ยุคสมัยแห่งธิดาอ๋อง
王女韶华
溪畔茶 ซีพั่นฉา เขียน
ภวิษย์พร แปล
— โปรย —
มาถึงวันที่ต้องเผชิญเหตุอับจนหนทาง
จำต้องลี้ภัยกลับมาสู่มาตุถูมิในดินแดนใต้เพื่อรักษาชีวิต
เขาคือผู้ที่เปิดโอกาสให้มู่หยวนอวี๋หลบหนีออกจากเมืองหลวง
และเขายังเป็นผู้ฝาก “ขวดน้ำมันน้อย” ไว้กับมู่หยวนอวี๋
ค้นหาตัวผู้บงการซึ่งอยู่เบื้องหลังเหตุร้ายทั้งหมด
และยังต้องดูแล “ขวดน้ำมันน้อย” จะเป็นอย่างไร
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
ตอนที่ 146
เมื่อมองเห็นตัวอักษรใหญ่ เขียนว่า “อวิ๋นหนาน” เหนือประตูเมือง ทุกคนต่างก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกโดยพร้อมเพรียงกัน
เตาซานกับหมิงฉินไม่ได้ติดตามมาด้วย จากการปรึกษากันระหว่างทาง พวกเขาหยุดพักอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก่อนหน้านี้ หมิงฉินแกล้งป่วย เตาซานจึงอยู่เพื่อคอยดูแลนาง
คนกลุ่มเล็กที่ออกตามหาคนแค่เฝ้ามู่หยวนอวี๋ไว้อย่างระมัดระวัง เท่านั้น ไม่ได้ให้ความสนใจสหายร่วมทางอย่างพวกเขาสองคน ชายฉกรรจ์ ที่เป็นหัวหน้ามีความระแวดระวังจึงคิดมากหน่อย แต่เขาคิดว่ามู่หยวนอวี๋ ยังคงนึกว่าพวกเขาคือนักต้มตุ๋น จึงทิ้งสหายสองคนไว้คอยรับตัวข้างนอก เขาแค่ต้องพาตัวมู่หยวนอวี๋ไปส่งเท่านั้น จึงไม่สนใจ “อุบายเล็ก ๆ” ของนาง ปล่อยให้นางจัดการอย่างที่ตัวเองต้องการ
หนึ่งเค่อก่อนที่จะออกเดินทางจากเมืองเล็ก เตาซานต้องเดินบีบจมูก[1]ไปซื้อเครื่องประทินโฉมมาครบชุด ส่วนหมิงฉินก็แข็งใจพาร่าง ที่ “ป่วยไข้” มาช่วยแต่งตัวให้มู่หยวนอวี๋
รอจนนางเผยโฉมอีกครั้ง เตาซานก็ถึงกับอึ้งงัน คลายมือที่บีบจมูกออก
เขาเอาลิ้นดุนฟันด้านใน ส่งเสียงเต๊าะ ๆ สองครั้ง แต่เพราะมีเหล่า ชายฉกรรจ์อยู่ด้วยจึงไม่สะดวกให้เอ่ยอะไร ได้แต่แอบทอดถอนใจ…มารดา เถอะ นี่นางเป็นผู้หญิงจริง ๆ ด้วย!
ก่อนหน้านี้หมิงฉินแอบมาเล่าให้เขาฟังแล้ว แต่เขายังไม่อยากเชื่อ
ส่วนเหล่าชายฉกรรจ์กลับไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ คิดว่าอีกไม่นาน นางจะได้พบเจอท่านอ๋องผู้เป็นบิดาที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี ในใจ ของสาวน้อยย่อมกระวนกระวาย อยากแต่งตัวให้งดงามสักหน่อยเพื่อสร้าง ความประทับใจที่ดีให้บิดา นับว่าเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
แล้วพวกเขาก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง
คนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งมีหน้าที่ออกตามหาคนถูกส่งออกไปอย่างลับ ๆ ทุก ๆ สองสามปีจะผลัดเปลี่ยนกันกลับมารายงานผลแก่เตียนหนิงอ๋อง แล้ว ถือโอกาสแวะไปหาคนในครอบครัวด้วย เวลาที่พวกเขาเข้าจวนเตียนหนิงอ๋อง จึงไม่ได้เข้าทางประตูหลัก แต่เดินเข้าประตูมุมที่อยู่ตรงสวนดอกไม้ด้านหลัง
ในฐานะซื่อจื่อ มู่หยวนอวี๋ยังไม่เคยเดินเข้าจวนผ่านประตูบานนี้ มาก่อน ต้องเดินอ้อมกำแพงจวนอ๋องที่สูงใหญ่ทอดยาว นางจึงรอคอยอยู่ ตรงหน้าประตูด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่
ระหว่างที่กำลังรอ นางนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยิบเอาตลับชาดทาปาก ออกมาแต้มปากเพิ่มอีกนิด การที่นางแต่งหน้าหลัก ๆ แล้วก็เพื่อให้ดูแตกต่าง ไปจากเวลาที่นางแต่งกายเป็นชาย อย่างน้อยก็เพื่อให้เดินผ่านเข้าไปใน ประตูนี้ได้อย่างราบรื่นก่อน หลังจากนี้…ขอแค่เข้าไปข้างในได้ ในนั้นก็ เป็นถิ่นของนางแล้ว มีคนคอยช่วยนางปิดบังอำพราง ไม่จำเป็นต้องกังวล กับเรื่องใดทั้งสิ้น
การกลับมารายงานผลของคนกลุ่มเล็กตรงมาหยุดอยู่เบื้องหน้า เตียนหนิงอ๋องก่อน
หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ตรงมาหยุดตรงหน้าเตียงที่เขานอนป่วย
เขาสูญเสียบุตรชายยามชรา ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว จะไม่ ล้มป่วยได้อย่างไร
ตอนอยู่เฉพาะพระพักตร์ฮ่องเต้ มู่หยวนอวี๋บอกว่าเตียนหนิงอ๋อง ป่วยหนัก อันที่จริงนางพูดไม่ผิดเลยสักนิด เตียนหนิงอ๋องแทบจะไม่เหลือแรงใจให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
วางแผนรัดกุมมาตลอดชีวิต ชั่วพริบตาทุกอย่างก็เหลือเพียงความ ว่างเปล่า การโจมตีครั้งนี้รุนแรงเกินไปและทิ่มแทงจิตใจเกินไป
แต่พอได้ยินข่าวว่า “บุตรสาว” ที่หายตัวไปกลับคืนมาแล้ว ต่อให้เขา จะเหลือเพียงลมหายใจรวยรินแค่ไหนก็ยังต้องลืมตาโพลง แล้วพูดด้วย น้ำเสียงเหลือเชื่อ “ว่าไงนะ”
“พวกเขาบอกเช่นนี้จริง ๆ ตอนนี้คนมารออยู่หน้าประตูแล้วขอรับ”
ความหงุดหงิดตีพุ่งขึ้นมาภายในใจของเตียนหนิงอ๋อง เขานอนอยู่ บนเตียง ฤดูหนาวปีนี้ที่อวิ๋นหนานมีอากาศอบอุ่น ใกล้จะสิ้นปีแล้วหิมะแรก เพิ่งจะตกลงมา แต่ร่างกายของเขาย่ำแย่เกินไป ในห้องวางกระถางไฟสองใบ และกระถางธูปกำยานอีกหนึ่งใบ แต่กลับยังรู้สึกว่าความหนาวเหน็บในหัวใจ ยังคงวนเวียนไม่ไปไหน มือเท้าอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง
เวลานี้อยู่ดี ๆ กลับมีเรื่องเพิ่มขึ้นมา เป็นเบาะแสที่ตัวเขาฝังเอาไว้เอง จะไม่พบก็ไม่ได้ จึงได้แต่กล่าวว่า “เรียกเข้ามาเถอะ”
แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับอารมณ์เสียยิ่งนัก ตอนนี้สภาพเขา เป็นอย่างนี้ ต่อให้ไม่อยากยอมรับแค่ไหนก็พอจะรู้ได้แล้วว่าตัวเองมีชะตา ไร้บุตรชาย ภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูลคงได้แต่มอบให้บุตรสาว คนเล็กที่เขาเลี้ยงดูมาแบบผิดเพศ ถ้าอย่างนั้นทางหนีทีไล่ที่เตรียมไว้ก็เป็น สิ่งที่เกินความจำเป็นแล้ว
ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร ย่อมผิดตัวอย่างไม่ต้องสงสัย ฉวยโอกาสนี้ ดึงคนที่ถูกส่งให้ไปตามเบาะแสนี้กลับมาก็ดีเหมือนกัน…
เขากำลังคิดอย่างหงุดหงิดใจ พระชายาเตียนหนิงอ๋องก็เดินเข้ามา เสียก่อน
“เกิดอะไรขึ้น ข้าได้ยินว่าตามคนเจอแล้ว”
เดิมทีพระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่สามารถรับรู้ข่าวคราวจากฝั่งเตียน- หนิงอ๋องได้เร็วขนาดนี้ แต่พอเตียนหนิงอ๋องล้มป่วย ในจวนไม่มีคนที่จะ มาแทนที่เขาได้ เขากับพระชายาเตียนหนิงอ๋องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาถึง ทุกวันนี้ ต่อให้ความรักความผูกพันจะถูกเผาผลาญจนสิ้นซากแค่ไหน แต่ก็ยังมีผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นพระชายาเตียนหนิงอ๋องอยากจะรู้อะไรจึงง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
เตียนหนิงอ๋องหลับตา “อืม” รับหนึ่งที
เขาไม่อยากเห็นหน้าพระชายาเตียนหนิงอ๋อง ใช่ว่ารังเกียจนาง แต่ เป็นเพราะเห็นนางแล้วก็รู้สึกว่าบนหน้าตัวเองมีคำว่า “โง่” ประทับเด่นหรา ป่วยกายอยู่แล้วยังต้องมาคอยกังวลใจอีก
พระชายาเตียนหนิงอ๋องกลับดีใจและร่าเริงกว่ามาก นางนั่งลงแล้ว กล่าวว่า “ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกัน แม่นางที่หน้าตาเหมือนอวี๋เอ๋อร์ ของข้า ก็ถือว่ามีวาสนาร่วมกัน ต่อให้หามาผิดตัวก็ไม่ควรปฏิบัติต่อนาง แย่นัก”
ครู่เดียวแม่นางที่มีวาสนาร่วมกันก็มาถึง
พระชายาเตียนหนิงอ๋อง “…!”
ต่อให้มู่หยวนอวี๋จะแต่งหน้าแต่งตัวอย่างเต็มที่แค่ไหน คนเป็นแม่ ไม่มีทางจำลูกของตัวเองไม่ได้ นางผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตะลึงพรึงเพริด สุดขีดจนเก้าอี้เกือบจะล้มลง “อวี๋เอ๋อร์!”
ยื่นมือออกมาปรี่จะไปดึงมู่หยวนอวี๋มาอย่างเสียอาการ
มู่หยวนอวี๋นึกไม่ถึงว่าพระชายาเตียนหนิงอ๋องก็อยู่ด้วย นางไม่จำเป็น ต้องบอกเตือนเตียนหนิงอ๋องล่วงหน้า เตียนหนิงอ๋องย่อมรู้ควรไม่ควรมากพอ จะร่วมแสดงละครในครั้งนี้ให้ผ่านไปอย่างราบรื่น แต่พระชายาเตียนหนิงอ๋อง เป็นมารดาที่รักบุตรสาวยิ่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่แสดงละครไม่เก่ง จึงแสดง อาการที่ไม่เหมาะสมออกมา
มู่หยวนอวี๋ไม่อาจหลบเลี่ยงพระชายาเตียนหนิงอ๋อง ได้แต่แสร้งปล่อย ให้พระชายาเตียนหนิงอ๋องดึงตัวไปอย่างทำอะไรไม่ถูก ขณะเดียวกันก็รีบ มองหาเตียนหนิงอ๋องเพื่อที่จะได้ส่งสายตาให้เขา…
เอ่อ
นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
นับตั้งแต่คราวก่อนที่จากกัน นางไม่ได้เจอเตียนหนิงอ๋องแค่สองปี กว่า ๆ เท่านั้น ทว่าสภาพของเตียนหนิงอ๋องในเวลานี้กลับเหมือนผ่านกาลเวลา มาเป็นสิบปีอย่างไรอย่างนั้น
เขาดูแก่ลงกว่าเดิมนับสิบปี บนใบหน้าไม่อาจปิดบังรอยยับย่นร่องลึก สีหน้าที่เหลืองเหมือนเทียนไขยากจะมองเห็นความหล่อเหลาสง่างามอย่าง ในวันวาน เขาห่มผ้านอนอยู่ตรงนั้นก็เหมือนคนแก่ที่ใกล้หมดลม
อันที่จริงปีนี้เขายังอายุไม่ถึงหกสิบปีเลยด้วยซ้ำ
มู่หยวนอวี๋อึ้งงันไปทันที
หลังจากที่นางรู้ว่าแม่ลูกหลิ่วฮูหยินตายไป ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า เตียนหนิงอ๋องยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง ครอบครัวดี ๆ ครอบครัวหนึ่งถูกเขา ทำให้แตกแยกเป็นเสี่ยง ๆ ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันซับซ้อน ต่อให้เขา จะเสียใจเพราะเรื่องนี้มากแค่ไหนก็นับว่าสมควรแล้ว
แต่พอเห็นสภาพของเตียนหนิงอ๋องในเวลานี้เข้าจริง ๆ ก็ยังอดรู้สึก เจ็บแปลบในใจไม่ได้
อยากจะถามเขาไปว่า “ทำไม” แต่คำพูดยังไม่ทันหลุดออกจากปาก สมองก็พลันกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง รู้สึกว่าไม่มีความหมาย
จะถามไปทำไมล่ะ นางรู้มานานแล้วว่าเตียนหนิงอ๋องอยากมีลูกชาย ลูกชายคือชีวิตของเขา เมื่อลูกชายตายไป สามจิตเจ็ดวิญญาณ[2]ของเขาก็เหมือนถูกกระชากพาไปด้วยครึ่งหนึ่ง
วินาทีที่หน้าของนางเปลี่ยนสี เตียนหนิงอ๋องก็จำนางได้เช่นกัน สตรี แปลกหน้าคนหนึ่งไม่มีทางแสดงสีหน้าเช่นนี้ให้เขา
เขาเข้าใจความหมายของนางได้ทันที จึงมองไปทางพระชายาเตียนหนิงอ๋องอย่างสุขุม “ปล่อยมือ เจ้าเห็นว่านางหน้าตาเหมือนอวี๋เอ๋อร์ก็ปรี่ เข้าไปหาแบบนี้ คนเขาไม่ได้รู้ด้วยว่าเจ้าเป็นใคร อย่าทำให้นางตกใจ”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องได้ยินคำเตือนนี้ก็พลันคืนสติ รีบพูดเสียใหม่ ว่า “เหมือนเหลือเกิน ข้านึกว่าเป็นอวี๋เอ๋อร์ของข้าจริง ๆ…”
เตียนหนิงอ๋องสงบอารมณ์บอกให้คนประคองตนลุกขึ้นนั่ง จากนั้น เอาหมอนใบใหญ่หนุนหลัง ถามชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าซึ่งยืนอยู่นอก ธรณีประตูเป็นการแสดงละครคล้อยตามไป หลังจากเอ่ยชื่นชมชายฉกรรจ์ ด้วยความพึงพอใจระคนซาบซึ้งใจสองสามคำก็บอกให้เขากลับบ้านไปพักผ่อน
แน่นอนว่ามู่หยวนอวี๋ต้องอยู่ต่อ ได้รับการยอมรับทันทีก็ดี ต้องรอ สอบถามเรื่องราวบางอย่างให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยยอมรับก็ช่าง ถึงอย่างไร นางที่เป็นกุญแจสำคัญในเหตุการณ์ก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว
ชายฉกรรจ์จึงถอยออกไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ
พอเขาจากไป เตียนหนิงอ๋องก็ไล่ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องให้ ออกไปด้วย
หลังจากนั้นก็รีบถามมู่หยวนอวี๋อย่างอดทนรอไม่ไหว “ข้าไม่ได้เรียก เจ้ากลับมา เจ้ากลับมาทำไม แถมยังกลับมาในสภาพนี้อีก…เกิดเรื่องอะไรขึ้น ที่เมืองหลวง”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่สนใจคำถามที่รัวมาเป็นชุดของเขา นาง ดึงตัวมู่หยวนอวี๋ที่เตรียมจะคุกเข่าคารวะขึ้นมา ไม่ยอมกระทั่งให้มู่หยวนอวี๋ โขกศีรษะให้แก่เตียนหนิงอ๋อง แล้วคว้าตัวมากอดไว้ คลี่ยิ้มกว้างอย่าง เบิกบานใจ “อวี๋เอ๋อร์ เจ้าแต่งกายแบบนี้แล้วสวยมากจริง ๆ ข้าว่าหลังจากนี้ ก็แต่งตัวแบบนี้แหละ เพียงแต่ว่าเนื้อผ้าชุดนี้ของเจ้าหยาบไปหน่อย แม่ จะไปเรียกให้คนมาตัดชุดใหม่ให้เจ้าเดี๋ยวนี้ เจ้าชอบชุดแบบไหน สีอะไร… ช่างเถอะ ตัดทุกแบบเลยแล้วกัน ตัดมาสักยี่สิบชุดก่อนค่อยว่ากัน ลองดู แล้วถึงจะรู้ว่าแบบไหนใส่แล้วสวยที่สุด!”
เตียนหนิงอ๋องพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “เจ้าอย่าขัดจังหวะ ข้ากำลังพูด เรื่องเป็นการเป็นงาน!”
แม้ว่าเขาจะล้มป่วย แต่ระดับความเฉียบไวในเรื่องของการปกครอง ยังคงอยู่ เห็นมู่หยวนอวี๋กลับมาด้วยสภาพนี้ก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องที่ไม่ปกติขึ้น แล้วก็ต้องมีความเกี่ยวพันกับเมืองหลวงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทว่าพระชายาเตียนหนิงอ๋องกลับไม่เห็นเป็นสำคัญ “แค่อวี๋เอ๋อร์ กลับมาก็พอแล้ว ต่อให้มีเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญ ชะลอไว้ก่อนจะเป็นไรไป”
นางมองประเมินมู่หยวนอวี๋โดยไม่ละสายตา เพียงไม่นานก็รู้สึกปิ่นดอกไม้ที่ปักอยู่บนศีรษะของนางช่างแร้นแค้นยิ่งนัก จึงยกมือดึงออกแล้วเอาปิ่นดอกไม้ที่ปักอยู่บนศีรษะของมู่หยวนอวี๋ช่างอัตคัดยิ่งนัก จึงดึงออก แล้วเอาปิ่นปักผมที่มีไข่มุกเม็ดใหญ่บนศีรษะของตัวเองเสียบลงไปแทน
มู่หยวนอวี๋กะพริบตาปริบ ๆ ปล่อยให้นางจัดการตามใจชอบ เมื่อเห็น ว่าพระชายาเตียนหนิงอ๋องไม่มีทีท่าจะหยุดมือก็จำต้องคลี่ยิ้มเอ่ยห้ามปราม “ท่านแม่ ให้ข้าพูดคุยกับท่านพ่อสักคำสองคำเถิดเจ้าค่ะ”
พอนางเปิดปาก พระชายาเตียนหนิงอ๋องถึงได้ยอมรับฟัง แต่ก็ยังคงกล่าวด้วยความกระตือรือร้นว่า “ได้”
มู่หยวนอวี๋เดินไปหยุดหน้าเตียง ถามถึงสภาพร่างกายของเตียน- หนิงอ๋องก่อน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ท่านพ่อ ในจวนเกิดอะไรขึ้น ทำไมดูเหมือนว่าคนจะหายไปไม่น้อย”
ตามหลักแล้ววันนี้คือวันเสี่ยวเหนียน บรรยากาศในจวนน่าจะคึกคักเป็นพิเศษ ต้องมีคนเดินสวนกันขวักไขว่เพื่อเตรียมงานปีใหม่ถึงจะถูก ใครจะรู้ว่าพอนางเข้าประตูเล็กมากลับเห็นคนแค่ไม่กี่คน แม้ว่าช่วยลด สายตาสอดรู้สอดเห็นไปได้ไม่น้อย แต่ความเงียบสงบที่ปรากฏในช่วงเวลานี้ ทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติอย่างยิ่ง
พอได้ยินคำถามนี้ เตียนหนิงอ๋องก็มีสีหน้ามึนตึง ไม่ค่อยอยาก พูดถึงสักเท่าไหร่ พระชายาเตียนหนิงอ๋องจึงช่วยตอบอย่างรวดเร็ว “เกิด เรื่องของหลิ่วซื่อ คนในจวนจึงถูกตรวจสอบไปรอบหนึ่ง หากไม่ใช่คนที่ น่าเชื่อถือล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในจวน ถูกส่งไปทำงานที่อื่นหมดแล้ว”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
มู่หยวนอวี๋พยักหน้ารับ นางเองก็เคยคิดถึงจุดนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าระดับการตรวจสอบจะกว้างขนาดนี้ เท่าที่นางลองสังเกต คร่าว ๆ จำนวนคนน่าจะลดลงไปเกือบครึ่ง
พระชายาเตียนหนิงอ๋องมองนางอีกครั้งแล้วกวักมือเรียกให้นางขยับเข้าไปใกล้ จากนั้นก็กระซิบเบา ๆ ข้างหูนาง “ในจดหมายที่ท่านพ่อเจ้า เขียนให้เจ้าไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หลิ่วซื่อกับเจินเกอเอ๋อร์ยังไม่ตาย แต่หนีไปแล้ว”
คราวนี้มู่หยวนอวี๋ตกตะลึงอย่างมาก “ว่าไงนะ แต่ในจดหมาย บอกว่า…”
“กลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาดระหว่างทาง ถึงได้บอกเจ้าไปแบบนั้น” พระชายาเตียนหนิงอ๋องอธิบาย “แต่ก็ไม่ถือว่าโกหก ตอนนี้ตามหลักฐาน ของทางการ หลิ่วซื่อกับลูกชายตายไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวที่ไหน จวนอ๋องไม่มีทางยอมรับในตัวตนของพวกเขา รายละเอียดมากกว่านี้ เจ้าถามพ่อเจ้าเอาเองแล้วกัน ตลอดทางมานี้เจ้าต้องลำบากมากแน่ ๆ ข้าจะไปบอกให้ห้องครัวเตรียมอาหารที่เจ้าชอบกิน ให้คนเก็บกวาดห้อง ของเจ้า…ไม่สิ ตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพนี้ คืนนี้นอนที่เรือนของข้าจะดีกว่า เอาละ เจ้าไม่ต้องไปที่เรือนเหิงซิงแล้ว มานอนกับแม่นี่แหละ!”
พระชายาเตียนหนิงอ๋องพูดพลางลูบใบหน้าของมู่หยวนอวี๋ ก่อนจะลุกขึ้นไปสั่งงานอย่างอารมณ์ดี
เมื่อนางจากไป บรรยากาศในห้องก็พลันเงียบสงัด
มู่หยวนอวี๋หันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าสภาพของเตียนหนิงอ๋อง แตกต่างจากพระชายาเตียนหนิงอ๋องอย่างมาก เขาเอนตัวพิงหัวเตียง ร่าง ทั้งร่างเหมือนมีคำว่า “สูญสิ้น” ตัวโต ๆ แปะอยู่
[1] สามารถเปรียบเปรยได้ถึงการกระทำที่เป็นการฝืนใจตัวเอง
[2] 3 จิต ได้แก่ วิญญาณฟ้า วิญญาณดิน และวิญญาณชีวิต ส่วน 7 วิญญาณ ได้แก่ อารมณ์ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก ร้าย โลภ ตามหลักของลัทธิเต๋าเชื่อว่า การจะเป็นมนุษย์ อย่างสมบูรณ์ต้องมีอย่างน้อย 3 จิต หากมีเพียง 1 จิตและจิตนั้นไม่สมบูรณ์จะตายภายใน 7 วัน เพราะไม่มีจิตอื่น ๆ ช่วยคุ้มครองและประสานในการดำรงความเป็นมนุษย์