มหาวิทยาลัยซอมบี้
Zombies in College
喪病大學
顏涼雨 เหยียนเหลียงอวี่ เขียน
Jpolly Wu แปล
นิยาย 4 เล่มจบ (วางขายเเยกเล่ม)
TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE *
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน), death (การตาย),
depression (ภาวะซึมเศร้า), gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง) และ suicide (การฆ่าตัวตาย)
———————————————————–
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนที่ 64
ชีเหยียนไม่มีอาการป่วยแต่อย่างใด ร่างกายแข็งแรงขึ้นเป็นสองเท่า อีกทั้งยังเจริญอาหาร เนื้อกระป๋องที่ถูกเปิดพลันหายวับไปในชั่วพริบตา ไม่เหลือแม้แต่เศษเนื้อ ซ่งเฝ่ยกับเหอจือเวิ่นไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาใช้แรงกายไม่เท่าชีเหยียนหรือเปล่า ทั้งสองจึงเปิดอาหารกระป๋องเดียวและแบ่งกันกิน แค่นี้ก็ไม่รู้สึกหิวแล้ว
ปริมาณอาหารเพียงพอ แต่น้ำดื่มกลับพร่องลงไปมาก พวกเขาพกน้ำดื่มมาเพียงคนละขวด ของชีเหยียนดื่มจนหมดเกลี้ยงแล้ว ของซ่งเฝ่ยเองก็เหลือเพียงก้นขวด เหอจือเวิ่นประหยัดที่สุด ยังเหลืออีกครึ่งขวดและไม่กล้าดื่มอีก
“ใช่แล้ว เมื่อวานลืมถามไปเลย นายเอาลูกปิงปองมาจากไหนเหรอ” ตอนที่กำลังจัดกระเป๋าเป้กันใหม่ จู่ๆ ซ่งเฝ่ยก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“ชั้นนี้มีห้องตีปิงปอง เมื่อวานตอนที่บุกขึ้นมา ชั้นนี้มีซอมบี้เยอะมาก พยายามอยู่หลายครั้งก็ไปไม่ถึงลิฟต์สักที ฉันเลยซ่อนตัวอยู่ในนั้น ก่อนจะคว้าติดมือมาหนึ่งถุง”
“ไม่ใช่แค่ปิงปองนะ คณะของพวกเขายังมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ด้วย ทุกภาคการศึกษาจะมีการจัดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต มิหนำซ้ำพวกนักกีฬายังมาชวนพวกเราไปชมการแข่งขันทุกครั้ง พูดซะสวยหรูว่าให้พี่น้องในคณะได้มีโอกาสชื่นชมก่อนใคร ช่างน่าไม่อายเอาซะเลย!” เหอจือเวิ่นไม่ได้เพิ่งเกลียดชังพวกเขามาแค่วันสองวัน จึงปวดหนึบหัวใจทุกครั้งที่นึกถึง
ซ่งเฝ่ยไม่เคยชมการแข่งขันด้วยตาตนเองมาก่อน แต่ก็รู้ว่าคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์มีงานประเพณีที่ทำให้ใครๆ พลอยรู้สึกอิจฉาตาร้อน “พวกนายเองก็จัดได้เหมือนกันนี่ แค่ยืมใช้ห้องเรียน ใช้โน้ตบุ๊กเชื่อมอินเทอร์เน็ตแค่ไม่กี่เครื่อง เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง”
“พวกเขาคือคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ แถมมีชื่อเสียงในการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต จะให้พวกเราคณะฟิสิกส์ไปแข่งอีสปอร์ตเนี่ยนะ”
ซ่งเฝ่ยนึกอยากให้คำแนะนำที่สร้างสรรค์แก่เหล่าสหายคณะฟิสิกส์ แต่ไม่ว่าจะบีบเค้นสมองคิดอย่างไรก็นึกคำพูดที่ฟังดูเป็นมืออาชีพไม่ออก “คณะของพวกนายจริงจังเกินไป แสดงความสามารถออกมาได้ไม่เต็มที่หรอก”
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้” ในฐานะนักศึกษาคณะฟิสิกส์ เขาย่อมวิพากษ์วิจารณ์คณะของตนเองได้ทุกเมื่อ แต่ไม่อาจยอมให้คนอื่นทำได้ “คณะของพวกเราจัดการแข่งขันลูกรอกยกของ แข่งขันนวัตกรรมการชักรอกแบบใหม่ และการดูดซับแรงกระแทกของวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง จริงจังตรงไหนกัน ตรงไหนที่ฟังดูแล้วไม่คันไม้คันมืออยากจะลองทำดูบ้าง”
ซ่งเฝ่ย “…”
ชีเหยียน “ฟังดูน่าสนใจมากนะ”
เหอจือเวิ่น “ใช่ไหมๆ ฉันจะเล่าให้ฟัง การใช้ลูกรอกยกวัตถุสุดยอดที่สุด เมื่อปีที่แล้วมีรุ่นพี่คนหนึ่งทำได้อย่างงดงามและสามารถใช้งานได้จริง อาจารย์ท่านหนึ่งถูกยกขึ้นระหว่างการแข่งขัน! หากไม่เป็นเพราะต่อมาลูกรอกติดขัด จนอาจารย์ต้องค้างอยู่กลางอากาศนานเกือบหนึ่งชั่วโมงละก็ ตำแหน่งแชมป์จะต้องเป็นของเขาแน่!”
ชีเหยียน “…หรือไม่ พวกนายก็เล่นเกมอีสปอร์ตแทนดีกว่านะ”
หลังจากนั้นเหอจือเวิ่นก็เอาแต่เอนหลังพิงผนังไม่พูดไม่จา หน้าตาบูดบึ้งอยู่นาน
ชีเหยียนคิดไม่ถึงว่าคำพูดพล่อยๆ ของตนเองจะมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ เดิมทีพวกเขาแค่คุยกันเรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่าจะกระทบหัวใจกระจก [1] จึงรู้สึกผิดไม่น้อย “ฉันขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้ การแข่งขันของคณะพวกนายเป็นการบูรณาการความรู้เข้ากับความสนใจอย่างแท้จริง สอดคล้องกับจิตวิญญาณและสไตล์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยยุคปัจจุบัน…”
เหอจือเวิ่นอารมณ์ดีขึ้น จึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้หงุดหงิดเพราะนายนะ”
ชีเหยียนไม่เข้าใจ
“แค่กำลังหวนนึกถึงวันเก่าๆ นิดหน่อย” เหอจือเวิ่นมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดตกกระทบใบหน้าของเขาให้ดูสดใสและสว่างไสว “เข้าเรียน เลิกเรียน กินข้าว ทำการทดลอง ทบทวนเนื้อหา สอบ…ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้กลับคิดถึงมันมากเลย”
ซ่งเฝ่ยนับวันแล้วพูดติดตลกว่า “ชีวิตที่นายคิดถึง เพิ่งผ่านไปแค่ยี่สิบวันเอง”
“เพิ่งจะยี่สิบวันเองเหรอ” เหอจือเวิ่นประหลาดใจ จากนั้นก็เอนตัวนอนหงายบนโต๊ะ มองเพดานด้านบนด้วยสีหน้าหมองเศร้า “ทำไมถึงรู้สึกเหมือนผ่านไปนานยี่สิบปีเลยล่ะ”
อันที่จริงซ่งเฝ่ยเข้าใจความรู้สึกของเหอจือเวิ่นดี
บางคำพูดค่อนข้างธรรมดาสามัญ แต่กลับโดนใจ เช่น ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทว่าช่วงเวลาแห่งความทุกข์ระทมกลับยาวนานแรมปี
ชีวิตที่เคยเรียบง่ายเหมือนสายน้ำ เมื่อลองมาคิดดูกลับเปี่ยมล้นไปด้วยรสชาติของความสงบสุข ทว่าชีวิตที่ราบรื่นมั่นคงและชีวิตของหนุ่มสาวที่ไร้ความกังวลนั้น จะหวนกลับมาได้ไหมนะ
พวกเขาทั้งสามคนหวนนึกถึงอดีต รวมถึงเป็นห่วงสหายคนอื่นที่กระจัดกระจายแยกย้ายกันไป เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ชัดเจนของพวกเขาสามคน นั่นคือการตามหาวิทยุ สหายทั้งสี่คนที่หลอกล่อศัตรูไปยังอีกสองอาคารกลับถูกตัดขาดการติดต่อสื่อสารโดยสมบูรณ์ พวกเขาจะเลือกยืนหยัดรอให้สหายร่วมรบย้อนกลับไปช่วยเหลือ หรือจะฝ่าทะลวงออกไป หรือจะพิจารณาความเป็นไปได้ของสถานการณ์อย่างถี่ถ้วน แล้วจึงเชื่อมั่นในตัวพวกเขาทั้งสามคน ย้อนกลับไปยังโรงอาหารอย่างปลอดภัยเช่นเดียวกับจ้าวเฮ่อ จะเป็นแบบไหนก็ไม่มีใครล่วงรู้
การถอนทัพกลับโรงอาหารย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ทำเช่นนั้น การที่พวกเขาสามคนหยุดพักอยู่ในอาคารเก๋ออู้ยาวนานขึ้นเพียงหนึ่งนาที ก็ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้สหายทั้งสี่ขึ้นอีกหนึ่งส่วน
เมื่อคิดเช่นนั้น พวกเขาสามคนจึงตัดสินใจอย่างกล้าหาญว่าจะออกปฏิบัติการในช่วงเวลากลางวัน
สิบนาทีต่อมา เริ่มออกปฏิบัติการโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
สิ่งเดียวที่พอจะเป็นรูปเป็นร่างก็คือพวกเขาเคลื่อนย้ายตำแหน่งจากห้องอ่านหนังสือชั้นเจ็ดไปยังห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ที่ชั้นแปดได้สำเร็จ
“ตอนกลางวันพวกมันแข็งแกร่ง ไม่มีทางแพ้แน่นอน” เมื่อนึกย้อนถึงความบ้าคลั่งเมื่อครึ่งนาทีที่แล้ว ในใจของซ่งเฝ่ยก็ยังคงหวาดกลัว
“คนบ้าบิ่นกลัวคนหยาบช้า คนหยาบช้าเกรงคนไม่รักชีวิต พวกมันไม่หลบการโจมตีเลยสักนิด ถ้าพวกเราทำได้แบบนั้นบ้าง ไม่รู้ว่าชัยชนะจะตกอยู่ในมือของใคร” เหอจือเวิ่นวิ่งจนเกือบหมดลมหายใจ แต่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ยังคงอยู่ไม่เลือนหาย
“คำถามคือไม่หลบได้ด้วยเหรอ!” ซ่งเฝ่ยโกรธมากจนอยากจะเตะเขาสักที ถ้าจะพูดแบบนี้ก็อย่าพูดเลยดีกว่า!
โต้เถียงกันอยู่นาน ก่อนซ่งเฝ่ยจะพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นี่คือชั้นแปด ไหนบอกว่าตั้งแต่ชั้นเจ็ดขึ้นไปก็เป็นของคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ไง ทำไมถึงมีห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ได้ล่ะ
“คณะของเรามีคนเยอะ พื้นที่ไม่เพียงพอ คณบดีก็เลยหารือกับทางมหาวิทยาลัย ยืนกรานว่าจะขอเพิ่มมาอีกครึ่งชั้นให้ได้” เหอจือเวิ่นอธิบาย “แต่ฉันก็แค่ได้ยินมา เพราะตอนที่ฉันเข้ามาเรียนก็เป็นแบบนี้แล้ว”
ซ่งเฝ่ยพยักหน้า ถือว่าได้ไขข้อสงสัยแล้ว ก่อนจะสังเกตว่าชีเหยียนเงียบไปตั้งแต่เข้ามา พอเขาเงยหน้ามอง ก็เห็นชายหนุ่มกำลังนั่งเล่นโต๊ะทดลองตรงหน้าอย่างเคร่งขรึม
ซ่งเฝ่ยเดินเข้าไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ พบว่าชีเหยียนเปิดกล่องลูกตุ้มน้ำหนักที่วางอยู่บนโต๊ะออก ยามนี้ดวงตากำลังจดจ้องที่ลูกตุ้มโลหะขัดมันแวววาวขนาดต่างๆ ภายในกล่อง ท่าทางราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ขณะที่ซ่งเฝ่ยกำลังจะถามว่านายคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นชีเหยียนก็หยิบลูกตุ้มน้ำหนักออกมา ยัดใส่เข้าไปในถุงพลาสติกที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน หลังจากรวบข้าวของบนโต๊ะหมดแล้วก็ยังไม่พอใจ ตั้งท่าเหมือนจะปล้นทรัพย์สินทั้งหมดภายในห้องปฏิบัติการไปด้วย
เหอจือเวิ่นผงะ ผ่านไปนานครู่หนึ่งก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและเอ่ยห้าม “นี่ แตะต้องข้าวของในห้องปฏิบัติการไม่ได้นะ มันเป็นทรัพย์สินส่วนรวม อีกอย่าง ถ้านายเอาไปแล้ว วันหน้าพวกฉันจะทำการทดลองยังไง!”
ซ่งเฝ่ยคว้าหลังคอของชายหนุ่ม “ฉันเข้าใจความรักลึกซึ้งที่นายมีต่อคณะฟิสิกส์นะ แต่สิ่งสำคัญของการทดลองไม่ใช่เครื่องมือการทดลองที่สมบูรณ์ แต่เป็นคนทำการทดลองที่ยังมีชีวิตอยู่”
เหอจือเวิ่นลังเล ไม่ค่อยอยากยอมรับนัก “แต่ว่า…”
ชีเหยียนหยุดมือ ช้อนตาขึ้นอย่างเชื่องช้า “ถ้าตอนนี้นายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ เป็นจอมยุทธ์ฟิสิกส์ แต่อาวุธที่ปล่อยออกมาระหว่างการต่อสู้คือมีดบิน มันเหมาะสมหรือเปล่า”
เหอจือเวิ่น “ไม่!”
ชีเหยียน “ถ้าเป็นลูกตุ้มน้ำหนักล่ะ”
เหอจือเวิ่น “เท่ระเบิด!”
หลังเหอจือเวิ่นเปลี่ยนความคิดครั้งใหญ่อย่างรวดเร็ว เหอจือเวิ่นก็หันกลับมาให้คำแนะนำซ่งเฝ่ยอย่างกระตือรือร้น “ฉันเป็นจอมยุทธ์ฟิสิกส์ นายเองก็คิดชื่อเท่ๆ ให้ตัวเองบ้างสิ”
วัยรุ่นทุกคนล้วนแต่มีซูเปอร์ฮีโร่ในดวงใจทั้งนั้น
แต่…
ซ่งเฝ่ยถลึงตาใส่เขา ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
ชีเหยียนยัดลูกตุ้มน้ำหนักกล่องสุดท้ายใส่เข้าไปในถุงพลาสติก ก่อนจะอธิบายอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้อง เขาคือแบล็กวิโดว์”
ดวงอาทิตย์ลาลับ ดวงจันทร์ขึ้นแทนที่ ยามค่ำคืนกำลังย่างกรายเข้ามา
แท้จริงเพิ่งเป็นเวลาหกโมงเย็นเท่านั้น ทว่าโลกทั้งใบกลับมืดมิดราวกับเป็นเวลาเที่ยงคืน
ชีเหยียนยื่นศีรษะออกไปนอกห้องปฏิบัติการเล็กน้อย อาศัยแสงเลือนรางในโถงทางเดินหันมองซ้ายขวา
วินาทีต่อมา ลูกปิงปองหลายสิบลูกก็กลิ้งไปทางขวามือของทางเดินด้วยความเร็วเริ่มต้น!
ชีเหยียนรีบปิดประตูห้องปฏิบัติการ ใช้เพียงใบหูแนบกับประตูเพื่อฟังเสียง
ซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นกลั้นหายใจ รอคอยคำสั่งอย่างมาดมั่น
เสียงฝีเท้าโกลาหลดังมาจากทางด้านซ้ายของโถงทางเดิน ก่อนจะวิ่งผ่านประตูห้องปฏิบัติการไปทางขวามืออย่างรวดเร็ว
ตอนนี้แหละ!
ชีเหยียนเปิดประตู จากนั้นก็วิ่งไปทางซ้ายอย่างไม่ลังเล!
ซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นรีบตามไป พยายามวิ่งโดยใช้ปลายเท้าแตะพื้นเพื่อให้เกิดเสียงเบาที่สุด!
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงกลางคืนแสงสว่างไม่เพียงพอและอุณหภูมิก็ลดลงหรือไม่ จึงมีผลต่อการเคลื่อนไหวของซอมบี้ประมาณหนึ่ง บันไดของอาคารเรียนเย็นเยียบว่างเปล่า พวกเขาสามคนวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสิบเอ็ดได้ภายในอึดใจเดียว เมื่อเห็นชั้นสิบสองอยู่เหนือศีรษะ จึงเพิ่งเจอซอมบี้ตนแรก
ซอมบี้ตนนั้นคือชายชราเส้นผมสีดอกเลา รูปร่างผอมบาง ครึ่งหน้าเต็มไปด้วยลิ่มเลือดแห้งเกรอะกรัง อีกครึ่งหนึ่งสะอาดสะอ้าน เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงก่อนเสียชีวิต
คนมีอายุส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ที่ถูกเชิญกลับมารับตำแหน่งเดิมหลังจากปลดเกษียณ แม้พวกเขาสามคนจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นสภาพของชายชราเป็นเช่นนี้ก็อดใจหายไม่ได้
ขณะที่สามคนทางนี้กำลังลังเล ซอมบี้ทางโน้นก็พุ่งเข้ามาแล้ว โชคดีที่ซอมบี้ไม่คล่องแคล่วนัก อาจเพราะอายุอานามก่อนเสียชีวิต ชีเหยียนกำหอกในมือแน่น ไม่ถอยไม่หลบ รอจนกระทั่งซอมบี้ก้าวเข้าสู่ระยะโจมตีก็ปล่อยอาวุธทันที!
กลยุทธ์การรบของชีเหยียนค่อนข้างเรียบง่าย แทงให้ล้มในครั้งเดียว ดึงกลับแล้วแทงซ้ำเข้าที่หัว โดยมีซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นตั้งท่าเตรียมพร้อมเข้าไปซ้ำ
ประสบการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่ากระบวนท่านี้เป็นโหมดต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพมาก
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเตะถูกแผ่นเหล็ก [2] เข้าเสียแล้ว
ทันทีที่ซอมบี้กำลังจะถูกแทง มันก็เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงรอดพ้นจากองศาการโจมตีของชีเหยียนเท่านั้น ยังยกมือขึ้นจับหอกไว้ แล้วออกแรงกระชากตัวชีเหยียนเข้าไปด้วย!
เมื่อชีเหยียนถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งหอกก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่าง จึงเตรียมพร้อมต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีเรี่ยวแรงมากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ แม้ไม่ดุร้าย แต่ก็ดูเชี่ยวชาญ แฝงด้วยจังหวะบางอย่างที่ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจปัดป้อง ทั้งจับทั้งกระชากจนชีเหยียนยืนแทบไม่อยู่ เขาเซถลาไปข้างหน้า ก่อนจะล้มลงสู่อ้อมแขนของศัตรู!
ซอมบี้คาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว ในวินาทีที่ชีเหยียนถลาเข้าไป ปากมันจึงพุ่งมาจะกัดใบหน้าโดยไม่ลังเล!
ภายใต้สถานการณ์คับขัน ชีเหยียนที่ไม่อาจดิ้นรนขัดขืน จึงยกมือขึ้นดันช่วงกรามของอีกฝ่ายพอให้ตนเองได้หายใจหายคอสองวินาที!
ภายในสองวินาทีนี้ ตะเกียบโลหะของซ่งเฝ่ยเตรียมจะปักเข้าที่ขมับของซอมบี้อย่างรวดเร็ว!
มีดสั้นของเหอจือเวิ่นเองก็โจมตีที่หัวของซอมบี้เช่นกัน!
อดทนอีก 0.01 วินาที ปลายตะเกียบโลหะของซ่งเฝ่ยก็จะเสียบเข้าไปในขมับของซอมบี้แล้ว แต่ชีเหยียนไม่ไหวแล้ว ทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ!
ในที่สุดมือของชีเหยียนก็ถูกหัวของซอมบี้กดลง จากนั้นหัวหนักอึ้งที่ทิ้งน้ำหนักลงมาก็กระแทกเข้ากับแว่นตานิรภัย!
เป็นจังหวะเดียวกับที่มันหลบพ้นตะเกียบของซ่งเฝ่ยพอดี!
ถึงแม้เหอจือเวิ่นจะปักมีดลงไปแล้ว เดิมทีหมายจะเสียบแทงที่ใบหน้าของซอมบี้ ตอนนี้เป้าหมายกลับเปลี่ยนไปเป็นหน้าผาก แต่จุดนั้นมีกะโหลกศีรษะขวางไว้ เขาจึงแทงลงไปไม่เข้า
โชคดีที่ชีเหยียนปล่อยมือออกทัน เขาใช้มีดสั้นที่ไม่รู้ว่าดึงออกจากเอวตั้งแต่เมื่อไร เสียบเข้าที่ขมับของซอมบี้ทันที
ซอมบี้แน่นิ่งไม่ไหวติง ล้มทับอยู่บนร่างชีเหยียน
จากนั้นชีเหยียนก็พยายามวางมันพิงมุมบันไดให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้จะผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงมาได้อย่างปลอดภัย แต่ก็ยังนับเป็น “เหตุการณ์ร้ายแรง” อยู่ดี ซ่งเฝ่ยรู้สึกมึนงง จึงถอนหายใจพลางถามว่า “มันอายุเยอะขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมถึงยังมีแรงตอบโต้นายได้”
“พูดไปนายก็คงจะไม่เชื่อ” ชีเหยียนจนใจ “แต่มันไม่ธรรมดาจริงๆ อาจจะเคยผ่านการฝึกฝนมาบ้าง”
ซ่งเฝ่ยทำหน้างง “อาจารย์คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์จะเคยฝึกอะไรมา”
“มวยไท่เก๊ก” นักศึกษาเหอเคยเห็นผ่านตาอยู่บ่อยครั้งย่อมจำกิจกรรมต่างๆ ของคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ได้ดี “เมื่อก่อนตอนที่เข้าออกห้องเรียน ก็มักจะเห็นเขาฝึกซ้อมกันตรงพื้นที่โล่งใต้อาคารเสมอ ฉันได้ยินมาจากเพื่อนคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ ว่าอาจารย์ชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เขาฝึกมวยไท่เก๊กมาหลายสิบปีแล้ว”
ชีเหยียน “…”
ซ่งเฝ่ย “คราวหน้าข้อมูลแบบนี้ก็บอกกันล่วงหน้าสิ!”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะกลายเป็นซอมบี้แล้ว มันก็ไม่ใช่แค่ “ซอมบี้นิรนาม” แต่เป็น “มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีเลือดเนื้อและมีที่มาที่ไป” พวกเขาทั้งสามเข้าไปดูศพนั้นอีกครั้ง อารมณ์ความรู้สึกยิ่งซับซ้อนมากกว่าเดิม
ชีเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวไปข้างหน้าเป็นคนแรก เดินขึ้นไปชั้นบนต่อ
ซ่งเฝ่ยกับเหอจือเวิ่นมองสบตากัน และติดตามไปเงียบๆ
ชั้นสิบเอ็ดและสิบสองเป็นห้องประชุมและห้องพักอาจารย์ของคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ จำนวนคนค่อนข้างน้อยกว่าชั้นล่าง อีกทั้งตอนที่เกิดเรื่องเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จึงแทบจะไม่มีคน ดังนั้นเมื่อเดินมาถึงโถงทางเดินของชั้นสิบสอง พวกเขาสามคนจึงไม่เจอซอมบี้อีกเลย
นี่ถือเป็นเรื่องดี
แต่เรื่องดีที่ราบรื่นเกินไป ก็มักจะทำให้คนรู้สึกไม่วางใจเท่าใดนัก
โถงทางเดินว่างเปล่า คนทั้งสามย่องเงียบๆ กลั้นหายใจพลางสืบเท้าก้าวไปข้างหน้า
อย่างที่เหอจือเวิ่นพูด ห้องพักของอาจารย์ท่านนั้นอยู่สุดทางเดิน ตรงข้ามกับบันได และตอนนี้ระยะห่างระหว่างพวกเขากับห้องพักอาจารย์ก็ลดน้อยลงเหลือเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น
แสงจันทร์กระจ่าง
ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
เงาของพวกเขาทั้งสามทอดยาว ราวกับขยายไปสู่ส่วนลึกของความมืดมิด
จังหวะที่จะเดินผ่านห้องเก็บของที่ซ่อนตัวอยู่ พวกเขาลังเลเล็กน้อย ก่อนที่ชีเหยียนจะถอยหลังกลับมา
ซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นไม่รู้เหตุผล เพียงชะงักนิ่งอยู่ที่เดิม
ชีเหยียนผลักบานประตูเปิดอย่างระมัดระวัง สิ่งที่สะท้อนในดวงตาคือความคับแคบและรกเละเทะ แต่มั่นใจได้ว่าไม่มีมนุษย์หรือซอมบี้อยู่ในนี้
ชีเหยียนสืบเท้านำเข้าไปก่อน จากนั้นส่งสายตาบอกให้คนอื่นๆ ตามเข้ามา
ซ่งเฝ่ยพอจะเข้าใจความหมายของชีเหยียน จึงรีบดึงตัวเหอจือเวิ่นที่กำลังมึนงงเข้าไปซ่อนตัวด้านใน
ชีเหยียนค่อยๆ ปิดประตูลง เว้นไว้เพียงช่องว่างพอให้แขนเข้าออกได้ จากนั้นก็ขว้างลูกปิงปองไปทางบันไดที่พวกเขาเดินขึ้นมา
เสียงลูกปิงปองไม่ถือว่าดัง แต่ในช่วงเวลาแห่งความสงบนี้ มันกลับชัดเจนและก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
กระทั่งเสียงเด้งของลูกปิงปองหายไปจนสุดทางเดิน ก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งผ่านห้องเก็บของประปราย มีซอมบี้ไม่มากนัก จากที่ฟังดูคาดว่ามีประมาณสามตน
เหอจือเวิ่นตระหนักได้เช่นเดียวกัน ว่านี่คือการเคลียร์พื้นที่ครั้งสุดท้ายของชีเหยียน
ห้องพักอาจารย์อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ยิ่งใกล้ความสำเร็จก็ยิ่งต้องตั้งสติและระวังตัวให้มาก…กล่าวได้ว่าชีเหยียนที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ แลดูนิ่งจนน่ากลัว
เมื่อเปิดประตูออกอีกครั้งและสาวเท้าเข้าไปในโถงทางเดิน พวกเขาทั้งสามคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยพร้อมเพรียง ถือเป็นการผ่อนคลายและทำให้ตนเองมีสติมากยิ่งขึ้น
เดินมาได้ราวสิบกว่าก้าว ในที่สุดคนทั้งสามก็มาถึงหน้าประตูห้องพักอาจารย์แล้ว
ประตูนั้นเป็นไม้เนื้อแข็ง ด้านบนไม่มีกระจกเปิดให้มองเห็นด้านใน นอกจากนี้หน้าต่างห้องพักอาจารย์ที่มีเพียงสองบาน ยังปิดกั้นด้วยม่านมู่ลี่แน่นสนิทจนไม่เหลือช่องว่างแม้เพียงจุดเล็กๆ
ชีเหยียนจับลูกบิดประตู กดลงไปเบาๆ และผลักข้อมือไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว
ประตูไม่ได้ล็อก!
หัวใจของชีเหยียนกระตุกวูบ เมื่อผลัก บานประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ภาพทั้งหมดในห้องพักอาจารย์สะท้อนเข้าสู่กรอบสายตาของชายหนุ่ม
ภายใต้แสงจันทร์เย็นเยียบ พื้นที่ทำงานส่วนใหญ่นั้นว่างเปล่า มีเพียงเงาของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาหันหลังให้ประตู นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อน จากมุมมองที่ประตูห้องไม่อาจระบุได้ว่าเป็น “เขา” หรือ “มัน”
ซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นก็เห็นแล้วเช่นกัน
คล้ายมีเสียงฝีเท้าจากโถงทางเดินดังมาแต่ไกล แต่ก็เหมือนมีเสียงอย่างอื่นด้วย ชีเหยียนไม่ลังเลอีกต่อไป เขารีบพุ่งตัวเข้าไป โดยมีซ่งเฝ่ยและเหอจือเวิ่นติดตามไม่ห่าง ก่อนจะรีบปิดประตูทันที
คลิก
เมื่อบานประตูปิดลง ชีเหยียนกดล็อกทันที
หัวใจซ่งเฝ่ยกับเหอจือเวิ่นพลันบีบรัดแน่น พวกเขาเข้าใจดี แม้การทำเช่นนี้จะไม่ปลอดภัยนัก แต่อย่างน้อยพวกเขายังจัดการกับสิ่งที่อยู่ด้านในเพียงสิ่งเดียวได้โดยไม่ต้องกังวลถึงสิ่งอื่น
ทว่าเมื่อบานประตูปิดล็อก สิ่งสิ่งนั้นก็ยังไม่หันกลับมา พวกเขาพลันรู้สึกชาวาบที่หนังศีรษะ
“อาจารย์” เหอจือเวิ่นลองหยั่งเชิงเอ่ยเรียก “คือว่า พวกเรามาขอยืมวิทยุครับ”
ชีเหยียนและซ่งเฝ่ยมองเขาด้วยท่าทีตื่นตระหนก
เหอจือเวิ่นพยักหน้าเบาๆ สื่อความหมายได้ชัดเจนที่สุดว่าอาจารย์ท่านนี้คือเจ้าของวิทยุ!
แต่เดิมคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังค้อมตัวก้มหลัง ดูเหมือนว่าศีรษะจะลดต่ำจนถึงโต๊ะ แต่เมื่อได้ยินเสียงก็ยืดตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า
วินาทีต่อมาก็หมุนเก้าอี้และผุดลุกขึ้นยืน ภายใต้เสียงเอี๊ยดอ๊าด เงาร่างที่หันหลังให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับประตู ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นใบหน้าเปื้อนเลือดและวิทยุสีดำขนาดเล็กที่อีกฝ่ายโอบอุ้มไว้นานแล้วอย่างชัดเจน
“ไม่รู้ว่าพวกนายคิดยังไง” ซ่งเฝ่ยกลืนน้ำลายลงคอ “แต่ฉันคิดว่า เขาไม่ค่อยอยากให้ยืมสักเท่าไหร่…”
[1] เป็นคำที่นิยมใช้กันในอินเทอร์เน็ต หมายถึง หัวใจที่เปราะบางแตกสลายได้ง่ายราวกระจก
[2] เปรียบเทียบว่ารังแกคนอื่น โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเก่งกาจกว่าตนเอง