถลึงตาใส่ เขากลับรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก ชีเหยียนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำสี่คำที่เคยใช้จำกัดความซ่งเฝ่ย “หน้าด้านหน้าทน” ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความสุขแบบนั้นบ้างแล้ว
อีกด้านหนึ่งของห้องสมุด
โจวอีลวี่ “ฉันว่าพวกเราเปิดการประชุมกันเถอะ”
เฉียวซือฉี “หัวข้อล่ะ”
หลัวเกิง “แก้ไขระเบียบวินัยในการต่อสู้!”
หวังชิงหย่วน “ห้ามมีแฟนในห้องเรียน”
หลินตี้เหล่ย “ฉันไม่เกี่ยวนะ”
หลี่จิ่งอวี้ “…”
หลินตี้เหล่ย “วาฬน้อย [6] เป็นอะไรไป ท่าทางเหมือนขาดน้ำเลย”
หลี่จิ่งอวี้ “เขา เขา พวกเขา…”
โจวอีลวี่ “เป็นเกย์”
เฉียวซือฉี “ได้ยินว่าคบกันตั้งแต่เทอมที่แล้ว”
หวังชิงหย่วน “ตอนนี้เลิกกันแล้ว”
หลัวเกิง “แต่ก็อย่าตัดความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะกลับมาคืนดีกันออกไปซะละ”
หลินตี้เหล่ย “นายไม่รู้เลยเหรอ”
หลี่จิ่งอวี้ “…ฉันเพิ่งมาใหม่นะ!!!”
[1] หมายถึง การพบเจออุปสรรคที่ยากลำบากขวางอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง
[2] สัญลักษณ์แทนของผู้กล้าหรือผู้ยิ่งใหญ่
[3] Maltesers ขนมรสช็อกโกแลตสอดไส้รสมอลต์
[4] Marmot สัตว์ฟันแทะ มีลักษณะคล้ายกระรอก แต่ตัวใหญ่กว่า
[5] เป็นคำสแลงในภาษาจีนที่มักใช้เมื่อเห็นคนอื่นแสดงความรักต่อกันจนเลี่ยน
[6] คำว่า “วาฬน้อย” ในภาษาจีนออกเสียงคล้ายกับชื่อของ “จิ่งอวี้” เพื่อนๆ จึงยกให้เป็นฉายาของหลี่จิ่งอวี้