มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
———————————————————–
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนที่ 6
ชั่วอึดใจเดียวซ่งเฝ่ยก็วิ่งกลับมาถึงหอพัก สิ่งแรกที่เขาทำคือล็อกประตูห้อง ไม่กล้าแม้แต่จะพิงประตู แล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านในสุดของประตูระเบียงบานเลื่อน รู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ก่อนทรุดตัวลงบนพื้น
ช่วงเวลาที่ก้นแนบพื้น ความรู้สึกไม่สมจริงที่ราวกับเหยียบอยู่บนปุยฝ้ายก็ค่อยๆ เบาบางลง
เตียงนอน โต๊ะหนังสือ เสื้อผ้าสกปรกที่วางกองอยู่บนเก้าอี้ ชามบะหมี่สำเร็จรูปที่กินเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ล้าง…ใช่ นี่คือห้องของเขา สถานที่ที่เขาร่ำเรียนและใช้ชีวิตมามากกว่าหนึ่งปี
แต่ข้างนอกนั่นคืออะไร
ซ่งเฝ่ยไม่รู้
ผู้ก่อการร้ายโจมตีหรือเรซิเดนต์อีวิล [1] ระหว่างการสอบจู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งบุกเข้ามา จากนั้นก็ไม่ต้องสอบแล้ว ทุกคนวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน…ฮ่าๆ นี่คือพันหนึ่งราตรี [2] สินะ จากนั้นขาของเขาก็เริ่มเป็นตะคริว
ทุกสิ่งล้วนเคยไม่ใช่เรื่องจริง
แต่ทุกสิ่งก็ล้วนเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว
ซ่งเฝ่ยฝืนทนอาการปวดขาพลางใช้ฝ่ามือตบตนเองฉาดใหญ่!
เยี่ยม ปวดน่องพอๆ กับหน้าเลย
ซ่งเฝ่ยไม่เชื่อเรื่องเลวร้าย เขายันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก กระทืบเท้าสองหน ให้อาการตะคริวคลายลงเล็กน้อย แล้วไปเปิดประตูระเบียงบานเลื่อน เดินไปที่อ่างล้างหน้าและเปิดก๊อกน้ำ ก่อนก้มศีรษะลงไปอยู่ใต้สายน้ำ
เนื่องจากวิ่งจนเหงื่อออกและศีรษะระบายความร้อนออกมา เมื่อได้น้ำเย็นจัดราดรดบรรเทา ศีรษะของเขาจึงกลายเป็นแตงโมแช่เย็นโดยสมบูรณ์
ซ่งเฝ่ยยืดตัวขึ้นอีกครั้ง รู้สึกว่าทั้งหัวมึนไปหมด
กระจกสะท้อนใบหน้าซีดเซียวหม่นหมอง ไม่มีเลือดฝาด แต่ก็ยังดูน่ารักกว่าเจ้าพวกที่กัดคนอื่นมากโข
ซ่งเฝ่ยกะพริบตา ไข่ที่น่าสงสารในกระจกก็กะพริบตา ซ่งเฝ่ยแยกเขี้ยว เจ้าคนโง่ในกระจกก็แยกเขี้ยวด้วยเช่นกัน ซ่งเฝ่ยแตะขาตนเองด้วยความมึนงง ตะคริวหายแล้ว แต่ความรู้สึกยังคงชัดเจน
ไม่ใช่ความฝัน
หรือว่าเขากำลังฝัน
สูดหายใจเข้าลึกๆ ซ่งเฝ่ยหันมองลงไปด้านล่าง เขาพักอยู่ชั้นสี่ เมื่อก้มลงไปจากระเบียงห้องก็จะมองเห็นภาพเบื้องล่างได้ครบถ้วน
ที่นี่ไม่ได้แย่เหมือนบนถนนหลินอิน นักศึกษาส่วนใหญ่คงหนีเข้าไปซ่อนตัวในหอพักเหมือนกับเขาแล้ว ดังนั้นใต้หอพักในเวลานี้จึงมีแต่พวกกลายพันธุ์ราวสิบตน ซ่งเฝ่ยไม่อยากเรียกพวกเขาว่าเพื่อนนักศึกษา พวกนั้นไม่ใช่เพื่อนเขา! ส่วนพวกกลายพันธุ์ตนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าแยกย้ายไปที่อื่นหรือบุกเข้ามาในหอพักแล้ว สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้มีเพียงเท่านี้ พวกมันรวมกลุ่มกันสามหรือห้าตน สิ่งที่มองเห็นจากชั้นบนเป็นเพียง “การรวมกลุ่มกัน” แต่ซ่งเฝ่ยรู้ว่ามีนักศึกษาบางตนโจมตีเสร็จก็แยกออกไปอยู่โดดเดี่ยว แต่นักศึกษาบางตนก็ร่วมกันแทะกินเหยื่อที่จับมาได้
“เสียงอะไร…” ณ ระเบียงชั้นสี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีคนเดินออกมาในสภาพผ้าห่มคลุมตัว หัวฟู หน้าโทรม ตาปรือปรอย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งตื่น
ซ่งเฝ่ยคิดจะตอบกลับ แต่อีกฝ่ายก้มหน้าฟังเสียง ทันใดนั้นก็ได้สติกลับคืนมา ผ้าห่มหลุดจากตัว ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนหลงเหลือ เจ้าคนสวมกางเกงชั้นในตัวจิ๋วตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “โอ้โห มีคนตีกัน! ”
ซ่งเฝ่ยกุมขมับ ไม่อยากเห็นสภาพของอีกฝ่ายอีกต่อไป
พวกกลายพันธุ์ใต้ตึกเดินโซเซเข้าไปในหอพัก ซ่งเฝ่ยได้สติกลับมาทันที ไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะอุจาดตาไหม รีบตะโกนบอกนักศึกษาสวมกางเกงชั้นในที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว “เพื่อน ล็อกประตู! ”
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในมองดูเหตุการณ์ด้วยความสนุกตื่นเต้น ไม่ทันสังเกตเห็นซ่งเฝ่ยที่กำลังตะโกนใส่เขา ทั้งยังคิดว่ามีใครกำลังส่งเสียงเชียร์เสียอีก
พวกกลายพันธุ์ตนหนึ่งเข้าไปในตึกฝั่งตรงข้ามแล้ว ซ่งเฝ่ยกระวนกระวาย ก่อนรวบรวมสติได้ในยามคับขัน “คนที่สวมกางเกงในทรงบรีฟ [3] สีชมพูชั้นสี่ตึกตรงข้าม รีบไปล็อกประตูสิวะ!!! ”
เมื่อระบุรายละเอียดขนาดนั้น แม้แต่คนโง่ก็ยังมีปฏิกิริยาตอบสนอง นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในรีบกุมเป้าตามสัญชาตญาณ ในที่สุดก็มองเห็นซ่งเฝ่ย “นายตะโกนบ้าอะไรเนี่ย! ”
“มีพวกคนบ้าบุกเข้าไปในหอแล้ว นายรีบล็อกประตูเร็ว! ”
หอพักชายยามที่มีคนอยู่ในห้อง อย่าว่าแต่ล็อกประตู ขนาดว่าปิดแล้วก็ยังปิดไม่สนิท ส่วนใหญ่จะปิดแบบลวกๆ หมอนี่ต้องถูกพวกกลายพันธุ์เล็งเอาไว้และพุ่งเข้าใส่แน่!
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในขมวดคิ้ว ใบหน้าสับสนดูไร้เดียงสา
ซ่งเฝ่ยรู้ดีว่านอกจากเห็นด้วยตาตนเองแล้ว ย่อมไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น ขณะที่กำลังร้อนใจ ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจ “ข้าง ข้างหลัง ระวังข้างหลังนาย!!! ”
เสียงตะโกนของซ่งเฝ่ยอาจรุนแรงเกินไป นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในจึงหันกลับไปทันที ก่อนพบว่ามีนักศึกษาแปลกหน้าเดินกางแขนเข้ามาหาตน!
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในยกมือขึ้น จับสองแขนของอีกฝ่ายแน่น รวบรวมพละกำลังป้องกันท่าทางน่ารังเกียจของอีกฝ่าย “บ้าเอ๊ย นายเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันทำไม เฮ้ย อย่าจูบฉันนะเว้ย ไอ้โรคจิต”
แขนของมนุษย์กลายพันธุ์ถูกตรึงแน่น จึงทำได้เพียงยื่นหัวไปด้านหน้า เห็นได้ชัดเจนว่าต้องการจะกัด แต่นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในไม่เข้าใจ จึงพยายามต่อต้านสัมผัสใกล้ชิดด้วยการเอนตัวหลบไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ ก่อนจะเห็นว่าร่างกายครึ่งหนึ่งของนักศึกษาสวมกางเกงชั้นในเลยออกมานอกระเบียงแล้ว
ซ่งเฝ่ยกลัวจนหัวใจแทบหลุดออกมา ความคิดหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในหัว “เพื่อน ตีลังกาเตะเข้าโกลเลย! ”
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในอยากอัดคนกลางอากาศ แต่คงทำไม่ได้ “เตะบ้านนายสิ ขืนทำแบบนั้นฉันก็กลายเป็นฆาตกรพอดี! ”
“นายดูให้ดีสิ ตอนนี้เขาไม่ใช่คนแล้ว! ”
“…”
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในยอมแพ้ให้แก่การสื่อสาร
ก็แค่นอนตื่นสายไม่ใช่หรือ ทำไมต้องลงโทษเขาขนาดนี้ พอตื่นขึ้นมาคนบ้าก็เต็มโลกแล้ว!
ซ่งเฝ่ยเกาหูเกาแก้มด้วยความร้อนรน ลองคิดกลับกัน หากเขาเป็นเพื่อนฝั่งตรงข้าม ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับทันทีว่า ‘โอ้ ที่แท้พวกเขาก็ไม่ใช่คน’ นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นบ้า
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในไม่ใช่คนรูปร่างกำยำ ทว่าพละกำลังเหลือล้น พวกเขายื้อยุดกันอยู่นาน แต่มนุษย์กลายพันธุ์ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
ซ่งเฝ่ยตาสว่าง รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “นายไม่ต้องสู้กับเขาแล้ว รีบดันเขาออกไป ดันออกไปแล้วก็ล็อกประตู! ”
ข้อเสนอแนะที่ลอยมาค่อนข้างมีความเป็นไปได้ อันที่จริงข้อเสนอนี้ไม่มีเนื้อหาด้านเทคนิคใดๆ แต่นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือห้ามทำผิดกฎหมาย ดังนั้น ข้อเสนอนี้ของซ่งเฝ่ยจึงเหมือนสัญญาณไฟยามค่ำคืนที่ส่องสว่างบนทางเดินอันมืดมิดของเขา
ไม่ต้องพูดอะไรต่อ นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในก็พุ่งตัวกระแทกหัวของอีกฝ่ายเต็มแรง!
นี่คือกลยุทธ์ศัตรูนับพัน สูญเสียแปดร้อย [4] มีใครบ้างไม่รักชีวิต หลักฐานปรากฏแจ่มแจ้งว่านักศึกษาสวมกางเกงชั้นในคือผู้ชนะ
มนุษย์กลายพันธุ์ไม่รู้สึกเจ็บปวด เนื่องจากสีหน้าของเขาแทบไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ แต่การโจมตีเมื่อครู่ก็เรียกว่าได้ผลจริง มันจึงถอยหลังไปหลายก้าว ตรงจากระเบียงถอยกลับเข้าไปในห้อง นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในน่าจะรู้สึกเจ็บ เนื่องจากเขาแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างน่าสงสาร แต่ร่างกายกลับไม่ลังเลสักนิด เขารีบใช้ไหล่กระแทก ดันหน้าอกของอีกฝ่ายเต็มแรง!
มนุษย์กลายพันธุ์ยืนอย่างมั่นคงไม่ได้อีกต่อไป มันก้าวถอยไปด้านหลัง ในที่สุดก็หงายหลังไปชนเก้าอี้ สองมือพยายามไขว่คว้าอากาศก่อนล้มลงกับพื้น
ซ่งเฝ่ยมองสถานการณ์ภายในห้องได้ไม่ชัดเจน เขามองเห็นเพียงเลือนรางว่านักศึกษาสวมกางเกงชั้นในก้มลง เขาจึงรีบตะโกนขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “อย่าให้เขากัดนาย! อย่าให้คนอื่นเข้ามา! ”
สุดท้ายดูเหมือนนักศึกษาสวมกางเกงชั้นในจะคว้าเสื้อผ้าแล้วลากเจ้านั่นออกไป ระหว่างลากดูเหมือนมนุษย์กลายพันธุ์ยังคิดจะสู้ต่อ แต่ท่าทางเหมือนเจ้าเต่าหงายกระดองเป็นอุปสรรคในการโต้กลับอย่างมากทีเดียว
ในที่สุด ซ่งเฝ่ยก็ได้ยินเสียงประตูปิดดังลั่น
หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นชั่วคราว
จากนั้นไม่นานนักศึกษาสวมกางเกงชั้นในก็กลับมาที่ระเบียง ถึงแม้จะเป็นไม่อันตราย แต่ใครบ้างที่คิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่น่ากลัว “บ้าอะไรเนี่ย ฉันอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยรึเปล่าเนี่ย วันนี้มีสอบระดับสี่กับหกไม่ใช่เหรอ หรือว่าทำข้อสอบไม่ได้จนคลั่งขึ้นมา”
ดูเหมือนเขากำลังพึมพำ แต่ความจริงแล้วอีกฝ่ายกำลังพยายามทำให้จิตใจที่หวาดกลัวของตนเองกลับมาสงบลงต่างหาก
ซ่งเฝ่ยเข้าใจดี อย่าว่าแต่อีกฝ่ายที่ประสบฝันร้ายมา แม้แต่ตัวเขาเอง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำใจยอมรับเพื่อนนักศึกษาที่คลั่งกินคนสติฟั่นเฟือนแบบนั้นได้
ด้านข้างไม่มีมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว ความวุ่นวายกลับมาสงบสุขอีกครั้ง แลดูเงียบสงบเหมือนบริเวณหอพักในช่วงเวลาปกติ อย่างไรก็ตาม ปกติหากพื้นที่สาธารณะสีเขียวบริเวณหอพักมีเศษกระดาษก็จะถูกป้าแม่บ้านโจมตีอย่างรุนแรง ซึ่งตอนนี้พบเจอเพียงแขนขาดๆ แทบทุกหนแห่ง แต่กลับไร้เงาของป้าแม่บ้าน ป้าในหอพักก็เหมือนกับมนุษย์ป้าที่ออกมาแถวจัตุรัสในยามที่สังคมมีความเจริญและมีเสถียรภาพ แต่หากเป็นตรงกันข้าม คิดต่อเอาเองก็แล้วกัน
ณ “ฝั่งตรงข้าม” นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในตระหนักได้ว่าตนไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย จึงขอความช่วยเหลือจากภายนอก “มา ขอหลักวิทยาศาสตร์หน่อย”
ตอนนี้ซ่งเฝ่ยกำลังนึกชื่นชมเขาที่ยังสงวนท่าทีสงบนิ่งไว้ได้ แต่ลองคิดกลับกัน หากเขาไม่เคยเห็นมนุษย์กลายพันธุ์กินคนกับตาตัวเองก็ย่อมไม่อยู่ในสภาพเหมือนซ่งเฝ่ยที่ถูกโจมตีจนหวาดกลัวเช่นนี้
ในสถานการณ์ดังกล่าว ซ่งเฝ่ยเองก็งุนงงเช่นเดียวกัน หากจะให้พูดตามหลักวิทยาศาสตร์ สู้เล่าใหม่ตั้งแต่ต้นเสียดีกว่า “มีนักศึกษาที่คลุ้มคลั่งแบบนี้บุกเข้ามาในห้องระหว่างการสอบระดับสี่ พอเห็นคนก็กระโจนเข้าใส่ จากนั้นก็ลงมือกัดแทะ การสอบยังไม่สิ้นสุด แต่ทุกคนก็วิ่งหนีออกมากันหมด! ฉันไม่ได้โกหกนะ ตอนนี้อาคารเรียนอย่างกับนรกเลย มีศพเกลื่อนอยู่แทบทุกที่…”
พอพูดถึงช่วงท้าย กระบอกตาของซ่งเฝ่ยก็ร้อนผ่าว ไร้เสียงเอื้อนเอ่ย
นั่นคือความโศกเศร้าที่เห็นเพื่อนนักศึกษาตายต่อหน้าต่อตา เขาไม่ได้กำลังเล่าเนื้อเรื่องภาพยนตร์หรือข่าว แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นกับคนที่เขารู้จัก กระทั่งตอนนี้ หูของเขาก็ยังได้ยินเสียงโอดครวญและเสียงกรีดร้อง ความสยองขวัญก่อนหน้านี้รุนแรงมาก ครอบคลุมทุกอย่างเอาไว้ ชีวิตที่เหลืออยู่จากนี้ ความรู้สึกเหล่านี้ก็จะคงอยู่ในความทรงจำยามที่มองย้อนกลับมาในภายหลัง
คนตรงข้ามได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง “นายล้อฉันเล่นสินะ…”
ถึงแม้จะเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่ใช่ความสงสัยที่มั่นใจมากนัก เนื่องจากกองเลือดใต้ตึกบาดตาเสียขนาดนั้น แม้จะไม่ได้เห็นเองกับตา แต่ก็พอจะเชื่อมโยงกับเรื่องน่าเศร้าได้
ลมหนาวพัดมา
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในที่ร่างกายเปลือยเปล่าควรจะรู้สึกหนาว แต่ราวกับว่าเขาสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว
“ใครมันจะมีอารมณ์ไปล้อนายเล่น! ” ทันใดนั้นซ่งเฝ่ยก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านบน “ซอมบี้อะ เข้าใจไหม! เรซิเดนต์อีวิล เข้าใจไหม! เพราะต้องรักษาชีวิตถึงไม่ได้ส่งกระดาษข้อสอบไง! ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปด้านบน พบว่ามีเงาคนอยู่บนระเบียงห้อง 640 เนื่องจากเป็นมุมตั้ง ซ่งเฝ่ยจึงมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
แต่ความจริงไม่ต้องมองก็ได้
เขาจำเสียงที่กำลังระบายความคับแค้นนี้ได้ดี
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในขมวดคิ้ว เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นแน่ๆ อย่าว่าแต่มีนักศึกษาสองคนเป็นพยาน เจ้าหมอนั่นที่เขาเพิ่งต่อสู้ด้วยก็ไม่เหมือนคนบ้าเลยสักนิด แต่ที่พูดว่าซอมบี้หรือ เรซิเดนต์อีวิล ก็ออกจะไร้สาระไปหน่อย “เป็นโรคระบาดหรือเปล่า โรคซาร์สหรือไข้หวัดนกทำนองนั้น”
คนด้านบนพ่นเสียงออกมาทางจมูก “นายเคยได้ยินว่าโรคระบาดพวกนั้นทำให้ผู้ติดเชื้อกลายเป็นมนุษย์กินคนได้ด้วยหรือไง”
“ยาเสพติดล่ะ” ซ่งเฝ่ยนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ชีเหยียนเคยให้เขาดูคอมเมนต์วิเคราะห์ใต้โพสต์ในเวยปั๋ว “สารเสพติดจะทำให้คนเกิดภาพหลอนและแสดงความก้าวร้าว”
คนข้างบน “คนเสพยาด้วยกันมากขนาดนี้เลย เทผงขาวลงในท่อน้ำของมหาวิทยาลัยหรือไง”
ซ่งเฝ่ยเงียบ
เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นกะทันหันก็เหมือนปัญหาที่ไร้ทางแก้ อย่าว่าแต่คำตอบเลย แม้แต่คำถามก็อยู่เหนือความสามารถแล้ว!
ชีเหยียน!
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งพลันปรากฎขึ้นในสมองจนทำให้หัวใจของซ่งเฝ่ยบีบรัดแน่น เขารีบกลับเข้าห้อง หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมา แต่แล้วก็โยนทิ้งอีกครั้งด้วยความเสียใจ
ยังคงไม่มีสัญญาณ
หมอนั่นอยู่ไหนกัน บอกว่าจะกินข้าวกับเขาไม่ใช่หรือ อยู่แถวๆ อาคารจื้อหย่วน โรงอาหาร หรือเข้าห้องสมุดไประหว่างรอเวลา หรือว่า…กลับมาที่หอพักแล้ว
เขาวิ่งกลับไปที่ระเบียง ซ่งเฝ่ยตะเบ็งเสียงตะโกนลงไปด้านล่าง “ชีเหยียน-น-น”
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และนักศึกษาที่โกรธแค้นจากการไม่ได้ส่งกระดาษข้อสอบที่อยู่ด้านบนต่างพากันสะดุ้งตกใจ ขวัญเอ๋ยขวัญมา!
เนื่องจากเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองเหมือนกัน หอพักของชีเหยียนจึงอยู่ชั้นสองของตึกแห่งนี้ กระทั่งเสียงก้องสะท้อนของซ่งเฝ่ยเงียบหายไป ด้านล่างก็ยังคงไร้เสียงตอบ
ซ่งเฝ่ยทรุดนั่งบนระเบียงอย่างอ่อนแรง ความกลัวเกาะกุมหัวใจ แต่เขาพยายามปลอบตนเอง อีกฝ่ายอาจจะยังไม่กลับหอ วิ่งหนีไปซ่อนตัวที่อื่น หรืออาจเป็นไปได้ว่ายังไม่พบพวกกลายพันธุ์
“ตอนนี้จะทำยังไงกันดี” นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในและนักศึกษาที่ไม่ได้ส่งกระดาษข้อสอบสนทนากัน
นักศึกษาที่ไม่ได้ส่งกระดาษข้อสอบมีหัวใจอันแข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดี “จะทำอะไรได้ล่ะ ก็รอไง คนตายเยอะขนาดนี้ นายคิดว่าทางมหาวิทยาลัยจะไม่ทำอะไรเลยเหรอ ตอนนี้คณบดีคงร้อนใจจนไม่รู้จะร้องไห้ยังไงแล้ว”
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นใน “จะทำยังไงดี จับตัวพวกที่คลั่งเอาไว้เหรอ”
นักศึกษาที่ไม่ได้ส่งกระดาษข้อสอบ “อันนั้นก็ไม่รู้แล้ว สู้กับซอมบี้ทุกวันก็ไม่ไหวหรอกนะ”
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นใน “นี่ก็พิลึกชะมัด โทรศัพท์แม่งยังไม่มีสัญญาณอีก”
นักศึกษาที่ไม่ได้ส่งกระดาษข้อสอบ “สมัยนี้เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว”
“นักศึกษาโปรดระวังตัว นักศึกษาโปรดระวังตัว”
เสียงประกาศของมหาวิทยาลัยดังขึ้น ซ่งเฝ่ยตื่นเต้นพลางลุกขึ้นยืน “เกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างการสอบระดับสี่ ทำให้การสอบหยุดชะงัก มีนักศึกษาได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ตอนนี้นักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บกำลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ขอให้นักศึกษากลับหอพักและล็อกประตูหน้าต่าง หากไม่ได้รับอนุญาตจากทางมหาวิทยาลัย ห้ามออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด ส่วนนักศึกษาที่ยังไม่ได้กลับหอพัก ขอให้หลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัย อย่าออกไปเดินเพ่นพ่าน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความแตกตื่นโดยไม่จำเป็น นักศึกษาทุกคนโปรดระวังตัว ย้ำอีกครั้ง เกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างการสอบระดับสี่…”
เสียงประกาศวนซ้ำทั้งหมดห้ารอบ
สุดท้ายตอนที่เสียงเงียบลง ซ่งเฝ่ยก็เกือบจะท่องตามได้แล้ว
“เอาละ รอต่อไป” นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวอีกครั้ง เสียงประกาศช่วยให้จิตใจสงบลง เขาจึงเริ่มรู้จักหนาวเสียที “ตอนกลางคืนคณบดีอาจจะมาปลอบขวัญก็ได้”
นักศึกษาที่ไม่ได้ส่งกระดาษข้อสอบเองก็รู้สึกโล่งใจเช่นเดียวกัน ก่อนเอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามของผู้กล้า “เฮ้ นายอยู่คณะไหน”
นักศึกษาสวมกางเกงชั้นในตอบกลับอย่างไม่ถือตัว “คณะคณิตศาสตร์ ชื่อหลัวเกิง นายล่ะ”
นักศึกษาที่ไม่ได้ส่งกระดาษข้อสอบตอบกลับเช่นเดียวกัน “คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ โจวอีลวี่” สิ้นคำก็เอ่ยชื่นชมอีกฝ่ายอีกครั้ง “สองกระบวนท่าเมื่อกี้ใช้ได้เลยนะ เคยฝึกมาเหรอ”
หลัวเกิงท่าทางสงบนิ่งดุจจอมยุทธผู้ห้าวหาญ หากไม่คลุมร่างกายด้วยผ้าห่ม เกรงว่าเขาคงจะแบมือสองข้างพลางยักไหล่ “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่มวยทหาร”
โจวอีลวี่นึกเซ็ง “ไอ้มวยนี่มันมีประโยชน์จริงดิ”
“ขึ้นอยู่กับว่านายฝึกฝนยังไง อยากลองดูก็ได้ หรือคิดจะเรียนจริงๆ ก็ดี” หลัวเกิงพูดถึงตรงนี้ก็เว้นจังหวะ ก่อนมองอย่างเฉยเมย “แต่ถ้าพวกนายฝึกมาสามปีก็จะไม่อยากเรียนรู้อะไรอีกแล้ว เพราะมันน่าเบื่อสุดๆ ไปเลย”
ตอนแรกซ่งเฝ่ยไม่คิดจะเข้าร่วมการสนทนา แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้ก็ทนไม่ไหว “ก็ฝึกแค่ปีหนึ่งกับปีสองไม่ใช่เหรอ หรือนายซ้ำชั้น”
หลัวเกิงค้อนใส่เขา “เพราะพี่เก่งเกินไปน่ะสิ คนในคณะให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยไปหรอก! ”
ซ่งเฝ่ยเข้าใจแล้ว คณะของเขาเองก็มีเรื่องแบบนี้ รุ่นพี่ทั้งชายหญิงที่แสดงได้ดี พอขึ้นปีสามก็ยังถูกเรียกตัวกลับมาสอนมือใหม่อย่างพวกเขา แต่สอนเท่าไรก็ยังไม่ดีสักที สุดท้ายพวกรุ่นพี่จึงต้องยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อเป็นคนนำแสดง ก็เหมือนกับผู้นำเต้นออกกำลังกายในชั้นเรียนนั่นแหละ
โจวอีลวี่เห็นใจ “ดูเหมือนนายจะมีทักษะจริงๆ แฮะ ที่สำคัญคือใช้เอาชีวิตรอดได้ด้วย! ”
ซ่งเฝ่ยถอนหายใจ “มันขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนด้วยนะ”
โจวอีลวี่ “ความสามารถพิเศษพวกนี้ก็ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ได้ด้วยสินะ”
ซ่งเฝ่ย “แต่รำไท่เก๊กทำไม่ได้!”
[1] Resident Evil คือ ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากเกม มีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้และเอาชีวิตรอดจากซอมบี้หรือสัตว์ประหลาด
[2] หมายถึง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
[3] รูปแบบกางเกงในชายทั่วไป
[4] หมายถึง การต่อสู้แบบตัวต่อตัว คนที่สูญเสียไม่ใช่แค่ศัตรู แต่สูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย