เมื่อผมเป็นเจ้าของสวนสัตว์
我开动物园那些年
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
拉棉花糖的兔子
Himazan แปล
ติดตามกำหนดการวางขายหนังสือได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
+++++++++++++++++++
ตอนที่ 11.3
วันรุ่งขึ้น ต้วนเจียเจ๋อตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าและได้เตรียมอาหารในส่วนของพระสงฆ์ไว้ให้ด้วย
“อมิตาภพุทธ ขอบคุณผู้อำนวยการต้วนมาก” จ้าวสิงรับซาลาเปาเจมาอย่างเกรงใจ เขามองไปที่ต้วนเจียเจ๋อและไม่กล้าเอ่ยปากพูดสักเท่าไหร่ เมื่อคืนเขาและศิษย์พี่ใช้วีแชตคุยกันอยู่นาน และเนื่องจากนอนห้องเดียวกับสงซือเชียน จ้าวสิงจึงต้องใช้มือพิมพ์ เลยใช้เวลาในการคุยค่อนข้างนาน
หลังจากที่จี้ซ่านได้รับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากจ้าวสิง เขาจึงขอให้จ้าวสิงอยู่ที่หลิงโย่วต่อเป็นการชั่วคราว ส่วนทางเขาจะต้องเรียกประชุมอย่างกะทันหันแล้วจะนั่งรถไฟความเร็วสูงตามมายังเมืองตงไห่
ความจริงแล้ววัดอู๋เลี่ยงไม่ใช่วัดพาณิชย์ แต่เป็นวัดที่มีผู้ปฏิบัติธรรมอาศัยอยู่มากที่สุด และที่จ้าวสิงบอกว่า การจะได้พบเจอกับท่านต้าเต๋อเป็นเรื่องยากเย็นมาก เรื่องนี้จึงทำให้จี้ซ่านรู้สึกสนอกสนใจมากขึ้นไปอีก
ในยุคสมัยนี้ไม่มีท่านต้าเต๋อผู้ยิ่งใหญ่ จี้ซ่านได้ยินมาว่าต้าเต๋อท่านนี้สามารถซ่อนกลิ่นอายของลมปราณอยู่ในป่าไผ่ จนทำให้จ้าวสิงได้รับอานิสงส์จนบรรลุธรรมขั้นสูง เขาจะต้องเข้าใจพระธรรมได้อย่างลึกซึ้งเพียงไหนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพูดถึงเรื่องเวลาหนึ่งร้อยปีให้หลัง นั่นยังไม่สามารถยืนยันได้อีกหรือไรว่าท่านต้าเต๋อมีพลังอมตะทำให้มีอายุยืนยาวได้
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าศิษย์น้องนั่นจะมีสมองขี้เลื่อยแบบนี้ ถึงแม้วาสนาของเขาจะมีไม่มากพอ แต่วัดอู๋เลี่ยงก็ยังมีพระอีกมากมาย หากในจำนวนหนึ่งหมื่นรูป มีสักรูปสองรูปที่มีบุญวาสนาสอดคล้องต้องกันกับท่านต้าเต๋อล่ะ
น่าโมโหเจ้าศิษย์น้องจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะส่งข้อความผิดห้อง ตอนนี้เกรงว่าทุกคนก็จะคิดแบบนี้เหมือนกันนี่สิ
ไม่ว่าพระธรรมจะลึกล้ำแค่ไหน ผู้คนก็ยังต้องการมีชีวิตที่ยืนยาว ด้วยเหตุผลนี้ก็เพียงพอที่จะดึงพระในพุทธศาสนาที่ปฏิบัติธรรมจากทั่วโลกให้มารวมกันได้ในคราวเดียว ไม่เพียงแค่นิกายเซน แต่พระในนิกายอื่นๆ ก็สามารถเกิดความคิดเช่นนี้ได้ เพราะพระในสมัยนี้มีความคิดที่กว้างไกลมาก
จี้ซ่านเป็นเจ้าอาวาสมานาน ขณะที่ฝึกตนในพุทธศาสนาเขาก็เริ่มรับตำแหน่งจากการเป็นคณะกรรมการของสมาคมบริหารกิจการพุทธศาสนาประจำประเทศจีน และเพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธาน ดังนั้นเขาจึงได้เห็นและพบเจอสิ่งต่าง ๆ มากมายกว่าพระสงฆ์รูปอื่นๆ
ดังนั้นจี้ซ่านจึงได้ขอให้จ้าวสิงอย่าเพิ่งออกมาจากที่นั่น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามวัดอู๋เลี่ยงจะต้องแย่งชิงโอกาสนี้มาให้ได้
ในเมื่อจี้ซ่านกำชับมาขนาดนี้ จ้าวสิงจึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
พระสงฆ์ห้ามหลอกลวงหาข้ออ้าง เขาจะบอกกับผู้อำนวยการต้วนว่าตัวเองอยากอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
ต้วนเจียเจ๋อเห็นเขาไม่พูดจาก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น “พระอาจารย์ เป็นอะไรไปครับ”
ดูท่าทางไม่ค่อยสบายใจอยู่ตลอดเวลา หรือว่าอยากจะขอเงิน
จ้าวสิงร้อนรนขึ้นมาทันที เขาไม่อยากพูดโกหกและก็ไม่มีวาทศิลป์เพื่อหลีกเลี่ยงการโกหกให้ตนบรรลุถึงเป้าหมาย แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องอยู่ที่นี่ต่อ และปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าอาวาสให้เสร็จสมบูรณ์ เขาครุ่นคิดอยู่นานจากนั้นก็พูดออกมา “อาตมาอยากถามว่าต้องไปซื้อตั๋วตรงไหน วันนี้อาตมาอยากเที่ยวชมสวนสัตว์”
พอพูดออกมาแล้วจ้าวสิงก็ถอนหายใจโล่งอก อยู่ๆ เขาก็มีประกายแวบเข้ามาในหัวจนสามารถคิดถึงวิธีนี้ได้
ต้วนเจียเจ๋อมองด้วยความแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ติดใจอะไร แค่คิดว่าพระรูปนี้คงคิดมากเรื่องเสียงเสียดสีกันของใบไผ่ หลังจากที่ฟังไป๋ซู่เจินพูดเมื่อคืน ต้วนเจียเจ๋อก็สบายใจขึ้นไม่น้อยและไม่กลัวการที่พระจะมาตามหาคนแล้ว เพราะหากพระจะเข้ามามีบทบาทในเมืองนี้จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสำนักหลินสุ่ยเสียก่อน
ต้วนเจียเจ๋อชี้นิ้วไปที่ห้องขายตั๋ว จากนั้นก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง
ภารกิจของเขาดำเนินการสำเร็จไปแล้วเจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ หลังจากที่จัดการเรื่องนกกระเรียน นกกระสา หงส์ และสัตว์อื่นๆ ต้วนเจียเจ๋อก็ยังพูดคุยตกลงเรื่องของนกกระยาง นกกะรางหัวขวาน และพวกนกหัวขวานอีกหลากหลายชนิด รวมถึงแมวดาว (คุ้มครองประเภทหนึ่ง) พอนับๆ ดูแล้ว ตอนนี้ขาดแค่สัตว์คุ้มครองประเภทสองอยู่อีกสองชนิด ภารกิจก็จะเสร็จสิ้น แต่ยอดรวมของสัตว์ทั้งหมดที่ได้เพิ่มมาก็มีจำนวนเกินมามาก
ตอนนี้ระยะเวลาในการทำภารกิจยังเหลืออยู่ ต้วนเจียเจ๋อครุ่นคิดว่าสัตว์สองชนิดสุดท้ายที่จะนำเข้ามาควรเป็นตัวอะไรดี ในตอนนี้เขากำลังค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเพื่อดูว่าสัตว์อะไรค่อนข้างเป็นที่นิยม และราคาก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่ตัวเองรับได้
จ้าวสิงซื้อตั๋วแล้วเดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ในสวนสัตว์ เขาไม่ได้มีคนรู้จัก เดิมทีคิดเพียงอยากจะตามหาฆราวาสสงที่พูดคุยเรื่องพุทธคัมภีร์เมื่อคืน แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ พอถามดูถึงได้รู้ว่าฆราวาสสงพักอยู่ที่นี่แค่ตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันต้องไปทำงาน
ในขณะที่จ้าวสิงเดินเที่ยวชมสวนสัตว์อยู่ เขาค้นพบว่าสัตว์ที่อยู่ที่นี่มีสติปัญญาและไหวพริบดีกว่าสัตว์ที่อยู่ภายนอกมาก เนื่องจากพบเจอเรื่องเมื่อคืน จ้าวสิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร ต้องเป็นเพราะสัตว์พวกนี้อาศัยอยู่ข้างกายท่านต้าเต๋อตลอดทั้งปี และไม่แน่ว่าอาจจะยังโชคดีที่ได้ฟังท่านผู้นั้นแสดงธรรมเทศนา ถึงได้มีสติปัญญาและไหวพริบที่สูงมากแบบนี้
แต่ทว่าจ้าวสิงก็คิดไม่ตก เหตุใดท่านต้าเต๋อผู้นี้ถึงเลือกที่จะบำเพ็ญตนปฏิบัติธรรมอยู่ในสวนสัตว์ หากพิจารณาถึงสถานที่ที่มีทิวทัศน์เป็นแม่น้ำและภูเขา เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาอาศัยอยู่ในสวนสัตว์ไหม
จ้าวสิงครุ่นคิดอยู่นาน จนมารู้สึกตัวอีกทีก็เดินตามคนด้านหน้ามาจนถึงส่วนจัดแสดงสุนัขจิ้งจอกแล้ว
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต่างมองประเมินพระสงฆ์ชราผู้นี้ เมืองตงไห่มีนักพรตเต๋า แต่ไม่เคยมีพระสงฆ์มาก่อน ยิ่งพระสงฆ์ที่มาเดินเที่ยวในสวนสัตว์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
จ้าวสิงเดินเข้าไปในส่วนจัดแสดง ทันใดนั้นจิตใจของเขาก็กระจ่างขึ้นมาทันที เขามองเข้าไปในกรงและเห็นจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งกำลังกระโดดขึ้นลง ร่างกายของจิ้งจอกแดงตัวนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายปีศาจ
ทว่าตอนนี้ปีศาจตนนั้นอยู่ในกรง หรือว่าที่ท่านต้าเต๋ออยู่ที่นี่ก็เพื่อความสะดวกในการปราบปีศาจแล้วจับมาบำเพ็ญตน?
จ้าวสิงจินตนาการภาพขึ้นมาในหัว ท่านต้าเต๋อจะต้องทำให้ปีศาจร้ายยอมจำนนและศิโรราบ จากนั้นก็พาพวกมันมาไว้ข้างกายแล้วสวดมนต์เทศนาให้เหล่าปีศาจฟัง และเพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดข้อสงสัยหรือดึงดูดคนจากสำนักงานป่าไม้เข้ามา…ก็เลยถือโอกาสให้มันอยู่ที่สวนสัตว์ไปเลย…
จ้าวสิงรู้สึกว่าเหตุผลนี้ดูจะเข้าที ผู้ปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ในป่าลึกหรือภูเขาสูง มีน้ำมีไฟฟ้าใช้สะดวกสบายขนาดนี้ใครจะไม่ต้องการกัน แถมตรงจุดนี้ก็เป็นที่ห่างไกล การจราจรก็ไม่พลุกพล่าน
จ้าวสิงเฝ้าสังเกตจิ้งจอกแดง โดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าที่ด้านหลังของตนมีสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกสีขาวกำลังจ้องมองสังเกตเขาอยู่เงียบๆ
อีกด้านหนึ่ง โลกแห่งพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นโลกแห่งการฝึกฝนปฏิบัติธรรมกลับเต็มไปด้วยความปั่นป่วน เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผู้คนแตกตื่นกันมาก ท่านต้าเต๋อที่ไม่ออกมาเจอโลกภายนอก! และยังเป็นผู้มีพลังอมตะทำให้มีอายุยืนยาว!
จ้าวสิงเล่นอินเทอร์เน็ตไม่ค่อยเป็น แต่คนอื่นเล่นเป็นนี่นา อันดับแรก เข้าอินเทอร์เน็ตค้นหาหลิงโย่ว ทันทีที่กดค้นหาก็มีที่อยู่ของเว็บไซต์ที่เป็นกลุ่มขายของเด้งขึ้นมา นึกไม่ถึงเลยว่าสวนสัตว์แห่งนี้จะขายตั๋วแพ็คเกจคู่กับสำนักหลินสุ่ย
คิดไม่ถึงว่าจะมีลัทธิเต๋าเข้ามาพัวพันด้วย หรือจริงๆ แล้วพวกเขากำลังเล่นละครอะไรกันอยู่ แต่เป็นที่ยืนยันได้ว่าข้อความวีแชตของจ้าวสิงเป็นของจริง
ไม่รู้มีวัดมากน้อยเพียงไหนที่มีเหตุการณ์คล้ายกันแบบนี้เกิดขึ้น ที่บรรดาศิษยานุศิษย์ลูกวัดทั้งหลายที่มีจิตใจฝักใฝ่ในธรรมต่างพากันซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงมุ่งหน้าไปยังเมืองตงไห่ แม้ว่าจะขอสดับธรรมหรือคำชี้แนะจากต้าเต๋อไม่ได้ แต่หากสามารถบรรลุธรรมในป่าไผ่นั่นได้ก็นับเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว
นอกจากนี้ก็มีบางกลุ่มที่ใช้เส้นสายหรือตำแหน่งที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้เข้าไปถึงเมืองตงไห่ เช่นวัดอู๋เลี่ยงที่โทร.สอบสามเรื่องราวของหลิงโย่วกับทางสำนักหลินสุ่ย
เมื่อไม่มีคำอนุญาตจากลู่ยา โจวซินถังจึงทำได้แค่ปิดปากเงียบ ไม่ปล่อยให้ความลับรั่วไหลออกไปแม้สักนิด ทว่าคนที่เข้ามาสอบถามยิ่งนานเข้าก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โจวซินถังรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
ในตอนนี้เอง โจวซินถังก็ได้รับข้อความแจ้งมา ไม่รู้ว่ามีพระสงฆ์จำนวนเท่าไหร่ที่กำลังเดินทางมุ่งหน้ามายังเมืองตงไห่ ในจำนวนพระสงฆ์เหล่านี้ ยังมีบางส่วนที่พบกันบนรถไฟความเร็วสูง มองตาก็รู้ใจจนไม่ต้องอธิบายว่าจะไปที่ไหน
คนที่เดินผ่านไปมาเห็นพวกเขาต่างก็รู้สึกแปลกใจ หากไม่รู้ พวกเขายังคิดว่าพระสงฆ์เหล่านี้จะไปชุมนุมใหญ่ที่ไหนเสียอีก
พระสงฆ์จำนวนมากขนาดนี้เดินทางมาที่เมืองตงไห่ในเวลาเดียวกันทำให้โจวซินถังกังวลใจมาก เหล่าสมาชิกของคณะผู้บริหารถูกเรียกตัวเพื่อหารืออย่างเร่งด่วน จนได้ข้อสรุปว่าควรจะหยุดพวกเขาเอาไว้ที่สถานีรถไฟความเร็วสูง
เมืองตงไห่เป็นอาณาเขตของสำนักเต๋า การที่พระสงฆ์จำนวนมากมารวมตัวกันที่เมืองตงไห่ แต่บางกลุ่มก็รีบร้อน ไม่แม้แต่จะเข้ามาทักทายสำนักหลินสุ่ย จะให้พวกเขาคิดอย่างไร
ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับหลิงโย่วหรือไม่ โจวซินถังก็ไม่สามารถปล่อยให้บรรดาพระมากมายเข้ามาในเมืองได้ หากพระเหล่านั้นเข้าเมืองมาได้ สำนักหลินสุ่ยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน
แล้วโจวซินถังก็หาทางแก้ปัญหาได้ เขาอาศัยความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งของตัวเอง ขอให้สถานีรถไฟความเร็วสูง ‘กักตัว’ ให้พระสงฆ์อยู่ในสถานีทั้งหมด จะให้ชาวเมืองเห็นสำนักเต๋าปะทะกับพระสงฆ์ไม่ได้
โจวซินถังเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น แม้ในกลุ่มพระสงฆ์จะมีพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แต่ก็ยังถือว่าเป็นคนนอก ไม่มีสิทธิ์มีเสียงโต้แย้งใดๆ
พระสงฆ์ที่ถูกกักตัวไว้ยิ่งนานยิ่งมีเพิ่มมามากขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มไปถึงสำนักงานสถานีรถไฟที่เชื่อมกับทางเดินด้านใน คิดไม่ถึงเลยว่าเก้าอี้นั่งรอทุกที่นั่งจะเต็มไปด้วยพระสงฆ์
นี่คือพระสงฆ์จากนิกายเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้จักกันบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนคนที่มาใหม่ก็ทำความรู้จักจดจำใบหน้าแล้วกล่าวทักทายกัน
พนักงานที่เดิมทีทำตามคำสั่งที่ได้รับมา แต่ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขนพอง พระสงฆ์พวกนี้เป็นพระจริงหรือพระปลอมกันแน่ มากันเยอะขนาดนี้ต้องการจะทำอะไร
รูปหนึ่งอมิตาภพุทธไป อีกรูปอมิตาภพุทธมา สำเนียงเหนือใต้ออกตกมีหมด นอกจากนี้ใบรับรองภายใต้สังกัดวัดของแต่ละรูปก็ไม่เหมือนกัน บางรูปมีชื่อเสียงทางสังคม บางรูปไม่มีชื่อเสียง ทันทีที่เจอหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างก็รู้กันว่าต้องการอะไร…ในใจของพนักงานการรถไฟจึงรู้สึกเหมือนกำลังแบกรับภาระอย่างหนักจริงๆ
พระสงฆ์ที่เข้ามาถึงเมืองตงไห่มีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในจำนวนนั้นยังมีบางรูปที่ใช้เส้นสายของตัวเองหาคนส่งข้อความไปบอกผู้นำของเมืองตงไห่
พระสงฆ์ทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ผู้นำของเมืองตงไห่เริ่มนั่งไม่ติดที่ จนต้องโทรศัพท์สอบถามไปยังสำนักหลินสุ่ย พวกเขาอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ไม่สามารถไปล่วงเกินได้ ทว่าสำนักหลินสุ่ยเป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองนี้ ท่านผู้นำจึงหวังว่าพวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ได้
พระสงฆ์กับนักพรตพวกนี้ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
โจวซินถังต้องรับแรงกดดันครั้งใหญ่ สำนักหลินสุ่ยเป็นสำนักเต๋าที่แข็งแกร่ง ต้องเผชิญหน้ากับผู้ปฏิธรรมแห่งพุทธศาสนาจำนวนมหาศาล
ในตอนนี้มีพระสงฆ์บางรูปเริ่มสงสัย หรือว่าสำนักหลินสุ่ยก็อยากที่จะครอบครองผลประโยชน์จากผู้อาวุโสท่านนั้นเหมือนกัน ไม่สิ…ไม่แน่ว่าอาจจะครอบครองไปแล้ว ดูจากตั๋วที่ขายร่วมกันจนประสบความสำเร็จนั่นสิ ช่างประจบสอพลอเสียจริงๆ
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า โจวซินถังไม่อาจทนต่อไปได้อีก เขาจึงติดต่อไปยังต้วนเจียเจ๋อเพื่อถามว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เดิมทีต้วนเจียเจ๋อไม่ยอมพูดอะไร โจวซินถังเองก็ยังไม่กล้าจะไปหาถึงที่ แต่สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่ากำลังมาคุ โจวซินถังพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงจำเป็นที่จะต้องถามให้ได้ความ เพราะอย่างไรเสียผู้อาวุโสลู่ก็เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้
ต้วนเจียเจ๋อยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งผิดปกติ จนสุดท้ายได้ยินจำนวนของพระสงฆ์ที่มาทั้งหมดก็ตกตะลึงตาค้าง แทบจะพูดอะไรไม่ออก “ทำไมถึงมีพระมากันเยอะแยะขนาดนี้ครับ”
ตามหลักแล้ว ใครเป็นคนได้ผลประโยชน์ล้วนต้องบอกกับพวกพ้องของตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าพระสงฆ์เหล่านี้จะไม่ทำตามกฎ คิดจะคว้าโอกาสเอาไว้ ก็เลยเรียกพระสงฆ์ทั่วทั้งประเทศมาร่วมสังฆกรรม!
สำนักหลินสุ่ยขัดขวางแค่วัดสองวัดแรกได้อย่างสบายๆ เรื่องนี้ต้วนเจียเจ๋อสามารถวางใจได้ แต่มากันเป็นสิบเป็นร้อยแบบนี้…เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก
“พี่ไป๋ โหย่วซู พวกคุณว่าเราควรจะทำอย่างไรดีครับ ตอนนี้พระสงฆ์มารวมตัวกันที่เมืองตงไห่เยอะมากเลย…ไม่รู้ว่าทำไมพระรูปเมื่อคืนถึงทำแบบนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะแจ้งแก่พระสงฆ์ทั้งหมดทั่วประเทศให้รับรู้ทั่วกันแล้ว และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขามารวมตัวพร้อมกันแบบนี้ทำไม” ต้วนเจียเจ๋อยิ้มไม่ออก “ตอนนี้มีพระร้อยกว่ารูปถูกคนที่เกี่ยวข้องกับสำนักหลินสุ่ยกักตัวไว้ที่สถานีรถไฟ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังใช้สติปัญญาหาวิธีอยู่ ผู้อำนวยการโจวเลยมาขอคำปรึกษากับผม”
เขาอธิบายถึงปัญหาและความยุ่งยากที่เกิดขึ้นกับสำนักหลินสุ่ยให้ทั้งสองฟังอย่างละเอียด
โหย่วซู “ว้าว ทุกคนอยากสมัครสมาชิกแพ็คเกจตั๋วหรูหราพร้อมเซตอาหารอย่างนั้นเหรอคะ”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ต้วนเจียเจ๋อ “โหย่วซู อย่าเพิ่งล้อเล่นสิครับ…”
ไป๋ซู่เจินและโหย่วซูสบตาแอบส่งสัญญาณที่รู้กันแค่สองคน แล้วพูดพร้อมกันว่า “ไม่ต้องห่วงค่ะ ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ”
ต้วนเจียเจ๋อ “นี่กลายเป็นแบบนี้กันไปหมดแล้วเหรอครับ ทำไมถึงปล่อยไปอย่างนั้น”
ไป๋ซู่เจิน “จะขวางยังไงก็ไม่อยู่แล้วค่ะ แต่ว่าทั้งสองฝ่ายต้องมีคณะบริหารของตัวเองมาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย ฝ่ายพุทธศาสนาไม่สามารถเข้ามาได้โดยพลการ หากไม่ได้รับการอนุญาต พวกเขาต้องได้รับเชิญมายังเมืองตงไห่ในนามของสำนักหลินสุ่ยเท่านั้น ถือว่าเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทั้งสองฝ่าย”
โหย่วซูนั่งไขว่ห้าง “พระสงฆ์ที่จะเข้ามายังตงไห่ หากอยากมาที่หลิงโย่วต้องทำยังไงคะ ก็ต้องซื้อตั๋วใช่ไหมคะ!”
ต้วนเจียเจ๋อ “…”
ตอนนี้เรื่องราวเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว สู้เปลี่ยนความยุ่งยากพวกนั้นให้เป็นกำไรดีกว่า
เพราะไม่ว่าจะเป็นลู่ยา ไป๋ซู่เจิน หรือสงซือเชียน ทุกท่านล้วนมีสถานะยิ่งใหญ่พอที่จะจัดการทุกเรื่องได้ ผลประโยชน์ของลัทธิเต๋าพวกเขายังเคยจัดการมาแล้ว ยังจะต้องกลัวนักบวชฝ่ายพุทธศาสนาอยู่อีกหรือ
ต้วนเจียเจ๋อ “ได้ แบบนี้เพอร์เฟ็กต์มาก!”
วันต่อมา สถานีโทรทัศน์ตงไห่มีรายงานข่าวด่วน
บนหน้าจอปรากฏภาพกลุ่มพระสงฆ์ที่เดินตามผู้นำลัทธิเต๋าซึ่งสวมสูทออกมาจากสถานีรถไฟความเร็วสูงเมืองตงไห่ สีหน้าของพระสงฆ์ทุกรูปพริ้มพรายเต็มไปด้วยรอยยิ้ม…
นักข่าวบรรยาย : เวทีการประชุมแลกเปลี่ยนทางศาสนาทั่วประเทศจะถูกจัดขึ้นที่ตงไห่เป็นระยะเวลาเจ็ดวัน โดยมีสมาคมลัทธิเต๋าแห่งประเทศจีนเป็นเจ้าภาพ รับผิดชอบโดยสำนักงานศาสนาเมืองตงไห่ และสำนักหลินสุ่ยประจำเมืองตงไห่ช่วยจัดการประสานงาน ภายในงานประชุมแลกเปลี่ยนทางศาสนา มีตัวแทนกว่า 581 คนจากหลากหลายศาสนา หลากหลายชนชาติ ทั่วทั้งประเทศมาเข้าร่วม และจะจัดตั้งกลุ่ม ‘ความรักใคร่กลมเกลียวปรองดองในศาสนา รวมกำลังสามัคคีก้าวหน้าต่อไป’ ซึ่งวัตถุประสงค์หลักคือ ดำเนินการทางด้านวัฒนธรรม อบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในด้านต่างๆ รวมถึงร่วมกันยกระดับการทำงานด้านศาสนาและการให้บริการทางสังคม…
สำหรับเหล่าชาวเมืองตงไห่ การประชุมแลกเปลี่ยนทางศาสนาในครั้งนี้แทบจะไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของพวกเรา แต่ก็ทำให้ได้รับความบันเทิงอยู่เล็กน้อย
แม้ว่าเมืองตงไห่จะไม่ใช่เมืองที่ใหญ่มากและมีประชากรอยู่เพียงสองล้านเศษ แต่ตอนนี้มีตัวแทนจากหลายร้อยศาสนามาอยู่ที่นี่ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเมืองแห่งนี้ก็ดูไม่ได้โดดเด่นเข้าตามาตลอด ที่กล่าวว่าเป็นตัวแทนของศาสนา แท้จริงแล้วส่วนใหญ่ต่างก็เป็นพระสงฆ์และนักพรตเต๋า หากเป็นคนที่รู้รายละเอียดลึกๆ ของเรื่องนี้ก็จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จนกระทั่งหลายคนได้เห็นโพสต์ที่ถูกแชร์ต่อในโมเมนต์วีแชตมากมายถึงเพิ่งจะรู้ว่ามีการประชุมแบบนี้อยู่ ณ เมืองตงไห่ และในตอนนี้พระสงฆ์จำนวนกว่าร้อยรูปกำลังเดินทางไปที่สวนสัตว์หลิงโย่ว
สำหรับการประชุมนั้น นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนทางศาสนาแล้ว การมาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวประจำท้องถิ่นก็นับเป็นเรื่องปกติธรรมดา สวนสัตว์แห่งนี้แม้จะไม่นับว่ามีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ แต่ในช่วงนี้กำลังได้รับความนิยม นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการประสานงานระหว่างสำนักหลินสุ่ยกับสวนสัตว์หลิงโย่วที่ขายตั๋วร่วมกันอย่างมีมิตรภาพอีกด้วย
สถานีโทรทัศน์ในเมืองและสำนักข่าวต่างๆ พากันรายงานเรื่องการประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ด้วย สำหรับสำนักข่าวที่ตามมาทีหลังก็จัดการส่งนักข่าวให้มาตามถ่ายภาพกิจกรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงเที่ยวชมทัศนียภาพของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วย
ในวันเดียวกัน ตอนที่เหล่าพระสงฆ์เดินเที่ยวชมสวนสัตว์ ก็มีนักท่องเที่ยวถ่ายภาพและโพสต์ลงในโมเมนต์ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้อยู่ เพราะนอกจากนักพรตเต๋าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสวนสัตว์หลิงโย่วแล้ว แม้แต่พระสงฆ์ในพุทธศาสนาก็ไม่ต่างกัน
ประจวบเหมาะกับที่สำนักข่าวได้ส่งนักข่าวมาทำข่าวพอดี และหนึ่งในนั้นยังมีช่างภาพที่ถ่ายภาพผลงานชื่อไท่จี๋ เมื่อครั้งที่แล้วด้วย ช่างภาพคนนี้ถ่ายทอดความหมายของจิตวิญญาณแห่งเซนออกมาผ่านภาพถ่ายได้อย่างลึกซึ้ง
เช่นภาพพื้นที่โซนใหม่ของสวนสัตว์หลิงโย่ว ที่ไม่ว่ามองจากตรงไหนก็สามารถเห็นไผ่ดำปลูกกระจายอยู่ทั่ว และเห็นเหล่าพระสงฆ์ที่นั่งพักผ่อนอยู่กับพื้นหลังจากเดินเที่ยวชมไปทั่วสวนสัตว์ ใบไผ่พัดปลิวตามสายลม เหล่าพระสงฆ์บ้างก็นั่งอยู่บนพื้นหญ้า บ้างก็นั่งสมาธิอยู่ข้างทางเดินที่ปูแผ่นหิน บางรูปก็สวดมนต์จนเสร็จ พวกเขาไม่ได้สนใจสักนิดว่าตัวเองนั่งอยู่ที่ใด ทำให้ผู้ที่พบเห็นมีคำว่า ‘เงียบสงบ’ ผุดขึ้นมาในความคิด
นอกจากนี้ยังมีอีกภาพที่ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก ได้แก่ภาพที่เหล่าพระสงฆ์จับกลุ่มกันราวๆ สามหรือห้ารูปเพื่อเยี่ยมชมในส่วนของภูเขาลิง และก็มีลิงน้อยที่เลียนแบบท่าทางของเหล่าพระสงฆ์โดยการยกอุ้งมือทั้งสองข้างขึ้นมาพนมไว้
อีกภาพหนึ่งเป็นภาพพระสงฆ์อยู่ภายในส่วนจัดแสดงเสือและสิงโต พระสงฆ์มองไปยังสิงโตผ่านกระจกที่กั้นไว้ ข้างๆ ก็มีภาพไท่จี๋ประกอบอยู่ ทำให้ภาพนี้ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก
ฝีมือการถ่ายภาพของช่างภาพคนนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะเขาชนะรางวัลระดับนานาชาติมาแล้ว หลังจากภาพถ่ายของกลุ่มพระสงฆ์ที่มาเที่ยวชมสวนสัตว์เผยแพร่ออกไป ก็ถูกส่งต่อๆ กันไปอีกหลายครั้ง
ชาวเน็ตต่างประทับใจ ทุกคนรู้สึกว่าเขาจับภาพออกมาได้ดีมากๆ โดยเฉพาะการสื่อถึงความหมายของนิกายเซนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนกับดูภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ โดยเฉพาะภาพที่พระสงฆ์นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไผ่
ส่วนอีกหนึ่งภาพเป็นภาพที่พระสงฆ์สิบกว่ารูปกำลังชี้ไปที่จิ้งจอกแดงแล้วพูดคุยกัน ท่าทางเหมือนกับจะไม่รู้จักสัตว์ชนิดนี้ ทั้งยังมีกลิ่นอายของการใช้ชีวิตเชื่อมต่อกับทางโลก
ผลงานแบบนี้ดูจะสอดคล้องกับแนวทางของพุทธศาสนาในความคิดของทุกคน กลุ่มองค์กรทางศาสนาที่มาเที่ยวชมก็สามารถเข้าถึงความหมายแห่งเซนได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ตัดขาดจากสังคม และก็ใช่ว่าบรรดาพระทั้งหลายเหล่านี้จะไปทำตัวเสื่อมเสียศีลธรรมที่ไหน แต่เข้าทำนองที่ว่า ‘อาตมาไปที่ไหน ที่นั่นก็จะเป็นที่แห่งพุทธ’
ด้วยภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ไม่กี่วันต่อมาเกิดข่าวลือว่าหน่อไม้ของสวนสัตว์หลิงโย่วสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ เป็นเพราะต้องมีคนรู้ความจริงเกี่ยวกับต้นไผ่พวกนี้แน่ๆ หรือบางทีอาจเป็นนักพรตเต๋าเหล่านั้นที่รู้ความจริงอยู่แล้ว