[ทดลองอ่าน] วันหนึ่งในฤดูร้อนมีศพนอนอยู่ที่ไหนสักที่ : พักยอนซอน

여름, 어디선가 시체가

วันหนึ่งในฤดูร้อนมีศพนอนอยู่ที่ไหนสักที่

พักยอนซอน เขียน

มินตรา อินทรารัตน เเปล

ติดตามการวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวนิยายเเปล”

 

01
ฤดูร้อน
จะเศร้าหรือไม่ก็ช่าง
ขอแค่ได้กินซัม[1]ใบฟักทองให้ขากรรไกรค้างก็พอ

 

“ตะวันโด่งขึ้นมาจ่อก้นแล้ว ยังเอาแต่นอนอยู่ได้”

ฉันขอออกตัวไว้ก่อนเผื่อมีใครเข้าใจผิด ตอนนี้ยังไม่ทันจะเก้าโมงเลยด้วยซ้ำ ถ้าได้ยินประโยคนี้สักตอนเที่ยงก็คงไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมอย่างนี้หรอก เสียงดังสนั่นโครมครามมาจากด้านนอกอย่างกับจะทำให้ข้าวของพังกันไปข้างหนึ่ง ย่าจงใจทำเสียงดังให้ฉันตื่นแน่ๆ แต่ถ้ามีอะไรพังขึ้นมา ก็มีแต่ย่านั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเสียหาย

การต่อสู้เพื่อการนอนยามเช้าในวันนี้นับเป็นวันที่สามแล้ว วันแรก ย่าลากหลานสาวที่ยังลืมตาไม่ขึ้นออกมานั่งหน้าโต๊ะอาหาร จัดแจงยัดตะเกียบใส่มือให้ แล้วบอกว่า

“คนเราถึงเวลานอนก็ต้องนอน ถึงเวลาลุกก็ต้องลุก รีบตื่นขึ้นมากินข้าวเถอะนะ หือ”

น้ำเสียงของย่าช่างอ่อนโยนเสียไม่มี แม้ฉันจะเป็นหลานสาวแท้ๆ แต่เอาเข้าจริงเราก็ได้เจอกันแค่ปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น อาจด้วยเหตุผลนี้ ย่าเลยเผยตัวตนออกมาไม่ได้ในทันที

พอเข้าวันที่สอง ตัวตนที่แท้จริงก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ย่าผลักประตูห้องให้เปิดกว้างจนบานประตูแทบพัง

“ยังนอนอยู่อีกหรือ หลังเอ็งลงไปติดไม้กระดานแล้วมั้ง!”

สำหรับผู้เฒ่าวัยแปดสิบอย่างย่า รสชาติของการนอนตอนหัวค่ำอาจกลมกล่อมดั่งรสงา แต่สำหรับสาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดอย่างฉัน ช่วงของการนอนตอนเช้าต่างหากที่หอมหวานปานน้ำผึ้ง ทีตอนแกหลับปุ๋ยตั้งแต่สามทุ่ม ฉันเคยขัดว่าจะนอนแล้วหรือ หรือเปล่าล่ะ ฉันไม่เคยพูดอะไรเลยสักครั้ง แถมยังเบาเสียงโทรทัศน์ให้ย่าได้หลับสนิทด้วย แล้วทำไมย่าถึงทำกับฉันแบบนี้ ให้ตายเถอะ

ต่อให้ฉันพร่ำอธิบายว่าวิถีชีวิตของคนเรามีหลายรูปแบบไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะสำหรับย่าแล้ว มันฟังดูตรรกะผิดเพี้ยนเหมือนเวลามีคนเล่าว่าใช้ฟันกัดฟักทองต้มไม่เข้านั่นแหละ

“ย่า หนูเป็นโรคความดันต่ำ โรคนี้น่ากลัวกว่าความดันสูงอีกนะ ถ้าตื่นเช้าเกินไปจะเวียนหัว แล้วก็อ้วก… หนูเลยตื่นเช้าไม่ไหว”

แน่นอนว่าสิ่งที่ฉันพูดไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากวงการการแพทย์หรอก

“เป็นเพราะเอ็งไม่ยอมกินข้าวต่างหาก กินน้อยอย่างกับนก มันจะไปมีแรงได้อย่างไร”

ย่าพูดอย่างกับเป็นหมอเสียเอง

และวันนี้ วันที่สาม

“ตะวันโด่งขึ้นมาจ่อก้นแล้ว ยังเอาแต่นอนอยู่ได้ ขี้เกียจอะไรปานนี้”

สุดท้ายก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือ ย่าฟาดมือลงมาเต็มหลังฉัน พาให้ความเจ็บแสบแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง แม้หญิงชราอายุปาเข้าไปแปดสิบแล้ว แต่ยังมีกำลังวังชามหาศาล ในท้ายที่สุด ย่าก็ลากหลานสาวผู้โหยหาการนอนตอนเช้ามากกว่าข้าวเช้าออกมานั่งหน้าโต๊ะอาหารได้สำเร็จ จากนั้นก็ปาดทเวนจัง[2]ลงบนซัมใบฟักทอง อ้าปากกว้างจนขากรรไกรแทบค้าง ก่อนจะยัดมันเข้าไป เจริญอาหารตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว แต่อย่างว่าล่ะนะ ย่าตื่นตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง ออกไปถอนวัชพืชที่ขึ้นตามร่องดินในไร่มา จะเจริญอาหารก็ไม่แปลก

“เอาแต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาทุกวันแบบนี้ กินข้าวลงหรือ”

ว่าแล้วย่าก็ชวนฉันไปถอนวัชพืชที่ไร่ผักกาด บอกว่าจะได้อยากอาหารขึ้นมาบ้าง

“ตายไปร่างกายก็เน่าผุอยู่ดี เอ็งนี่ทะนุถนอมร่างกายเหลือเกินนะ”

แต่อย่างย่าก็เกินไป เรียกว่าใช้ร่างกายจนเปลือง

ดูสิ! ตั้งแต่กิจวัตรประจำวันไปจนถึงหลักปรัชญาการใช้ชีวิต ไม่มีส่วนไหนที่ฉันกับคุณนายฮงกันนันเหมือนกันเลยสักอย่าง ไม่มีแม้แต่ปลายเล็บ ต่อให้บอกว่ายีนหนึ่งส่วนสี่ในตัวฉันได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณนายฮงกันนันคนนั้น แต่การส่งสาวโสดวัยยี่สิบเอ็ดจากเมืองหลวงมาร่วมชายคากับแม่เฒ่าผู้มีระยะห่างทางอารมณ์ห่างไกลออกไปเป็นล้านปีแสงนั้น… ไม่สิ ไม่ใช่การส่งมาร่วมชายคา ต้องเรียกว่าเนรเทศมาถึงจะถูก

นี่คือชีวิตของผู้ถูกเนรเทศให้มาอยู่ท่ามกลางหุบเขาลึกอันแสนเปล่าเปลี่ยว!

หากให้พูดถึงหมู่บ้านทูวังนี ตำบลซันแน อำเภออุนซัน จังหวัดชุงช็องใต้แห่งนี้ มันคือพื้นที่ทุรกันดารบนคาบสมุทรเกาหลีที่แม้แต่ตอนโอลิมปิกปีค.ศ. 1988 โทรศัพท์ก็ยังเข้ามาไม่ถึง มันคือจุดบอดแห่งอารยธรรม อย่าว่าแต่ช่องเคเบิ้ลเลย แค่สัญญาณช่องฟรีทีวียังติดๆ ดับๆ แล้วแต่ทิศทางลมจะนำพาคลื่นสัญญาณไป มันคือสถานที่ที่ต้องนั่งรถเมล์และเดินต่อเป็นระยะทางไกลแสนไกลกว่าจะเจอที่ดื่มกาแฟสักแก้ว แถมยังไม่ใช่กาแฟสดอย่างสตาร์บัคส์ แต่เป็นกาแฟสูตรน้ำตาลสาม ครีมเทียมสอง ฝีมือมิสคิม เจ้าของร้านกาแฟในกิ่งอำเภอ อยู่ที่นี่สมาร์ตโฟนเป็นได้อย่างมากก็แค่นาฬิกา ส่วนคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เกม โรงหนังน่ะหรือ พอเถอะ ได้โปรดพอสักที!

อา! ฉันไม่ได้ย้อนเวลามาอดีตสักหน่อย นี่มันอะไรกัน… ทำไมฉันถึงถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่นี่ ฉันพลาดตั้งแต่ตอนไหน ฉันทำผิดอะไร

บ้าเอ๊ย ทั้งหมดนี้ก็เพราะมัวแต่ห่วงนอนตอนเช้าไงเล่า

 

ถ้าใครเคยดูโทรทัศน์จะรู้ว่าก่อนข่าวสามทุ่มมีละครรายวันอยู่เรื่องหนึ่ง พล็อตเรื่องกล่าวถึงหญิงคนรักของพระเอกซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นลูกสาวที่แม่เลี้ยงแอบซุกซ่อนไว้ น้องชายของเธอที่ถูกผู้หญิงคนนั้นรับมาเลี้ยงก็มารู้ทีหลังว่าเป็นน้องชายแท้ๆ ที่หายตัวไปตอนเด็ก มีแต่เรื่องชวนให้อ่อนเปลี้ยเพลียแรง แถมยังมีเรื่องที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมากมาย เอาเป็นว่าบริษัทของนางเอกถูกตัวร้ายโกงจนประสบวิกฤตเกือบล้มละลาย พ่อนางเอกเครียดจนต้องเอามือประคองท้ายทอยก่อนจะเป็นลมล้มลงไป และในตอนนั้นเอง ผู้เฒ่าคังดูยง แฟนพันธุ์แท้ละครเรื่องนี้แห่งหมู่บ้านทูวังนี ตำบลซันแน อำเภออุนซัน จังหวัดชุงช็องใต้ก็ล้มลงเช่นกัน กว่ารถพยาบาลจะขับขึ้นมาถึงหุบเขากลางป่าลึกที่ไม่ปรากฏบนระบบนำทางได้ หัวใจปู่ก็หยุดเต้นไปแล้ว อายุของเขานับได้แปดสิบสามปี

หากจะบอกว่าเป็นการจากไปอย่างกะทันหันก็คงใช่ แต่ตอนที่เขาหกล้มเพราะโรคความดันโลหิตสูงเมื่อสามปีก่อนก็เหมือนเป็นการให้พวกเราได้ซ้อมใหญ่ ลูกหลานต่างเคยผ่านการเตรียมใจมาแล้ว แถมเรายังมีประกันช่วยงานศพ[3]ที่ลุงซื้อไว้ ผ้าห่อศพก็ตัดทิ้งไว้ตั้งแต่ช่วงอธิกมาส[4] เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน การจัดงานศพจึงเป็นไปอย่างราบรื่นถึงขนาดที่ว่าปัญหาใหญ่สุดมีแค่จะสั่งต็อก[5]มาสองหรือสามอย่างเท่านั้น แต่ต่อให้มีปัญหาเกิดขึ้น หลานสาวผู้กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นปีที่สามอย่างฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี

จะว่าไป เย็นวันที่เราฝังร่างของปู่แล้วกลับมาบ้าน ย่าก็กินซัมใบฟักทองอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน แถมไม่ใช่แค่ย่าเท่านั้น บรรดาเจ้าภาพงานศพคนอื่นๆ ก็เจริญอาหารกันสุดๆ

“กิมจิไชเท้าอ่อนกำลังเปรี้ยวได้ที่เลย”

ป้าคนโตพูดขณะเติมข้าวอีกถ้วย แม้ว่าเรื่องต่อไปนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นจริง แต่หากวันใดวันหนึ่ง ป้าคนโตหรือคุณคังมินจามีโอกาสได้เขียนชีวประวัติของตัวเอง เธออาจหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า ‘เย็นวันที่เราฝังร่างพ่อไว้บนภูเขาแล้วกลับลงมา ข้าพเจ้ากินข้าวหมดไปตั้งสองถ้วย’ พอพูดแล้วช่างฟังดูเหมือนป้าเป็นลูกอกตัญญูเสียเหลือเกิน แต่คนที่ร้องไห้ได้น่าสงสารที่สุดตลอดงานศพก็คือป้าคนโตนี่แหละ แม้แต่คนในหมู่บ้านที่เห็นยังพากันพูดว่า

“ต้องมีลูกสาวนะ บรรยากาศถึงจะเหมือนบ้านเจ้าภาพงานศพหน่อย”

วันสุดท้ายของงานศพ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จตั้งแต่หัวค่ำ พวกผู้ใหญ่ก็พากันไปรวมตัวที่ห้องนอนด้านในเพื่อทำบัญชีเงินช่วยงานศพจากแขก ส่วนฉันนอนเล่นอยู่ตรงโถงบ้านพลางคิดว่าถ้ากลับไปแล้วจะทำอะไรเป็นอย่างแรกดี ก่อนอื่นต้องอาบน้ำ แล้วค่อยชงกาแฟเย็นเข้มๆ ใส่กาแฟสองช็อต กินวาฟเฟิลราดไซรัปจนท่วมด้วยดีไหม พาสต้าครีมซอสก็อยากกิน ฮันนี่ฟริตเตอร์ของดังกินโดนัทก็ด้วย ไหนจะน้ำแข็งไสเกล็ดหิมะอีก… ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดถึงปรัชญาชีวิตว่า ‘อา! คนเรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยความอยากอาหารนี่เอง’ อยู่นั้น

“กลับไปทำงานวันไหน”

เสียงของลุงดังมาจากห้องนอนด้านใน

“ก็ว่าจะไปบ่ายวันพรุ่งนี้”

นี่คือคำตอบของพ่อ

“พ่อนี่ก็นะ… น่าจะเสียสักวันพุธ พวกเราจะได้จัดงานศพ แล้วพักผ่อนวันเสาร์อาทิตย์…”

อาหญิงซึ่งเป็นน้องเล็กสุดพูด ทั้งที่เมื่อวานนี้ยังบอกอยู่เลยว่าดีที่จัดงานศพวันเสาร์อาทิตย์ แขกที่มาจะได้ไม่เหนื่อย

“ขนาดตอนตาย พ่อพวกเรายังคิดถึงคนอื่นอีก”

ว่าแล้วเธอก็หลั่งน้ำตาหยดน้อยๆ จากนั้นมีเสียงหัวเราะลั่นของลุงดังขึ้น

“นี่ ตอนอยู่ในงานศพ พวกเราเอาแต่พูดคำเดิมซ้ำๆ ใช่ไหมล่ะ พอแขกที่มาพูดว่าคงจะเจ็บปวดมากเลยสินะครับ เราก็ตอบกลับไปว่าขอบคุณนะครับที่เดินทางมาไกล ทีนี้พอได้ยินหลายครั้งเข้ามันก็ติดหู จนครั้งหนึ่งมีแขกมา ดูแล้วน่าจะเป็นเพื่อนพ่อ ฉันก็ดันเผลอไปทักเขาก่อนว่า คงจะเจ็บปวดมากเลยสินะครับ”

วะฮ่าๆๆๆ… พ่อของฉันหัวเราะเสียงดังที่สุด

สามีของป้าคนโตพูดช้าๆ เสริมว่า

“ก็ไม่ผิดเสียทีเดียวนะ เพื่อนตายไปทั้งคน เขาคงจะเจ็บปวดเหมือนกัน”

เสียงหัวเราะ วะฮ่าๆๆๆ ดังขึ้นอีกระลอก ป้าคนโตถึงกับปรบมือชอบใจไปด้วยขณะหัวเราะ แม้ว่าเรื่องต่อไปนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นจริง แต่หากคุณคังมินจาได้เขียนชีวประวัติของตัวเองก็อาจต้องเพิ่มเข้าไปว่า ‘ในวันที่ขึ้นไปฝังร่างของพ่อบนภูเขาแล้วกลับลงมา พวกเราหัวเราะพลางตบไม้ตบมือชอบใจกันยกใหญ่’

“ตลกอะไรขนาดนั้น”

เสียงของย่าดังขึ้น เมื่อกี้ย่าเข้านอนทันทีหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ แต่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเสียงหัวเราะปรบมือดังสนั่นของบรรดาลูกๆ กลายเป็นว่าโดนดุกันหมดทั้งลูกชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้

ป้าสะใภ้ส่งสายตาตำหนิให้ลุงคล้ายจะต่อว่าว่า ‘ไปพูดแบบนั้นทำไม’ ส่วนแม่ฉันก็ขยับเข้าไปหลบหลังพ่อเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตของพ่อเป็นขนาด XXL จึงไม่มีเครื่องกำบังไหนยอดเยี่ยมไปกว่านี้แล้ว

“ไม่ได้หลับไปแล้วหรือครับ”

พ่อของฉันพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ย่านั่งเหม่ออยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าตื่นแล้วหรือยังสะลึมสลืออยู่ แต่พอได้สติก็เริ่มลงมือหาอะไรบางอย่าง

“แม่”

อาหญิงคนเล็กเรียก แต่ไม่มีเสียงขานรับ

“มันเคยอยู่ตรงนี้ตลอดนะ หายไปไหนแล้ว”

บรรดาลูกชาย ลูกสาวต่างสบตากัน

ป้ายื่นมือมาคว้าตัวย่าเอาไว้

“แม่ แม่หาอะไร หาใคร พวกเราอยู่ที่นี่หมดทุกคน ทั้งคีซู นัมซู ลูกเขยโอ มินจา มินชิลก็อยู่ครบ แม่หาลูกเขยนัมหรือ เขานอนอยู่ห้องนอนแขก แม่ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราอยู่ครบทุกคน”

ป้าคนโตชี้ไปที่สมาชิกในครอบครัวทีละคนพร้อมพูดชื่อ พ่อของฉันถึงกับยกมือขึ้นมาตอนได้ยินชื่อตัวเองด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นย่าก็ยังไม่เลิกหา แถมสะบัดมือป้าคนโตที่พยายามจะดึงให้แกนั่งออกครั้งแล้วครั้งเล่า

“เอ็งหลบไปหน่อยซิ มันน่าจะอยู่แถวๆ นี้นะ…”

ย่าเลิกผ้าห่มขึ้นดู ก่อนผลักลุงออกไปให้พ้นทางราวกับมีใครซ่อนอยู่ข้างหลังเขา

“พี่ แม่เราเป็นอะไรไป”

อาหญิงคนเล็กถามพี่ชาย เธอคงจะรู้สึกกลัวขึ้นมา

ฉันขอพักเรื่องนี้ไว้สักครู่ เรามาย้อนดูชีวิตของคุณนายฮงกันนันกันดีกว่า ว่ากันว่าคุณนายฮงกันนันแต่งงานตอนอายุสิบแปดกับชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ด ผู้มีบ้านอยู่บนหุบเขาลึก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเดต เพราะก่อนแต่งย่าได้เห็นหน้าปู่ผ่านรูปถ่ายเพียงใบเดียวเท่านั้น พอเปรียบเทียบกับชายในห้องหอคืนแรกก็พบว่าเขาช่างแตกต่างจากในรูปเหลือเกิน แม่สื่อไม่เพียงโกหกเรื่องหน้าตา แต่ยังโกหกเรื่องอื่นอีกมากมาย เธอบอกว่าแม้บ้านชายหนุ่มจะอยู่กลางหุบเขา แต่ก็มีที่นา มีไร่ แต่งกับเขาแล้วไม่ลำบากเรื่องกินอยู่อย่างแน่นอน ไม่ลำบากกับผีน่ะสิ ย่าบอกว่าหลังแต่งงาน วันที่อดมีเยอะกว่าวันที่กินอิ่มเสียอีก

“ถ้าเป็นสมัยนี้ คิดหรือว่าข้าจะทนอยู่ คงทำลายข้าวของให้ราบแล้วหนีไปแล้ว”

ย่ากล้ำกลืนใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความรันทดใจ จนต่อมาให้กำเนิดลูกชาย ลูกสาวอย่างละสองคน และเลี้ยงดูมาจนเติบโต หากนับรวมลูกสาวที่จากไปตอนสามขวบด้วยโรคอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จักชื่อก็จะกลายเป็นลูกชายสอง ลูกสาวสาม  ย่าต้องสูญเสียสามีที่ตกลงปลงใจแต่งงานกันด้วยรูปถ่ายใบเดียวไปอย่างกะทันหัน หลังจากอยู่ด้วยกันมาหกสิบสองปีเต็มๆ บัดนี้คู่ชีวิตไม่อยู่แล้ว! ย่าคงทำใจไม่ได้ง่ายๆ…

“อยู่นี่เอง”

สิ่งที่ทำให้ย่าสะบัดมือป้าคนโตที่พยายามจะเข้ามากอดทิ้งคือวัตถุสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำ กว้างสี่เซนติเมตร ยาวสิบห้าเซนติเมตรนิดๆ หากกดปุ่มจะสั่งการให้โทรทัศน์เปิดใช้งานได้ มันคือสิ่งที่มีชื่อว่า ‘รีโมต คอนโทรล’ หรือเรียกกันทั่วไปว่า ‘รีโมต’ นั่นเอง

นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสองทุ่ม ยี่สิบห้านาทีเป๊ะ เสียงเพลงประกอบละครรายวันดังออกมาจากโทรทัศน์ ว่ากันว่าคนเยอรมันสมัยก่อนพอได้เห็นคานต์[6]แล้วจะรู้เวลา ฉันไม่รู้ว่าหรอกนะว่าด้านปรัชญาจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าวัดกันด้านเวลาแล้ว คุณนายฮงกันนันก็ถือว่าแม่นยำไม่แพ้กัน ย่ากำรีโมตแน่นเหมือนกลัวมีคนมาแย่ง สายตาจ้องเขม็งไปที่จอโทรทัศน์ ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็พากันจ้องไปที่ย่าอีกทอด

“ทุกคนคิดว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง”

ลุงเป็นฝ่ายเอ่ยถามพวกน้องๆ ก่อน แต่ยังไม่ละสายตาไปจากย่า

“ดูแล้วก็เหมือนจะไม่เป็นอะไรมาก”

พ่อฉันตอบ แน่นอนว่าสายตายังคอยเฝ้าสังเกตดูย่าเช่นกัน

“เพราะไม่เป็นไรนี่แหละถึงแปลก เวลานี้ไม่เป็นไรได้ด้วยหรือ”

ป้าคนโตพูดพลางลูบหลังโก่งงอของย่า

“ฉันเคยได้ยินว่าคนแก่น่ะ ถ้ามีใครไม่อยู่แล้วคนหนึ่ง ไม่นานอีกคนก็จะเป็นอะไรตามไปด้วย พ่อเพื่อนฉันก็มีชีวิตอยู่ได้ประมาณสามเดือนหลังภรรยาตาย แล้วจู่ๆ ท่านก็เสียไปเลย”

สามีของป้าพูดขึ้นมาช้าๆ

“ดูๆ ดูมันสิ… ผีเจาะปากมาพูดรึไง ปากหาเรื่องจริงๆ”

คนพูดประโยคนี้คือย่าซึ่งกำลังระบายอารมณ์โกรธใส่โทรทัศน์

การแลกเปลี่ยนความเห็นของผู้ใหญ่ในบ้านเรื่องจิตใจที่ได้รับการกระทบกระเทือนของย่าหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ป้าคนโตก็โผเข้าไปดึงตัวย่ามากอด

“โธ่ แม่ฉันช่างน่าสงสาร ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปต้องกินข้าวคนเดียว นอนคนเดียวแล้ว… ต่อให้มีลูกถึงสี่คน แต่จะไปมีประโยชน์อะไร ในเมื่อทุกคนมัวแต่ห่วงทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง”

ป้าสะใภ้เบือนหน้าหนี คงเพราะเป็นสะใภ้คนโตเลยอึดอัดที่ต้องมาได้ยินเรื่องนี้ ส่วนแม่ของฉันที่แม้จะไม่ใช่สะใภ้คนโต แต่ก็เป็นสะใภ้เหมือนกันนั้นได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่หลังเสื้อพ่อ บรรยากาศของบ้านเจ้าภาพงานศพที่ก่อนหน้านี้เฮฮาจนเกินควรกลับหม่นหมองลงในทันที ป้าคนโตกอดย่าไว้จากข้างหลังแล้วเริ่มร้องไห้ ป้าทั้งร้องไห้เก่ง ยิ้มเก่ง แถมยังกินเก่งอีกด้วย ย่าบิดตัวออกเล็กน้อย จากนั้นเสียงโทรทัศน์ก็ดังขึ้นกว่าเดิม สงสัยเพราะมีคนไปร้องไห้อยู่ข้างหูเลยไม่ค่อยได้ยิน

ส่วนฉันน่ะหรือ ถ้าถามฉัน ย่าจะกินข้าวคนเดียวหรือกินกับใคร มันก็เป็นปัญหาของพวกผู้ใหญ่ เวลานี้หมู่ดาวท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนส่องแสงระยิบระยับ ลมเอื่อยๆ พัดพาให้ความง่วงโถมเข้ามา… จะว่าไป ช่วงที่จัดงานศพฉันไม่ได้นอนเลย

พี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องและพี่สะใภ้นอนหลับอยู่ในห้องชั้นบน พอฉันล้มตัวลงนอนข้างๆ ก็แว่วเสียงนกร้อง ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งว่านั่นเป็นเสียงนกฮูกหรือนกเค้าแมว แต่ไม่ทันไรก็ผล็อยหลับไป

เรื่องราวมากมายปรากฏขึ้นในความฝันอย่างไม่เป็นลำดับ ตั้งแต่วันแรกที่ได้ข่าวการเสียชีวิตของปู่แล้วเดินทางมาถึงชนบทแห่งนี้ ฉันมองไปที่ร่างของปู่ซึ่งนอนอยู่ในห้องนอนด้านใน พลางคิดว่า ‘นี่เป็นศพแรกที่ฉันได้เห็นในชีวิต’ จากนั้นก็ตกใจกับความคิดของตัวเองและสำนึกผิดว่า ‘ปู่เพิ่งตายไปได้ไม่นาน เรียกว่าศพได้อย่างไร เรานี่ใจดำจริงๆ’ ต่อมาเป็นฝันตอนโลงลงไปอยู่ในหลุมแล้ว มีคนบอกให้ฉันโปรยดินเป็นคนแรก ฉันก็โปรย ตอนนั้นเองที่เพิ่งจะรู้สึกว่า ‘นี่ปู่ตายแล้วจริงๆ สินะ’ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเล็กน้อย ต่อมาฉันฝันเห็นพ่อร้องไห้โฮเสียงเหมือนวัว แล้วอยู่ดีๆ เขาก็ตบยุงที่ต้นคอตัวเอง ฝันเห็นย่ายัดซัมใบฟักทองเข้าไปในปาก แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า ‘ถั่วดำหนึ่งทเว ข้าวเหนียวหนึ่งมัล[7]’ ฉากในฝันเปลี่ยนไป ฉันยืนล่อนจ้อนอยู่ริมลำธาร จากนั้นก็ลงไปในน้ำ ในฝันยังนึกกังวลว่า ‘ถ้าใครมาเห็นเข้าต้องเป็นเรื่องแน่’ ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเสียงน้ำไหลรึเปล่า ถึงได้รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมา… ‘มันเป็นชักโครกธรรมชาติอยู่แล้วนี่นา ไม่เห็นเป็นไร’ ฉันคิด แต่ขณะกำลังจะปลดทุกข์ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาเสียก่อน

แสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาจากประตูด้านหลังพาดยาวไปถึงกลางห้อง ต้นคอฉันเหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อ เสียงตู้เย็นทำงานดังหึ่งๆ ฉันรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉันจึงรีบวิ่งพาตัวเองไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อน แล้วระหว่างที่กำลังปลดทุกข์ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า แย่แล้ว ฉันได้ยินเสียงตู้เย็นทั้งที่บ้านหลังนี้มีคนอยู่เกือบยี่สิบคน ปกติเสียงพูดคุยดังจอแจจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เข้าด้วยซ้ำ แต่นี่เสียงตู้เย็นงั้นหรือ…

บรรยากาศภายในบ้านเงียบสงัดอย่างกับวัด ฉันเดินเข้าไปดูทีละห้อง ไม่มีใครอยู่เลย

ฉันเดินต่อไปยังลานหน้าบ้าน ไม่มีรถจอดอยู่แม้แต่คันเดียว

“ตื่นเสียทีสินะ”

คุณนายฮงกันนันยืดหลังขึ้นมาขณะยืนดูแปลงกุยช่ายหน้าบ้าน

ตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน แดดแรงเสียจนแม้แต่เงายังหลบไปอยู่ใต้เท้า เจ้า ‘คง’ สุนัขที่มองเผินๆ คล้ายพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ แต่พอมองอีกทีก็เป็นแค่สุนัขพันทางตัวหนึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่ใต้ร่มเงาสั้นๆ ของต้นพลับ มันกระดิกหางเล็กน้อย หรือจะเป็นการส่งสัญญาณว่าต่อไปนี้มาเป็นเพื่อนกันเถอะ

ฉันรู้สึกตาลายขึ้นมาทันที จู่ๆ ก็เกิดอาการวิงเวียน จึงพาตัวเองกลับเข้ามาในห้อง ดาวสีดำลอยว่อนอยู่เบื้องหน้า สาเหตุที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะเจอแสงแดดกะทันหันหรอก ฉันสาบานได้เลยว่าเป็นเพราะจิตใจได้รับการกระทบกระเทือนต่างหาก ข้างโทรศัพท์มีกระดาษโน้ตวางอยู่แผ่นหนึ่ง แถมยังเป็นกระดาษที่ฉีกออกมาจากปฏิทินอย่างลวกๆ

‘มูซุน ฝากดูแลย่าแป๊บหนึ่งนะ’

ข้างกระดาษนั้นยังมีธนบัตรใบละห้าหมื่นวอนวางอยู่อีกสิบใบ แต่ที่ฉันรู้สึกเจ็บใจจริงๆ คือหลังประโยค ‘ฝากดูแลย่าแป๊บหนึ่งนะ’ ยังมีรูปหัวใจด้วย! หัวใจเนี่ยนะ ถามจริงเถอะ ทิ้งลูกสาวไว้กลางหุบเขาอันเปล่าเปลี่ยวแบบนี้ยังมีอารมณ์วาดหัวใจอีกหรือคะ พ่อ!

อา! และนี่ก็คือเรื่องราวการถูกเนรเทศของฉันทั้งหมด ฉันไม่อยากเอ่ยถึงบรรดาพ่อแม่พี่น้องที่พากันย่องหนีไปเพราะกลัวฉันตื่น ถือซะว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉันเองที่มัวแต่หลับใหลขณะกองทัพใหญ่ของคนยี่สิบคนอพยพไปจากที่นี่ ถ้าเพียงแต่ฉันตื่นสิบโมงเหมือนทุกวัน… ไม่สิ ถ้าตื่นตอนช่วงสุดท้ายที่คุณนายฮงกันนันแบ่งถั่วกองละหนึ่งทเว ข้าวเหนียวกองละหนึ่งมัลก็น่าจะรอดแล้วด้วยซ้ำ บ้าเอ๊ย ถ้าเพียงแต่ฉันไม่ใช่คนที่เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นปีที่สาม อา อย่าดีกว่า เพราะถ้าย้อนกลับไปเสียใจเรื่องนั้น เดี๋ยวก็ต้องย้อนไปถึงตอนมัธยมที่ไม่ตั้งใจเรียนเลยไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในครั้งเดียวอีก แต่ก่อนหน้านั้น ถ้าเกิดเป็นลูกชายจะเจอเรื่องอย่างนี้ไหมนะ บางครั้งก็รู้สึกว่าฉันผิดเองที่เกิดเป็นลูกสาว แต่ถ้าคิดแบบนี้ คนที่ผิดที่สุดก็คือหมี[8]ที่ถูกฮวันอุงหลอกให้กินซุก[9]กับกระเทียมตั้งแต่แรก… เอาเป็นว่าเป็นความผิดของฉันแล้วกัน ได้แต่ทุบอกตัวเองดังตุ้บๆ แล้วบอกว่าฉันผิดเอง ฉันผิดเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉันมัวแต่ห่วงนอนตอนเช้าเอง

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ รูปหัวใจงั้นหรือ แม้จะผ่านไปสามวันแล้ว แต่พอนึกถึงรูปหัวใจขึ้นมาทีไรก็รู้สึกว่าลมหายใจร้อนผ่าวไปหมดทุกที

ถ้าใครเคยมีประสบการณ์จะรู้ดีว่าวันไหนที่ตื่นเช้า วันนั้นจะยาวนานเป็นพิเศษ นกตื่นเช้าอาจได้กินหนอน แต่คังมูซุนที่ตื่นเช้าไม่มีอะไรให้ทำ ถึงปกติฉันจะนอนตื่นสาย แต่ก็ไม่นอนกลางวัน ผิดกับคุณนายฮงกันนันที่กินข้าวเที่ยงเสร็จปุ๊บเป็นต้องล้มตัวลงนอนทุกที เห็นอย่างนี้แล้วย่ายังบอกว่าฉันเป็นคนขี้เกียจอีก

งั้นวันนี้จะทำอะไรดีนะ เมื่อวานฉันเบื่อมาก ตอนห้าโมงเย็นเลยพาเจ้าคงออกไปเดินเล่น พอแดดร่มลมตกที่นี่ก็ค่อยน่าเดินขึ้นมาหน่อย ฉันคิดกับตัวเองว่าต่อไปพามันออกมาเดินเล่นทุกวันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะได้ทั้งออกกำลังกาย ได้ทั้งฆ่าเวลา เจ้าคงน่าจะเพิ่งเคยออกมาเดินเล่นเป็นครั้งแรกถึงได้วิ่งสะเปะสะปะไปทางโน้นที ทางนี้ที จนไม่รู้ว่าฉันจูงมัน หรือมันจูงฉันกันแน่ ชาวบ้านที่ทำงานอยู่ในไร่นาหันมามองเราเป็นตาเดียว พวกเขาถึงกับทิ้งงานในมือแล้วหันมาดูกันทั้งหมู่คณะเลยล่ะ ฉันเดินต่อไปอีกราวสิบนาทีจนมาถึงสามแยก

หากให้พูดถึงสามแยก มันคือบริเวณที่คึกคักที่สุดในหมู่บ้านทูวังนีแห่งนี้ เพราะมีป้ายรถเมล์ซึ่งรถเมล์อันทรงเกียรติจะแวะเวียนผ่านมาแค่ชั่วโมงละคันเท่านั้น หัวมุมถนนทั้งสามเป็นที่ตั้งของอาคารประชุมของหมู่บ้าน บ้านหลังคาน้ำเงินที่ไม่มีประตูหน้า และร้านขายของชื่อพูฮึงซูเปอร์ซึ่งแปลว่าฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ แต่สภาพร้านกลับดูไม่ใหม่เลยสักนิด หากมีใครสงสัยว่าร้านโชห่วยมีขนาดประมาณไหน ฉันก็อยากให้มาดูพูฮึงซูเปอร์แห่งนี้ไว้

เจ้าของร้านเป็นหญิงชรารูปร่างอวบอึ๋ม ดูแล้วขนาดหน้าอกน่าจะเกินคัพดีไปไกล แกไม่สวมเสื้อชั้นใน แต่กระนั้นก็ดูไม่โป๊เลยสักนิด อาจเป็นเพราะพุงที่ยื่นออกมาเท่าหน้าอก หญิงชราคนนั้นนั่งอยู่บนโซฟาหน้าร้าน แกมัวแต่มองดูฉันพาเจ้าคงมาเดินจนมือหยุดพัดไปเสียดื้อๆ หรือแกจะไม่เคยเห็นสาวน้อยจากกรุงโซลมาก่อน แค่ฉันใส่ชุดวอร์มออกมาเดินยังขนาดนี้ ถ้าแต่งตัวเต็มยศคนที่นี่คงพากันแตกตื่นแน่ แล้วหญิงชราก็ถามขึ้นว่า

“เอ็งลากหมามาด้วยทำไม”

 

เย็นวันนั้น หลังจากคุณนายฮงกันนันกลับมาจากไร่ขณะล้างเท้าก็พูดขึ้นว่า

“คนเขาลือกันให้แซ่ดว่ามีนังผู้หญิงบ้าที่ไหนก็ไม่รู้เดินลากหมาไปทั่วหมู่บ้าน”

ให้ตายสิ วัฒนธรรมแตกต่างกันอย่างกับชาวปารีสและเผ่ามาไซในแอฟริกา ถ้าวันนี้ฉันพาหมาออกไปเดินเล่นอีก ดีไม่ดีอาจมีคนโทรไปแจ้งความ

ถ้าใครเคยมีประสบการณ์จะรู้ว่าตอนที่ไม่ทำอะไร เวลาจะเดินช้าลง หรือในอีกความหมายหนึ่งคือหากลงมือทำอะไรสักอย่าง เวลาจะผ่านไปเร็วขึ้น…

คุณนายฮงกันนันปลูกถั่วแขกไว้ตรงริมลานหน้าบ้าน ลำต้นของมันเหยียดเลื้อยขึ้นข้างบนเหมือนเถาวัลย์ คนจึงพากันเรียกมันว่าถั่วเถาวัลย์ จะว่าไปแล้ว คนสมัยก่อนตั้งชื่อได้เรียบง่ายดีจริงๆ อย่างคนหน้าตาเศร้าหมองก็ตั้งชื่อว่าซอบซอบบีที่แปลว่าคนเศร้า ลูกคนสุดท้องก็ตั้งชื่อว่ามักตุงงีที่แปลว่าน้องเล็ก

ข้างต้นถั่วมีไม้ไผ่ปักไว้เพื่อให้เถาวัลย์เกาะเลื้อยขึ้นไป ถ้ามันเลื้อยพันไม้ไผ่ขึ้นไปด้านบนได้ งั้นก็แสดงว่าเถาวัลย์เคลื่อนไหวได้น่ะสิ ดีล่ะ! งั้นฉันจะคอยจับตาดูตอนเถาวัลย์เลื้อยพันรอบไม้ไผ่ให้ได้

เอ๊ะ จะว่าไปก็มีคนคนหนึ่งที่เคยทำการทดลองคล้ายๆ แบบนี้นี่นา… คนที่ทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตาจนค้นพบกฎของยีนเด่นและยีนด้อย ชื่อเมนเดลหรืออะไรสักอย่าง มันอาจแตกต่างกับการทดลองที่ฉันจะลงมือทำต่อไปนี้ แต่เอาเป็นว่านายเมนเดลอะไรนั่นก็คงว่างมากจนไม่มีอะไรทำเหมือนกัน

เถาวัลย์จะมีสติปัญญาหรือเปล่านะ ทำไมมันถึงได้นิ่งราวกับรู้ว่ามีใครจ้องมองอยู่ แต่ไม่ใช่แค่เถาวัลย์เท่านั้น ละแวกนี้ทั้งละแวกก็เหมือนจะนิ่งสนิทไปด้วย ไม่มีใครเดินผ่าน ไม่มีรถแล่นผ่าน มีเพียงกิ่งไม้ไหวตามลมบ้างบางครั้ง คนแถวนี้หายไปทำอะไรกันหมดน่ะหรือ พวกเขากำลังซุ่มทำงานอยู่หลังต้นบาร์เลย์และต้นถั่ว ถ้าอยากรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็แค่ลองจูงหมาออกไปเดิน แล้วบรรดาคนแก่ที่ตากแดดจนผิวคล้ำจะพากันชะเง้อหน้าขึ้นมาจากไร่นาอย่างกับนกกระเรียนเลยล่ะ

พอฉันเผลอไปคิดเรื่องอื่นแล้วหันมาดูอีกทีก็รู้สึกว่าเถาวัลย์โค้งงอเล็กน้อย

วันแรกที่ถูกเนรเทศ ฉันโทรไปประท้วงกับแม่ ซึ่งท่านแม่ผู้มีเมตตาก็ตอบกลับมาว่า

“นักเรียนเตรียมสอบงั้นหรือ อย่างแกเนี่ยนะ คนที่แค่ฝนตกก็โดดเรียนพิเศษ วันดีคืนดีเกิดหดหู่ขึ้นมาก็ไม่ยอมไปเรียน แต่กลับตามดูละครไม่ขาดตั้งแต่ละครวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ไล่ไปจนถึงละครสุดสัปดาห์อย่างแกน่ะหรือ แกก็เป็นแค่คนว่างงานที่ขี้เกียจเท่านั้นแหละ รู้ตัวบ้างไหม อย่ากลับมากวนมูซอกอ่านหนังสือสอบ อยู่ที่นั่นไปก่อนจนกว่าพ่อแม่จะไปรับ”

อันที่จริงนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ฉันถูกทิ้งให้อยู่บ้านนอก ครั้งแรกคือฤดูร้อนตอนอายุหกขวบ ความทรงจำช่วงนั้นไม่ใช่ว่าฉันจำได้เอง แต่เป็นการฟังคนอื่นเล่ามาอีกที มูซอก น้องชายที่ห่างกับฉันสามปีเกิดมาพร้อมรูรั่วที่หัวใจจึงต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อปิดรูรั่วนั้น พี่สาววัยหกขวบอย่างฉันต้องมีคนคอยดูแลเลยถูกเอามาทิ้งไว้ที่นี่ ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็อาศัยจังหวะที่ฉันนอนหลับหนีกลับไปก่อนเช่นกัน

หรือว่าสาเหตุที่ฉันตื่นเช้าไม่ได้จะเป็นเพราะเหตุการณ์ฝังใจตอนเด็ก จิตใจลึกๆ ไม่อยากตื่นเพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกทิ้งอีก

ก็แค่ลองพูดดูเฉยๆ น่ะนะ เพราะจากคำบอกเล่าของคุณนายฮงกันนัน ตอนนั้นฉันร้องไห้ฟูมฟายอยู่แค่แป๊บเดียว

“เอ็งน่ะ ชอบเดินไปนู่นมานี่ หาตัวไม่ค่อยเจอ พอถึงเวลากินข้าวทีไรปู่กับย่าต้องออกไปตามหาตลอด”

คังมูซุนในวัยหกขวบปรับตัวได้ดีอย่างไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะภูเขาหรือทุ่งหญ้าก็เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ทั้งจับแมลงปอ เด็ดหญ้าคามากิน แถมยังตากแดดจนตัวคล้ำ ผิวลอกอีก

“ตอนเป็นเด็ก ก้นเอ็งไม่เคยได้นั่งติดพื้นเลยด้วยซ้ำ ไหงโตมากลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ก็ไม่รู้”

คุณนายฮงกันนันไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้ อาจเพราะตอนนั้นใช้พลังงานเยอะเกินไป ตอนนี้เลยไม่มีแรงเหลือแล้ว

ฉันขอหยุดการสังเกตเถาวัลย์ของถั่วแขกไว้เพียงเท่านี้ เพราะแขนเป็นเหน็บ เห็นทีจะไม่ไหว ถ้าให้รายงานผลระหว่างการทดลองก็บอกได้ว่าน่าเบื่อมาก ไม่ใช่ว่าใครๆ จะเป็นเมนเดลได้ สรุปแล้วเมนเดลก็คือเมนเดล คังมูซุนก็คือคังมูซุน

ช่างเรื่องการสังเกตทางวิทยาศาสตร์นั่นเถอะ ถ้าเอ่ยถึงชีวิตในชนบทแล้วก็ต้องหนีไม่พ้นการจัดสวน คุณนายฮงกันนันรู้แค่วิธีถอนวัชพืชในไร่ ไม่รู้เรื่องการตกแต่งสวนเลย แม้ด้านหนึ่งของลานหน้าบ้านจะมีแปลงดอกไม้อยู่ แต่ก็เป็นเพียงแปลงที่ปลูกมั่วตามอำเภอใจ หากย่าใช้ความจริงใจแค่สักครึ่งหนึ่งของตอนปลูกถั่ว มันคงไม่ออกมาหน้าตาแบบนี้ แต่จะไปคาดหวังอะไรกับคนแก่ที่ปลูกถั่วแขกไว้ในลานหน้าบ้านแทนที่จะปลูกต้นคอสมอสหรือฟอร์ซีเธียล่ะ

ฉันย้ายไม้ดอกมาปลูกรวมกันตามสีดีไหมนะ หรือจะวางสีให้เหมือนเวลาแปรอักษรดี จำได้ว่ามีซองเก็บเมล็ดดอกไม้อยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องนอนแขก… แต่ลงมือถอนวัชพืชก่อนแล้วกัน

พอได้ลองทำก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ สงสัยเพราะแบบนี้คุณนายฮงกันนันถึงได้กุลีกุจอไปถอนวัชพืชทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก่อนหน้านี้ฉันเคยสงสัยว่าทำไปทำไม เพราะตกกลางคืนย่าก็เอาแต่โอดครวญว่า ‘ปวดเนื้อปวดตัวไปหมดแล้ว โอย แขนขาข้า’ แต่ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วล่ะ

วัชพืชบางต้นหยั่งรากลงลึกแล้ว ต้นไม้รากลึกไม่เอนไหวตามแรงลมฉันใด วัชพืชรากลึกก็ไม่หลุดออกมาตามแรงดึงง่ายๆ ฉันนั้น แต่คิดว่าแค่นี้จะทำให้ถอดใจงั้นหรือ ฉันหยิบเสียมมาขุดไม่ยั้ง จนกระทั่งได้เห็นไส้เดือนกำลังดิ้นอยู่ ตอนแรกนึกว่ามีสองตัว แต่ว่า ว้าก! ตัวมันขาดเป็นสองท่อนต่างหาก แย่แล้ว หนึ่งชีวิตต้องจบสิ้นลงด้วยน้ำมือและฝีมือการขุดดินของฉัน มันดิ้นแรงเสียจนฉันหลอนไปเองว่าได้ยินเสียงมันกรีดร้อง แต่เป็นเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน ใช้คำอุปมาได้เห็นภาพเลยใช่ไหมล่ะ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ ฉันรีบตักดินมากลบไส้เดือน เพราะกลัวมันจะจำหน้าได้แล้วกลับมาแก้แค้น จากนั้นก็รู้สึกคลื่นไส้อยู่พักใหญ่ รู้สึกผิดด้วยอีกนิดหนึ่ง

ฉันจัดสวนต่อไปไม่ไหวแล้ว ไม่มีอะไรที่สงบและปลอดภัยกว่านี้แล้วหรือ อย่างเช่น… การเอาดอกพงซ็อน[10] มาย้อมสีเล็บ ว่ากันว่าถ้าสียังติดอยู่ที่ปลายเล็บตอนหิมะแรกตก ความรักครั้งแรกจะสมหวัง แต่เรื่องนั้นคงลำบากเพราะรักแรกของฉันแต่งงานไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว โธ่ อาจารย์วิชาภาษาเกาหลีของฉัน!

ไม่รู้ว่ามีใครรู้หรือเปล่า แต่เวลาเอาดอกพงซ็อนมาย้อมเล็บ นอกจากกลีบดอกแล้ว ควรใส่ใบลงไปด้วยสีถึงจะสวย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอเอาใบสีเขียวผสมลงไปแล้ว น้ำย้อมสีแดงถึงออกมาสวยกว่าปกติ ในระหว่างที่ฉันเด็ดดอกพงซ็อนก็มีบางอย่างหยดติ๋งลงมา ให้ความรู้สึกเหมือนตอนมือเปื้อนน้ำมูก โอ๊ย ให้ตายสิ มีทากเกาะอยู่หลังใบ ชะล่าใจไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าชีวิตในชนบทจะน่าตื่นเต้นขนาดนี้ เจ้าทากคลานต่อไปพร้อมทั้งปล่อยเมือกออกมาตามทางด้วย ในความคิดของมัน นี่คงเป็นการวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตแล้ว

เคยได้ยินตำนานเรื่องทากไหม

ตามตำนานของคุณนายฮงกันนัน กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหญิงขี้เกียจอยู่คนหนึ่ง ขี้เกียจถึงขนาดว่าไม่ยอมทอผ้า ไม่ยอมซักผ้า เสื้อผ้าที่ใส่ก็เลยมีน้อยลงเรื่อยๆ จนตอนหลังหล่อนก็ไม่ใส่เสื้อผ้ามันเสียเลย วันหนึ่งมีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน ผู้หญิงขี้เกียจคนนี้อยากไปเที่ยวในงานมาก จึงอ้อนขอสามีว่าตนจะเข้าไปอยู่ในไหขนาดใหญ่ ให้สามีอุ้มไหแล้วเอาไปวางไว้ที่มุมหนึ่งของลานจัดงานเลี้ยง สามีทำตามที่หล่อนร้องขอ เมื่อบรรยากาศรอบตัวเงียบ หญิงที่อยู่ในไหจะโผล่หัวขึ้นมาดู แต่พอมีคนเดินผ่านก็จะผลุบหายเข้าไปในไหทันที ทำอย่างนี้อยู่ซ้ำๆ จนคนในหมู่บ้านสังเกตเห็น พวกเขาไม่ค่อยชอบหญิงขี้เกียจอยู่แล้ว บวกกับอยากจะลองแกล้งก็เลยพากันไปเคาะจนไหแตกเพล้ง หญิงขี้เกียจปรากฏตัวในสภาพล่อนจ้อน หล่อนอับอายจนสิ้นใจตายเสียตรงนั้นเอง แล้วก็มาเกิดใหม่เป็นทาก

หญิงขี้เกียจเอ๋ย จะเกียจคร้านก็เอาแต่พองามสิ ทำตัวแบบนี้มันเดือดร้อนคนที่กำลังท้องไส้ไม่ดีอยู่นะ

“ขี้เกียจเหมือนเอ็งไม่มีผิด”

แม้คุณนายฮงกันนันจะพูดแบบนี้ แต่ใช่ที่ไหนกัน ฉันไม่ได้ขี้เกียจขนาดนั้นสักหน่อย

ฉันล้างมือด้วยสบู่ ถูจนลายก้นหอยที่นิ้วมือแทบเลือนหายไป จากนั้นก็ล้างอีกสองรอบ สามรอบ  แล้วลองดมกลิ่นดู ในตอนนั้นมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นพอดี

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันรู้สึกดีใจเพราะได้เจอบุรุษไปรษณีย์ เขาสวมหมวกกันน็อกอยู่ หลังจากหย่อนจดหมายลงในกล่องไปรษณีย์ซึ่งแขวนอยู่ตรงเสาด้านหนึ่งของประตูหน้าบ้าน เขาก็หันมามองฉันที่วิ่งออกมาด้วยท่าทางราวกับเจ้าสาวป้ายแดงวิ่งมารับคนรัก เขาสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร นอกจากรูปร่างจะผอมแห้งแล้ว ยังสวมหมวกกันน็อกสีแดงอีก ดูแล้วเหมือนไม้ขีดไฟไม่มีผิด แถมยังเป็นไม้ขีดไฟก้านใหญ่ที่ชอบแถมมาในกล่องเค้กด้วย ใบหน้าใต้หมวกกันน็อกมีริ้วรอยกระจายอยู่ทั่ว อายุของเขาน่าจะประมาณหกสิบได้ แต่ถ้ายังทำงานอยู่ก็อาจจะอายุน้อยกว่านั้น

“ใครเนี่ย”

บุรุษไปรษณีย์โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉันกำลังจะถามกลับว่า ‘หมายถึงอะไรคะ’ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ก่อน

“ฉันเป็นหลานสาวบ้านนี้ค่ะ”

“อ๋อ…” บุรุษไปรษณีย์ผงกหัว แล้วพูดว่า

“ยังไม่กลับเพราะเป็นห่วงย่าสินะ”

เขาคิดเองเออเองคนเดียว ถึงแม้มันจะห่างไกลกับความจริงเล็กน้อย แต่ปล่อยให้เข้าใจอย่างนั้นไปแล้วกัน

ไม่อยากเชื่อเลยว่าหลังจากถูกเนรเทศมาสามวัน ผู้ชายคนแรกที่ฉันได้คุยด้วยจะเป็นบุรุษไปรษณีย์ไม้ขีดไฟก้านใหญ่ คนที่มันดวงดี ต่อให้มาอยู่ในที่แบบนี้ก็ยังมีพักแฮอิล[11]มาส่งจดหมายให้

“ทำไมค่าไฟแพงขนาดนี้ เพราะเอ็งคนเดียวเลย”

คุณนายฮงกันนันบอกให้ฉันอ่านใบแจ้งค่าไฟที่บุรุษไปรษณีย์เอามาให้ ฉันก็ทำตามคำสั่ง แต่กลายเป็นว่ามาต่อว่ากันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องหน้าตาเฉย คุณนายฮง นี่มันใบแจ้งค่าไฟของเดือนที่แล้วต่างหากค่ะ

 

“ย่าเป็นอย่างไรบ้าง”

ลุงโทรศัพท์มาราวสามทุ่มครึ่ง เมื่อวานนี้ป้าโทร.มา วันก่อนหน้าก็เป็นอาหญิง ไม่รู้ว่าจับฉลากผลัดกันโทรมาหรืออย่างไร แถมเรื่องที่ถามก็ยังเป็นเรื่องเดียวกันอีก

“ย่าเป็นอย่างไรบ้าง”

ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นก็มาดูแลเองสิ

“ย่ากินข้าวครบสามมื้อหรือเปล่า”

เย็นวันที่เราฝังปู่บนภูเขาแล้วกลับลงมาก็เห็นเหมือนกันไม่ใช่หรือคะว่าย่าตักข้าวเสียพูนถ้วย

“ย่านอนหลับไหม”

ฉันให้ฟังเสียงย่ากรนแทนคำตอบเองเสียเลย

“ย่าพูดอะไรแปลกๆ บ้างหรือเปล่า…”

ทุกคนคงเป็นห่วงว่าย่าจะเสียสติหลังจากสูญเสียคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาหกสิบปี พูดแบบนี้อาจฟังดูไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าปู่ไม่ได้ตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตก หากแต่จู่ๆ ถูกพบเป็นศพ ฉันอาจสงสัยว่าคุณนายฮงกันนันเป็นฆาตกรด้วยซ้ำ เพราะย่าดูเข้มแข็งเกินกว่าแม่หม้ายทั่วไป ทั้งที่ปกติแล้วไม่ว่าจะแก่แค่ไหน แต่คนเป็นแม่หม้ายก็จะแผ่รังสีของแม่หม้ายออกมาอยู่ดี

“มูซุน หนูเป็นหลานกตัญญูจริงๆ”

จบการสนทนา!

ไม่รู้ว่ามีใครรู้หรือเปล่า แต่รายการโทรทัศน์กระจายเสียงสาธารณะจะจบตอนตีสอง ฉันไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เพราะสมัยที่ยังอยู่ในดินแดนแห่งอารยธรรม ช่องทั้งสามสิบหกช่องมีรายการฉายต่อเนื่องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสารคดี “การศึกษาของรัฐ เป็นแบบนี้ต่อไปจะดีหรือ” แม้เคยนึกในใจว่าจะเป็นการศึกษาของรัฐหรือเอกชน ฉันก็ยินดีดูให้หมด ขอแค่อย่าจบเลย แต่สุดท้ายมันก็จบลงจนได้ หลังจากจอสีรุ้งในช่วงปรับสัญญาณโทรทัศน์หายไป หน้าจอก็กลายเป็นภาพซ่าๆ ใบหน้าหดหู่สะท้อนอยู่ในจอโทรทัศน์ที่ดับลงแล้ว มันคือใบหน้าของฉันเอง อา! ช่อง tvN ของฉัน! ช่อง MTV ของฉัน! ช่องฮานา tv ของฉัน!

ถ้าได้พูดคุยกับคนอื่นบ้าง ความเหงาก็คงจะหายไป… แต่อย่างที่บอกว่าอยู่ที่นี่โทรศัพท์มือถือไม่ต่างอะไรกับนาฬิกา  บรรดาเพื่อนๆ ของฉันพอเห็นเบอร์บ้านแปลกๆ โทร.เข้าก็ไม่มีใครรับเลย

บรรยากาศรอบบ้านเงียบสงบ ขับให้เสียงเข็มนาฬิกาดังยิ่งกว่าเดิม เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน ตอนกลางวันว่าช้าแล้ว แต่ตอนกลางคืนเอื่อยเฉื่อยเสียยิ่งกว่าอีก ฉันเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของฮวังจินอี[12]ก็วันนี้ คืนอันยาวนานในเดือนสิบเอ็ดคงน่าเบื่อมากเสียจนฮวังจินอีอยากฉีกมันออก แต่หล่อนยังโชคดีที่ได้เอามันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในคืนที่คนรักมาหา สำหรับฉันแล้ว ไม่มีคนรักให้ร่วมแลกเปลี่ยนบทเพลงแห่งความรักด้วย แถมฉันยังไม่ใช่คนที่ยุ่งจนไม่มีเวลาเหลือให้ทำอะไรสักอย่าง ถ้าเอาเวลาไปให้คนที่ต้องการได้ก็คงดี ฉันจะได้เอามันไปบริจาคให้คนที่ชอบพูดว่าอยากให้หนึ่งวันมียี่สิบห้าชั่วโมง!

พอฉันเดินไปที่ลานหน้าบ้าน เจ้าคงก็กระดิกหางอย่างบ้าคลั่ง เจ้าคง! เจ้าหมาพันทางเอ๊ย! ต่อให้แกดีใจแค่ไหนที่เห็นฉัน แต่ฉันก็พาแกออกไปเดินเล่นไม่ได้แล้ว

พระจันทร์ส่องสว่าง ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ มีเสียงสัตว์ป่าร้องดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งบนภูเขา สัตว์ที่ร้องเสียงแบบนื้คือตัวอะไรนะ ใช่กวางน้ำ[13]หรือเปล่า หรือว่าจะเป็นจิ้งจอก ถึงฉันจะไม่มีความสามารถมากเท่าฮวังจินอี แต่บรรยากาศอย่างนี้ก็น่าจะช่วยให้คิดอะไรดีๆ ออกบ้าง ทว่า ทุกอย่างเป็นอันต้องพังหมดเพราะยุง หลังจากฉันถอยมาหลบหลังมุ้ง ก็เห็นว่าเมื่อกี้โดนกัดไปตั้งสองจุด ฉันใช้เล็บจิกลงไปบนเนื้อที่บวมจนเป็นรอยเล็บ แล้วนึกขึ้นได้ว่า จริงด้วย มีวิทยุอยู่นี่นา! ทำไมก่อนหน้านี้ถึงคิดไม่ได้นะ รายการวิทยุออกอากาศต่อเนื่องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ฉันจำได้ว่าเคยเห็นวิทยุอยู่ในห้องนอนแขก…

โธ่ หมดกัน นึกว่าเป็นวิทยุ ที่แท้มันคือเครื่องนวด แถมยังใช้งานไม่ได้แล้วด้วย เฮ้อ เป็นเรื่องแล้วสิ เวลาเป็นสิ่งที่ยิ่งเราสนใจ มันจะยิ่งเดินช้าลง การปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ทำอะไรมันยากถึงเพียงนี้เลยหรือ ทั้งที่ฉันภูมิใจมาตลอดว่าความขี้เกียจของตัวเองไม่น้อยหน้าใคร! แต่ความจริงฉันอาจจะจัดอยู่ในกลุ่มคนที่ค่อนข้างขยันก็ได้นะ สงสัยในตัวฉันจะมีสายเลือดของคุณนายฮงกันนันอยู่จริงนั่นแหละ

บนพื้นห้องนอนแขกมีโต๊ะเตี้ยวางอยู่ น่าจะเป็นโต๊ะที่ปู่เคยใช้ มีหนังสือวางอยู่บนนั้นประมาณห้าหกเล่ม ไหนดูซิ จะอ่าน ‘เกษตรก้าวหน้า’ หรือ ‘ถอดเทคนิคหมากรุก’ ดี… เอ๊ะ มีหนังสือที่ไม่เข้าพวกอยู่ด้วย หากที่นี่คือห้องสมุด มันก็คือหนังสือที่คาดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ตรงนี้ ต้องเป็นหนังสือที่บรรณารักษ์หยิบมาวางผิดชั้นอย่างแน่นอน เพราะชื่อหนังสือคือ ‘หนูทำได้’ และ ‘ซ่อนให้มิดนะ’

ดูอย่างไรก็ไม่ใช่รสนิยมของคุณปู่คังดูยงผู้ล่วงลับ ด้านในของหน้าแรกมีลายมือชื่อเจ้าของเดิมเขียนเอาไว้ ชื่อที่เขียนกดลงไปอย่างหนักคือ ‘คังมูซุน’ มันคงเป็นสมบัติที่สูญหายไปตอนฉันถูกเนรเทศรอบแรก

‘หนูทำได้’ มีตัวละครหลักคือเด็กน้อยแก้มป่องอายุราวสามขวบที่ยังใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปอยู่ เด็กคนนั้นชอบพึ่งพาตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รั้นจะทำเองเสียทุกอย่าง ทั้งใส่ถุงเท้าเอง ติดกระดุมเอง ใส่หมวกเอง… สุดท้ายถุงเท้าที่ใส่ก็เป็นคนละลาย กระดุมก็ติดผิดไปเม็ดหนึ่ง หมวกก็ใส่กลับหน้ากลับหลัง ฉันอยากจะบอกกับเจ้าเด็กที่ยิ้มร่าเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดว่า ตอนนี้ยังยิ้มได้ก็ยิ้มให้เต็มที่ การคิดบวกแบบนี้จะดูน่ารักน่าเอ็นดูแค่ในวัยที่ยังใส่ผ้าอ้อมเท่านั้นแหละ

‘ซ่อนให้มิดนะ’ เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของตัวตน โดยมีหน้าคำถามและหน้าเฉลยสลับกันไป สัตว์ที่ซ่อนอยู่ตรงผนังลายทางคือม้าลาย สัตว์ที่ซ่อนตัวอยู่ในหิมะคือกระต่าย ส่วนสัตว์ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางเถาวัลย์ในป่าดิบชื้น ใครดูก็รู้ว่าเป็นงู แต่ทว่า ในหน้าเฉลยยังมีอย่างอื่นซ่อนอยู่อีก มันคือกระดาษวาดเขียนพับครึ่ง ขอบกระดาษฝั่งที่ดึงออกมาจากสันลวดขาดรุ่งริ่ง ทีแรกฉันนึกว่ามันคือภาพวาด แต่พอกางดูก็พบว่ามันคือแผนที่ ตัวหนังสือเขียนกดหนัก ลายมือเดียวกับที่เขียนชื่อเจ้าของหนังสือบอกให้รู้ว่าสิ่งนี้คือ ‘แผนที่ล่าสมบัติ’

ภาพในแผนที่เป็นภาพแนวเหนือจริงซึ่งไม่สนใจหลักการเรื่องระยะใกล้ไกลหรือเรื่องปริมาตรเลยสักนิด ทั้งต้นไม้และภูเขาขนาดเท่ากัน แล้วยังมีบ้านสีดำสไตล์ปิกาโซ่หลังหนึ่ง ดูไม่ออกว่าเป็นการวาดหน้าตรงหรือด้านข้างกันแน่ จิตรกรคงจะวาดบ้านแล้วเกิดโมโหขึ้นมา ถึงได้ระบายสีอย่างดุเดือด แต่ก็พอดูรู้ว่าอันไหนคือบ้าน อันไหนคือต้นไม้ อย่างไรก็ตาม ยังมีวัตถุอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถตีความได้ว่ามันคืออะไร มันเป็นวัตถุสีแดงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางภาพ ดูแล้วเหมือนไม้กวาดตั้งกลับหัว หรือไม่ก็ส้อมสองอันตั้งอยู่ข้างกัน ดูจากแผนที่แล้วข้างใต้นั้นคงมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ มีรหัสลับเขียนไว้ด้วยว่า “ดาอิมแกซุล”

ดาอิมแกซุล… หมายถึงส้อมสีแดงหรือเปล่า หรือเป็นชื่อสถานที่ที่ฝังสมบัติเอาไว้

วิเคราะห์จากลายมือแล้ว นี่ต้องเป็นภาพที่คังมูซุนวัยหกขวบวาดไว้แน่ๆ แต่คังมูซุนในวัยยี่สิบเอ็ดกลับดูไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร พลิกกลับหัวบนล่างก็แล้ว พลิกไปดูข้างหลังเผื่อมีคำใบ้เขียนไว้ก็แล้ว แถมยังขยี้ดูเผื่อว่าจะมีกระดาษซ้อนกันอยู่ด้วย หากมองว่าคุณสมบัติของแผนที่ล่าสมบัติที่ดีคือการเขียนให้คนนอกตีความไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นแผนที่ฉบับนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบเสียจนขนาดคนวาดกลับมาดูเองยังไม่รู้เรื่อง

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คือแผนที่ล่าสมบัติล่ะนะ หึๆๆ มันต้องใช่แผนที่ล่าสมบัติอย่างแน่นอน

 

กึก! ปลายอีเต้อ[14]ไปสะดุดอะไรบางอย่างเข้า ฉันรีบขุดดินอย่างบ้าคลั่ง ปรากฏว่าสิ่งที่ฝังอยู่คือหีบสมบัติจริงๆ ทำไมหน้าตาของมันช่างเหมือนหีบสมบัติได้ขนาดนี้ ราวกับหีบทั้งใบกำลังพูดออกมาว่า ‘ฉันนี่แหละหีบสมบัติ’ เอาไปใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบตอนถ่ายหนังยังได้เลย แต่แม่กุญแจดันเป็นแบบดิจิทัล ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นอะไรแบบนี้บ่อยๆ  แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันเหมือนแม่กุญแจที่บ้านเปี๊ยบ อะไรจะบังเอิญขนาดนี้… รหัสก็ยังเหมือนกันอีก 1023 วันที่ยี่สิบสาม เดือนตุลาคม วันเกิดของมูซอก ฉันใจเต้นตึกตักแถมยังหุบยิ้มไม่ได้ เพราะหาสมบัติเจอแล้ว!  ทันทีที่เปิดฝาหีบออกก็ปรากฏแสงสว่างวาบจนลืมตาไม่ขึ้น…

“ตะวันจ่อขึ้นมาถึงก้นแล้วนะ”

แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านประตูที่เปิดทิ้งไว้อ้าซ่าเข้ามาอย่างไร้ความปรานี กลุกๆๆ ฉันกลิ้งเข้าไปหลบแดดในมุมห้อง ราวกับตัวเองเป็นทายาทแดรกคิวลาที่ร่างกายจะมอดไหม้เมื่อถูกแสงอาทิตย์

“เกิดมาข้าก็เพิ่งเคยเห็นคนขี้เกียจแบบเอ็งเป็นครั้งแรก ความขี้เกียจคือโรค มันเป็นโรคร้ายแรงที่สุดในบรรดาโรคทั้งหลาย มีลูกสะใภ้ขี้เหร่ยังพอทน แต่ลูกสะใภ้ขี้เกียจน่ะ ไม่มีใครทนไหวหรอก ถ้าเป็นสมัยก่อน เอ็งคงถูกผัวทิ้งนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”

“ก็ต้องได้แต่งงานก่อนล่ะ ถึงจะถูกทิ้ง…”

“อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ ทำไมเป็นแบบนี้ ตอนข้าอายุเท่าเอ็ง ต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างไปตักน้ำ แล้วก็กลับมาตำข้าว หุงข้าว… เฮ้อ สมัยก่อนรันทดจะตาย”

“ถ้ามันรันทดนัก ย่ามาขี้เกียจกับหนูตอนนี้ยังทันนะ…”

“พูดอะไรของเอ็ง ข้าไม่ได้ยิน บ่นพึมพำอยู่นั่นแหละ… ตอนคนอื่นเขานอน เอ็งก็ไม่นอน พอคนเขาตื่นก็เลยตื่นไม่ไหวแบบนี้ไงล่ะ ดึกดื่นยังเปิดไฟสว่างโร่ เปลืองค่าไฟ…! เอ้า ข้าพูดขนาดนี้แล้วยังไม่ลุกขึ้นมาอีก”

แล้วสุดท้ายก็โดนฟาดทุกที ก้นของฉันปวดแสบปวดร้อนจนต้องรีบเด้งตัวขึ้นมา พอหันไปดูก็พบว่าอาวุธของย่าคือไม้กวาด ฮึ่ม ทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธจะยิ่งมีโทษหนักนะ… ฉันน่าจะโวยวายกลับไปตั้งแต่ตอนโดนฟาดครั้งแรก คนเราไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรือหลานสาวที่ถูกทำร้าย ท่าทีในการรับมือครั้งแรกนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ

“นี่อะไร”

คุณนายฮงกันนัน นักเลงวัยชราใช้เท้าเขี่ยแผนที่ล่าสมบัติ แล้วบอกว่า

“นี่มันบ้านประจำตระกูล[15]ยูไม่ใช่เรอะ เอ็งวาดบ้านเขาทำไม”

 

 

แวบความทรงจำ 01

 

ตอนลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อเช้า เราไม่นึกด้วยซ้ำวันนี้ว่าตัวเองจะตาย

มันเป็นวันที่ไม่มีอะไรพิเศษ เราตื่นในเวลาใกล้เคียงกับเมื่อวาน กินข้าวกับอาหารที่เหลือจากเมื่อวาน พบเจอคนเดิมๆ ที่เคยเจอ ทำงานเหมือนปกติ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ต่างอะไรกับเมื่อวานหรือเมื่อวานซืน

แต่ไม่ใช่หรอก ไม่มีทางที่วันนี้จะเหมือนวันอื่น มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ต่างไปจากเมื่อวานแน่ๆ ต้องมีสัญญาณที่ทำให้เราสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องเมื่อกี้นี้ขึ้น…

อา ตอนกินข้าวเที่ยง จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาว่า ‘เราอายุเท่าไรแล้วนะ’ แต่ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวกะทันหันก็หายวับไปอย่างกะทันหันเช่นกัน หรือจะเป็นเพราะมันสังหรณ์ได้ถึงอะไรบางอย่าง

จะว่าไปเราฝันด้วย จำไม่ได้ว่าเป็นฝันของเมื่อคืนหรือคืนก่อนหน้า

ในฝันเราเดินอยู่บนคันนา มันทั้งแคบและแฉะเพราะฝนเพิ่งตก เท้าของเราจึงลื่นหลายครั้ง รองเท้าเปียกชุ่ม ถุงเท้าก็เปียก ตอนหลังเราเลยคลานสี่ขาเหมือนสัตว์ป่า แล้วก็ตื่นขึ้นมา ตอนนั้นยังคิดว่าเป็นฝันที่ไร้สาระ แต่หรือว่าฝันนั้นจะมีความหมายอะไรแฝงอยู่

ถ้าใช่ มันก็เป็นลางสังหรณ์ที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ว่ามันคือลางบอกเหตุก็หลังจากเกิดเรื่องไปแล้ว

ถึงแม้ชีวิตเราจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ก็ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะต้องตายในวันที่เริ่มต้นอย่างธรรมดา แถมยังไม่มีลางบอกเหตุให้รู้ล่วงหน้าเช่นนี้

 

 

02
ฤดูร้อน
ถ้าหยุดพัดไปเสียดื้อๆ
จะยิ่งร้อนกว่าเดิม

 

เมื่อมองลงมาจากเนินเขา บ้านประจำตระกูลยูดูเหมือนเป็นสถานที่สำหรับถ่ายละครย้อนยุค ลักษณะเป็นบ้านของขุนนางที่มักมีชายคนรับใช้ชื่อมาดังซเวคอยกวาดพื้น และสาวใช้ชื่อซัมวอลคอยถูพื้น ไม่รู้ว่าขนาดใหญ่ถึงเก้าสิบเก้าช่อง[16]หรือเปล่า แต่ในรั้วบ้านยังมีบ้านหลังย่อมๆ และในบ้านหลังย่อมๆ ก็ยังมีบ้านหลังเล็กอยู่ข้างในอีก สงสัยทั้งนายหญิง นายท่าน และคุณหนูของบ้านนี้จะแยกกันอยู่บ้านใครบ้านมันล่ะมั้ง

จากคำบอกเล่าของคุณนายฮงกันนัน หน่วยข่าวประจำหมู่บ้านทูวังนีแล้ว

“สมัยข้าเพิ่งแต่งงานย้ายเข้ามาที่นี่ ไร่นาแถวนี้เป็นของบ้านตระกูลยูจากคยองซัน[17]ทั้งนั้น”

ถ้าเป็นสมัยที่คุณนายฮงกันนันเพิ่งแต่งงาน งั้นก็ตั้งแต่อดีตกาลแล้วน่ะสิ

“ไม่ได้มีแค่ไร่นานะ ภูเขาแถวนี้ก็เป็นของผู้สืบทอดตระกูลยูทั้งนั้น คิดจะเดินผ่านซันแนโดยไม่เหยียบที่ของบ้านนั้นน่ะ เป็นไปไม่ได้เลย ที่ดินในตำบลชุกตง ซงอินก็เป็นของเขาเกือบครึ่ง”

ฉันไม่รู้ว่าตำบลซันแนใหญ่แค่ไหน ไม่รู้ว่าตำบลชุกตงหรือซงอินอยู่ฝั่งไหนด้วย แต่เอาเป็นว่าพวกเขาเป็นตระกูลที่รวยไม่ลืมหูลืมตา ถึงแม้จะมีการปฏิรูปที่ดิน ทำให้คนทำมาหากินได้ลำบากขึ้น แต่ว่ากันว่าครอบครัวเศรษฐี ต่อให้ล้มละลายก็ยังใช้ชีวิตต่อไปได้อีกสามปี

“คนที่มีหน้ามีตาตอนนี้ก็เป็นคนของตระกูลยูทั้งนั้น ทั้งผู้ใหญ่บ้านยูกอนซึง ประธานสหภาพยูจองมุน นายอำเภอคนก่อนก็ชื่อยูอะไรสักอย่าง ผู้กำกับโรงพักก็เป็นคนตระกูลยู… ครึ่งหนึ่งของคนทูวังนีก็น่าจะเป็นคนตระกูลยูไปแล้ว”

บุคคลผู้เป็นหัวใจสำคัญของตระกูลยูแห่งคยองซันอันยิ่งใหญ่นี้ คือหลานชายคนโต[18] และสถานที่ที่เขาพักอาศัยอยู่คือบ้านประจำตระกูลยูซึ่งหน้าตาเหมือนกองถ่ายละครย้อนยุคตรงเนินเขาด้านล่างโน้น… แต่กว่าฉันจะเดินขึ้นสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นเนินเขาหรือภูเขาท่ามกลางความร้อนช่วงซัมบก[19]มาถึงตรงนี้ได้ก็เล่นเอาเกือบตาย ขาสั่นพั่บๆ คอก็แห้ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า ‘มังกรเพี้ยน’ นั่นคนเดียว เพราะเดิมทีแล้วเส้นทางล่าสมบัติไม่ใช่ทางนี้

“ทางไปบ้านตระกูลยูงั้นหรือ เอ็งจำไม่ได้แล้วหรือไง ตอนเด็กๆ ไปเล่นแถวนั้นบ่อยจะตาย”

ย่าบอกว่าตอนฉันหกขวบ เวลาปู่ไปเล่นหมากรุกที่บ้านประจำตระกูลยูทีไรฉันชอบติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด เรื่องตั้งสิบห้าปีมาแล้ว ใครจะไปจำได้ คุณนายฮงกันนันนี่ก็นะ

“เดินตามถนนใหญ่ตรงสามแยกไป ทางที่รถเมล์วิ่งน่ะ ไม่ ไม่ใช่ฝั่งที่จะไปโรงเรียน ให้ไปฝั่งที่มีสะพาน แล้วข้ามสะพาน… ต้องเดินต่อไปอีกเท่าไรน่ะหรือ ก็เอาเป็นว่าเดินไปจนเริ่มรู้สึกหิวข้าว แล้วจะมีบ้านอยู่ซ้ายมือ เป็นบ้านหลังคาสีแดง”

“หา บ้านประจำตระกูลยูหลังคาสีแดงหรือ ดูไม่มีราคาเลย”

“ใครบอกเอ็งว่านั่นบ้านประจำตระกูลยู ไม่ใช่หลังนั้น แต่อันที่จริงบ้านนั้นก็เป็นคนตระกูลยูแหละนะ… เอาเป็นว่าให้เดินอ้อมบ้านหลังนั้น แล้วตรงขึ้นไปจะเจอบ้านประจำตระกูลยู หาง่าย เพราะแถวนั้นมีบ้านอยู่แค่หลังเดียว”

ย่าบอกว่าที่นั่นอยู่ห่างจากบ้านเราไปประมาณสามสิบนาที

วันต่อมา พอกินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย คุณนายฮงกันนันก็ออกไปถอนวัชพืชที่ไร่ถั่ว ส่วนฉันก็ออกไปตามล่าหาสมบัติ… ทว่า แสงแดดที่ส่องตรงลงมายังหมู่บ้านที่สะอาด ไร้มลพิษอย่างทูวังนีนั้น แค่หันไปมองก็ทำให้เวียนหัวแล้ว หมวกอย่างเดียวไม่สามารถปกป้องผิวบอบบางของสาวน้อยจากกรุงโซลได้ ฉันจึงต้องกางร่มสีดำเพื่อปกป้องผิวของตัวเองด้วย ไม่รู้จะมีคนเอาไปนินทาอีกหรือเปล่าว่ามีผู้หญิงบ้ากางร่มเดินไปเดินมาทั้งที่ฝนไม่ตก แต่นั่นก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือผิวฉันต่างหาก

หมู่บ้านทูวังนียังประกอบไปด้วยหมู่บ้านเล็กๆ สามหมู่บ้านด้วยกัน ตรงที่คุณนายฮงกันนันอยู่เรียกว่าหมู่บ้านเก้ามุม เพราะภูเขาลูกนี้มีมุมทั้งหมดเก้าแห่ง ถ้าเริ่มนับจากสามแยก บ้านของคุณนายฮงกันนันอยู่หัวมุมที่สาม ส่วนหัวมุมแรกมีโบสถ์ตั้งอยู่ เป็นโบสถ์หลังคาเขียวทรงแหลมชื่อ ‘โบสถ์เจตนารมณ์ประเสริฐ’

แม้ฉันจะไม่ค่อยมีความทรงจำสมัยที่ถูกเนรเทศมาครั้งแรก แต่ยังพอจำเรื่องราวเกี่ยวกับโบสถ์ได้รางๆ หลังจากคังมูซุนในวัยหกขวบกินข้าวเช้าเสร็จก็จะวิ่งไปตามถนนในหมู่บ้านเก้ามุม ผ่านถนนที่อยู่ระหว่างต้นส้มไปยังโบสถ์ ไม่ใช่เพราะฉันฝักใฝ่ศาสนา แต่เพราะที่นั่นมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งก็คือลูกสาวอาจารย์ที่อายุมากกว่าฉันสองปี เธอชื่ออะไรแล้วนะ จำได้ว่าเป็นชื่อแนวคริสเตียน… พอไปถึงฉันจะร้องเรียกเธอว่า “พี่จ๋า มาเล่นด้วยกันเถอะ” จากนั้นเราก็จะไปกระโดดยางกันที่ลานหน้าโบสถ์ เล่นเกมดอกชบาบานแล้ว[20] บางทีก็เล่นตั้งเตด้วย… ต่อให้พวกเราทำลานหน้าโบสถ์เละเทะ ภรรยาอาจารย์ก็ไม่เคยดุ เธอจะพูดว่า “หนูมูซุนกลายเป็นลูกหมามอมแมมไปซะแล้ว” แล้วก็เช็ดดินออกจากหน้ากับมือที่มอมแมมของฉันจนเสียงดัง ปึ้ด ปึ้ด ก่อนจะยื่นของว่างให้ แพนเค้กที่ภรรยาอาจารย์เคยทำให้กินอร่อยมาก…

เอ๊ะ นึกว่าลืมไปหมดแล้ว นี่ฉันก็ยังพอจำได้อยู่บ้างนี่นา ฉันคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองไปท่องความทรงจำในอดีตดูสักหน่อยดีไหมนะ แต่ว่ากันว่าพวกอาจารย์สอนศาสนามักจะย้ายไปตามที่ต่างๆ ถ้าอย่างนั้นภรรยาอาจารย์ที่เคยทำแพนเค้กให้กินกับพี่สาวคนนั้นที่ชื่อเป็นแนวคริสเตียนก็คงจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ทางเดินที่ทอดนำไปยังโบสถ์ยังคงมีต้นส้มเหมือนสิบห้าปีก่อน

พอเดินผ่านโบสถ์ไป ถนนจากหมู่บ้านเก้ามุมจะมาบรรจบกับถนนใหญ่ที่มีรถเมล์วิ่งผ่านทำให้เกิดเป็นสามแยก ถึงจะเรียกว่าถนนใหญ่ แต่ก็เป็นแค่ถนนสองเลนวิ่งสวนกันเท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับทางบนคันนาหรือทางในไร่ก็นับว่าเป็นถนนใหญ่ล่ะนะ อย่างที่เคยบอกไปว่าบริเวณสามแยกเป็นจุดที่คึกคักที่สุด และยังเป็นใจกลางของทูวังนีด้วย

ฉันเดินตามถนนใหญ่ที่มีรถเมล์วิ่งไปทางสะพานตามคำบอกของคุณนายฮงกันนัน มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งหันหลังขดอยู่ใต้ต้นวอลนัต พอมาย้อนคิดดูตอนนี้ ฉันรู้สึกได้ว่าเขาไม่ธรรมดาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เพราะขนาดก้นโผล่ออกมานอกกางเกงตั้งครึ่งหนึ่งแล้วยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร… แม้จะพูดไม่ถูกว่าเขาแปลกตรงไหน แต่ออร่าเฉพาะตัวที่แผ่ออกมาบอกฉันว่าอย่างนั้น

เขาสวมเสื้อยืดลายทางซึ่งมีเส้นสีขาวพาดอยู่บนพื้นสีฟ้าและสวมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ถ้าเป็นนักเรียนประถมก็คงพูดได้ว่าแต่งตัวสดใส ทรงผมของเขาก็เช่นกัน ถ้าเป็นเด็กประถม แล้วหัวเกรียนก็คงให้ความรู้สึกว่า “เด็กคนนี้ต้องแสบแน่ๆ” แต่ปัญหาอยู่ที่รูปร่างของชายที่นั่งขดอยู่ต่างหาก ไม่ว่าจะมองมุมไหน ชายร่างอุ้ยอ้ายคนนั้นก็ดูเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว แถมเสื้อที่ใส่ก็ยังดูรัดจนอึดอัดอีก แม้การใส่เสื้อที่เล็กกว่ารูปร่างหนึ่งไซซ์กำลังมาแรงในช่วงนี้ แต่ฉันสาบานได้เลยว่าเสื้อของเขาไม่ได้เล็กกว่าตัวแค่ไซซ์เดียวแน่ ดูแล้วน่าจะสามสี่ไซซ์ได้ มันรัดแน่นจนพลอยทำให้คนที่เห็นอย่างฉันอึดอัดไปด้วย และพอได้เห็นสิ่งที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเขา ซึ่งก็คือกระเป๋านำโชค[21]หลากสีที่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลก็มีลางสังหรณ์ทันทีว่า ผู้ชายคนนี้! ไม่ธรรมดาแน่นอน

หรือเขาจะรู้สึกได้ถึงสายตาเด็ดเดี่ยวของฉัน ผู้ชายคนนั้นหันมามองทั้งที่ยังนั่งอยู่ พอได้เห็นหน้าเขา อคติของฉันที่มีก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความแน่ใจขึ้นมาทันที ไม่รู้เพราะอะไร เขาถึงมองฉันไม่ละสายตา หรือพอเห็นฉันกางร่มสีดำในวันที่อากาศสดใสแล้วจะคิดว่าเราเป็นคนประเภทเดียวกัน

บริเวณสามแยกในขณะนั้นปลอดผู้คน มีเพียงชายหญิงที่ดูไม่ธรรมดากำลังสบตากัน หญิงชราหุ่นอวบอึ๋ม เจ้าของพูฮึงซูเปอร์เปิดประตูร้านทิ้งไว้ แต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนถึงไม่เห็นเลย ฉันตัดสินใจหลบสายตาก่อน หรือถ้าให้พูดก็คือเป็นฝ่ายแพ้ในการประลองพลังแล้ว จากนั้นฉันเดินย่องพาตัวเองออกห่างจากชายคนนั้นให้ได้มากที่สุด หน้าของฉันเริ่มแดง ริมฝีปากแห้งผาก หัวใจเต้นโครมคราม… บ้าเอ๊ย ถ้าใครมาเห็นเข้าคงนึกว่าฉันกำลังตกหลุมรักเขาอยู่แน่

ในตอนนั้นเอง ชายคนนั้นก็พูดกับฉันด้วยวิธีการพูดที่โดดเด่นไม่แพ้การแต่งตัว!

“นี่ มาเล่นหมากเก็บกัน!”

เฮอะ! นึกว่านั่งขดทำอะไร ที่แท้ก็เล่นหมากเก็บอยู่ ฉันนึกว่าคนที่เอาแต่เล่นกับกินทั้งวันจะมีแค่ฉันคนเดียวเสียอีก อันที่จริงดูจากเวลาตื่นนอนของฉันก็น่าจะรู้แล้วว่าฉันสนับสนุนให้เคารพรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน ชีวิตของเราก็ใช้ไปตามที่เราต้องการ ถ้ามีใครบอกว่า ‘งานอดิเรกของฉันคือการเต้นแท็ปแดนซ์บนใบมีด’ ฉันก็คงตอบแค่ ‘อ๋อ หรือคะ งั้นก็ตั้งใจเต้นต่อไปนะ’… แต่ชายที่ดูแล้วอายุเกินสามสิบไปไกลกับหมากเก็บน่ะหรือ ใช่แล้ว เขาคือคนสติไม่ดีที่มักจะมีให้เห็นอยู่ในทุกหมู่บ้านนั่นแหละ

“มาเล่นหมากเก็บกับฉันนะ”

ชายคนนั้นยื่นข้อเสนออีกครั้ง ฉันรวบรวมพลังแล้วส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นพาร่างอุ้ยอ้ายของตัวเองเดินเข้ามาใกล้

“นะะะ อย่าทำแบบนั้นเลย มาเล่นหมากเก็บด้วยกันเถอะ”

นี่เขาคิดว่าฉันปฏิเสธเพื่อเล่นตัวงั้นหรือ ยิ่งชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ฉันก็ยิ่งก้าวถอยหลัง ภาพตอนนี้เป็นภาพชายหญิงสองคนกำลังสบตากัน ผู้ชายเดินเข้ามาใกล้ ส่วนผู้หญิงก็เดินถอยหลังไป! ถ้าใครมาเห็นคงไม่พ้นจะเข้าใจผิดว่าเป็นการผลักไสและดึงกลับของความรัก[22]แน่ พอชายคนนั้นยื่นมือเข้ามาหาฉัน แล้วส่งเสียงแปลกๆ ออกมาว่า “ฮื่อ” ฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าต้องหนี สาบานเลยว่าครั้งนั้นเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดในชีวิต ฉันสับขาอย่างเอาเป็นเอาตายยิ่งกว่าตอนวิ่งร้อยเมตรในสนามสมัยมอปลายเสียอีก ว่าแล้วก็นึกถึงเจ้าทากเมื่อวานขึ้นมา ทากที่วิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตายจนหืดขึ้นคอ!

“ไปเจออิลยองเข้านี่เอง”

คุณนายฮงกันนันบอกข้อมูลของชายที่เล่นหมากเก็บให้รู้ตอนกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน

“อิลยองน่ากลัวตรงไหน ก็แค่คนสติไม่ดี”

คนสติไม่ดีนี่แหละน่ากลัวที่สุด ทำไมน่ะหรือ เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องไงล่ะ

จากคำบอกเล่าของคุณนายฮงกันนัน ฮวังอิลยอง คนสติไม่ดีอย่างเป็นทางการแห่งหมู่บ้านทูวังนีมักจะประจำการอยู่ที่สามแยกเป็นหลัก เขามักจะจมดิ่งอยู่กับการเล่นหมากเก็บตลอดเวลา ทำยังไงดีล่ะ แบบนี้การล่าสมบัติก็เป็นหมันกันพอดีน่ะสิ หากบอกว่าขนแกะทองคำมีมังกรพ่นไฟคอยปกป้องดูแล สมบัติของทูวังนีก็คงมีเจ้ามังกรเพี้ยนตัวนี้คอยเฝ้ารักษาอยู่เช่นกัน

พอฉันชวนคุณนายฮงกันนันไปด้วย และบอกว่าถ้าหาสมบัติเจอจะแบ่งให้ครึ่งหนึ่ง ย่าก็พูดว่า

“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว เอ็งไปถอนหญ้าในไร่ถั่วกับข้าเถอะ”

หลังจากเราทั้งคู่สลับกันพูดเรื่องไร้สาระคนละที คุณนายฮงกันนันก็เสนอแผน B ให้

“นอกจากทางสามแยกแล้ว มีอีกทางหนึ่งที่ข้ามเนินมัลอูจีไป”

“เนินมัลอูจีคือที่ไหนอีกล่ะ”

“ถ้าเอ็งเดินเลี้ยวออกจากบ้านไปอีกทางหนึ่ง ไม่ใช่ทางไปสามแยก ทางตรงข้ามน่ะ จะมีเนินมัลอูจี แล้วถ้าเดินข้ามเนินไปได้ก็จะเจอบ้านประจำตระกูลยู… แต่ทางนั้นใช้เวลานานหน่อย”

ต่อให้ต้องเดินทางสองวันหนึ่งคืนก็ยอม เพราะความปลอดภัยของฉันมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าถูกเจ้ามังกรเพี้ยนจับตัวได้ ฉันต้องกลายเป็นทาสที่เขาเอาไว้เล่นหมากเก็บด้วยแน่ๆ

และนี่ก็เป็นเรื่องราวทั้งหมดของการเดินขึ้นเนินเขาท่ามกลางฤดูร้อนเช่นนี้ ได้ชื่อว่าเป็นการตามล่าหาสมบัติ ก็ต้องขึ้นเขาสักลูกให้พอเป็นพิธีหน่อย

อ้อ เมื่อกี้ตอนเดินมาฉันเห็นงูด้วย เป็นงูสีน้ำเงินลายแดง… หรืองูแดงแต่ลายน้ำเงินนะ เอาเป็นว่างูที่ดูเหมือนจะมีพิษเพิ่งเลื้อยตัดหน้าฉันไปเมื่อกี้นี้ ถามว่าตกใจไหมน่ะหรือ ถ้าเทียบกับตอนเจอเจ้ามังกรเพี้ยนแล้วก็ไม่เท่าไร

อินเดียน่า โจนส์ก็เจองูก่อนที่จะเจอจอกศักดิ์สิทธิ์[23]ใช่ไหม น่าจะใช่นะ ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบที่ในหนังมีงูโผล่มาเยอะไปหน่อย แต่การเจองูก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ ฉันกะว่าถ้าได้กลับไปดินแดนแห่งอารยธรรมเมื่อไร จะเขียนบล็อกหัวข้อ ‘ล่าสมบัติ’ อา คิดถึงจัง บล็อก ‘ขี้เกียจแล้วขี้เกียจอีก!’ ของฉัน เจ้าของบล็อกไม่อยู่ ป่านนี้คงร้างผู้คน

ถึงกระนั้นมันก็คงไม่ร้างเท่าหมู่บ้านเก้ามุมหรอก แม้ถนนของหมู่บ้านเก้ามุมจะใหญ่เป็นอันดับสองในทูวังนี แต่หญ้ากลับขึ้นรกไปหมด ตอนนั่งรถพ่อมาที่นี่ คุณหนูในระบบนำทางคอยบอกทางให้อย่างแม่นยำเรื่อยมาจนมาถึงสามแยก พอเราเข้าสู่ถนนของหมู่บ้านเก้ามุมปุ๊บ เธอก็ร้องว่า ‘คุณออกนอกเส้นทาง’ แล้วยังกะพริบไฟเขียวไฟแดงอีก ในเมื่อเป็นแบบนี้จะไปคาดหวังอะไรกับที่นี่มากล่ะ แม่ฉันมักจะเป็นห่วงว่าถ้าฝั่งตรงข้ามมีรถสวนมาจะหลบอย่างไร แต่จากที่เคยสัมผัส ความเป็นไปได้ที่รถสองคันจะวิ่งสวนกันบนถนนของหมู่บ้านเก้ามุมนั้น… อืม ฉันอยากหาคำที่เหมาะสมมาอธิบายนะ แต่คิดไม่ออก เอาเป็นว่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก เดิมทีถนนของหมู่บ้านเก้ามุมเป็นถนนที่กว้างพอสมควร แต่พอมีถนนสำหรับรถเมล์เพิ่มขึ้นตรงสามแยก มันก็กลายมาเป็นเส้นทางลับที่มีแต่คนในพื้นที่เท่านั้นที่รู้จัก คุณนายฮงกันนันเล่าเรื่องนี้ให้ฟังราวกับเป็นเรื่องเมื่อวานซืน ฉันจึงนึกว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้ แต่ที่ไหนได้ มันเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยขบวนการแซมาอึล[24]แล้ว

เอาเถอะ ถ้าถึงขั้นมีใยแมงมุมพาดอยู่กลางถนน ก็ถือว่ามันได้พูดแทนทุกอย่างแล้ว ฉันถ่ายรูปแมงมุมเอาไว้ ในที่สุดสมาร์ตโฟนก็ได้แสดงความสามารถมากกว่านาฬิกาเสียที ฉันกดหมวกสานให้กระชับเหมือนหมวกคาวบอยของอินเดียน่า โจนส์! ครั้งนี้ฉันทิ้งร่มสีดำไว้ที่บ้าน เพราะมันน่าจะเป็นตัวการให้มังกรเพี้ยนตรงสามแยกคิดว่าฉันเป็นคนประเภทเดียวกับเขา

ได้เห็นทั้งแมงมุม ทั้งงู ชักจะเหมือนการตามล่าหาสมบัติเข้าไปทุกทีแล้ว แต่ฉันต้องเดินวนไปวนมาอยู่พักหนึ่ง เพราะหาทางขึ้นเนินไม่เจอ จากที่คุณนายฮงกันนันบอกมา ในบรรดาเก้ามุมของภูเขา ณ มุมที่เจ็ดจะมีทางเดินขึ้น แต่ขนาดของมุมนั้นช่างคลุมเครือ ตรงเนินเตี้ยๆ ที่เดินผ่านเมื่อกี้จะนับว่าเป็นมุมได้หรือเปล่านะ ฉันลังเลว่าจะเดินกลับไปดีไหม แต่แล้วก็มองเห็นส่วนหน้าของรถยนต์คันหนึ่งเสียก่อน ท้ายรถถูกต้นไม้บังเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า…

ฉันเดาถูก รถคนนั้นจอดขวางทางขึ้นเนินพอดี ส่วนเนินเตี้ยๆ ที่ทำฉันสับสนเมื่อกี้ก็เป็นแค่เนินธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่มุมหนึ่งในบรรดามุมทั้งเก้า พระเจ้าได้ทำงานแล้ว พระองค์ส่งรถหนึ่งคันให้มาโผล่บนถนนที่ร้างผู้คนจนแมงมุมมาชักใย เพื่อนำฉันไปยังทางขึ้นเขา ดูจากเหตุผลเหล่านี้ เห็นทีนี่จะเป็นโชคชะตาให้ฉันได้เจอกับสมบัติจริงๆ

ฉันสำรวจสภาพหน้าตา โดยมีหน้าต่างรถที่เคลือบฟิล์มกันแดดสีดำสนิทเป็นกระจก ก่อนจะถ่ายเซลฟี่เก็บไว้หนึ่งรูป หัวข้อของโพสต์นี้ในบล็อกน่าจะตั้งชื่อประมาณว่า ‘มุมที่เจ็ดนำทางไปสู่สมบัติ’

สองฝั่งของปากทางขึ้นเนินเป็นไร่ถั่ว ไม่ใช่แค่ที่นี่เท่านั้น ไร่ในทูวังนีเกือบทั้งหมดเป็นไร่ถั่ว คำว่า “ทู” ในทูวังนีก็มาจากคำว่าถั่วเช่นกัน

ฉันนึกถึงเพลงที่พ่อชื่นชอบขึ้นมา “สาวน้อยที่ถอนหญ้าในไร่ถั่ว เสื้อเพจ็อกซัม[25]ของเธอเปียกชุ่มหมดแล้ว”

อ้อ ลืมเล่าเรื่องนั้นไปสินะ ตอนที่มีคนโทรมาบอกว่าปู่หกล้ม คุณคังนัมซู ลูกชายคนที่สองของผู้วายชนม์กำลังอยู่ในร้านคาราโอเกะ  เพราะเป็นวันที่มีงานเลี้ยงรวมของแผนกวัสดุพอดี

“ทำไมต้องไปกินเลี้ยงเอาวันนี้ด้วย…”

แม่ต่อว่าพ่อที่กลับมาถึงบ้านพร้อมกลิ่นกระเทียมและกลิ่นหมูสามชั้นติดตัวหึ่ง แต่ดูแล้วเป็นการระบายออกมาด้วยความเหนื่อยใจมากกว่าต่อว่า พ่อของฉันก็ไม่ไหวเอาซะเลย ต่อไปนี้พอคิดถึงวันที่ปู่เสียทีไร เขาก็คงจะนึกถึงเพลงที่ร้องวันนั้น ถ้าเป็นเพลงเกี่ยวกับ ‘เสื้อเพจ็อกซัมของหญิงสาวที่ถอนวัชพืชในไร่ถั่ว’ ก็นับว่ายังโชคดีอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเพลง ‘ฉันเหนื่อยล้าเต็มทนแล้ว เจ้าแตนเอ๋ย’ หรือ ‘ความรักที่ผมมีให้คุณมันไร้เงื่อนไข ไม่มีเงื่อนไขใดๆ’ ที่แม้จะเป็นเพลงลูกทุ่งเหมือนกันก็คงแย่… ต่อให้ที่ผ่านมาเป็นลูกกตัญญูแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญในชีวิตของคนเราคือจังหวะที่เหมาะสมต่างหาก

ฉันขึ้นไปยืนมองบนเนินพลางรอให้เหงื่อแห้ง และพบว่าบ้านประจำของตระกูลยูไม่มีคนอยู่ ไม่มีทั้งมาดังซเว และซัมวอล

บ้านประจำตระกูลยูแห่งคยองซันสร้างขึ้นครั้งแรกในปลายศตวรรษที่ 17 และถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในปีค.ศ. 1910 การจัดวางอาคารมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนตัวอักษร มีอึม (ㅁ) ในภาษาเกาหลี ถือเป็นแบบอย่างของบ้านขุนนางที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมขุนนางในพื้นที่เขตคีโฮ[26]ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะธรณีประตูแต่ละอันมีบทบาทและความสวยงามโดดเด่นแตกต่างกัน ฉันอ่านจากป้ายที่อธิบดีองค์การมรดกทางวัฒนธรรมเอามาตั้งไว้หน้าบ้าน เพราะงั้นข้อมูลถูกต้องแน่นอน เป็นถึงบ้านที่มีป้ายของอธิบดีองค์การมรดกทางวัฒนธรรมตั้งอยู่ข้างหน้าเลยสินะ… งั้นก็ถ่ายไว้สักรูป

สิ่งที่สำคัญที่สุดในคำกล่าวของอธิบดีคือตรงที่บอกว่า ‘ปกติแล้ว มีธรรมเนียมไม่สร้างบ้านบริเวณรอบบ้านประจำตระกูล ที่อยู่อาศัยประเภทนี้จึงมีอีกชื่อเรียกว่า ’บ้านเดี่ยว’ ฮาเลลูยา! แบบนี้เท่ากับทุกอย่างลงล็อกเป๊ะๆ เพราะถ้ามีคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมาหรือหยุดดูตอนฉันกำลังขุดหาสมบัติคงลำบากแย่

ฉันหยิบแผนที่ล่าสมบัติออกมาเปรียบเทียบ สถานที่ที่มีส้อมสองด้ามปักเอาไว้ ดูแล้วลึกลับไม่เบา คือประตูฮงซัล ถ่ายรูปตรงนี้ไว้อีกหนึ่งช็อต จะว่าไปสายตาของคุณนายฮงกันนันก็แหลมคมใช้ได้เหมือนกัน ขนาดภาพมีการแยกชิ้นส่วนและการจัดวางใหม่อย่างสะเปะสะปะแล้ว ยังดูออกอีกว่าเป็นบ้านประจำของตระกูลยู ว่ากันว่าพอคนเราแก่ตัวก็จะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง หรือว่าเพราะสายตาอยู่ในระดับเดียวกับฉันในตอนนั้นนะ

เอาล่ะ มาลองคิดกันหน่อย คังมูซุนในวัยหกขวบเดินตามปู่มาเล่นที่บ้านประจำตระกูลยู ปู่กับเพื่อนเล่นหมากรุก เจ้าเด็กน้อยวัยหกขวบต้องเบื่อมากจนพูดไม่ออกแน่ ขอข้ามไปเรื่องอื่นนิดหนึ่ง ปู่ของฉันเป็นเพื่อนเล่นหมากรุกของปู่บ้านนี้งั้นหรือ จะว่าไปก็รู้สึกภูมิใจเหมือนกันแฮะ

กลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง คังมูซุนในวัยหกขวบเป็นเด็กมือบอน เธอคงจะแอบหยิบเอาของอย่างเครื่องปั้นดินเผาสมัยโครยอ[27] เครื่องเคลือบสมัยโชซ็อน[28] แหวนทอง ปิ่นปักผมหยกมาฝังไว้ใต้ดิน แล้วตั้งชื่อมันว่าดาอิมแกซุลแหง ฮุๆๆ

ตกใจหมดเลย อยู่ดีๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์โผล่มาบนเนินเขา แม้ก่อนหน้านี้ฉันจะนึกโมโหว่า ‘นี่มันใช่เนินเขาซะที่ไหน ต้องเรียกว่าเป็นภูเขามัลอูจีมากกว่ามั้ง’ แต่ดูจากที่มีคนขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาได้ แสดงว่ามันคงจะเป็นเนินเขาจริงๆ ปัญหาอยู่ที่สมรรถภาพร่างกายอันต่ำเตี้ยของคังมูซุนนั่นเอง มอเตอร์ไซค์ของบุรุษไปรษณีย์วิ่งเนิบๆ มาตามทางที่ฉันเพิ่งจะข้ามมาอย่างยากลำบากจนมีเสียงเหมือนขลุ่ยดังออกมาจากในลำคอตอนหายใจ เขาถือสมาร์ตโฟนแล้วทำท่าเลียนแบบนักท่องเที่ยวราวกับจงใจให้ฉันเห็น

“หลานสาวบ้านตระกูลคังนี่เอง”

บุรุษไปรษณีย์ไม้ขีดไฟความจำเป็นเลิศ ขนาดเจอกันแค่ครั้งเดียวก็จำฉันได้แล้ว แต่ทูวังนีมีแต่คนหน้าเดิมๆ ไม่ค่อยมีคนหน้าใหม่โผล่มาให้เห็นสักเท่าไรนี่นะ พอคนหน้าใหม่เป็นสาวน้อยจากกรุงโซลก็คงยิ่งจำง่ายขึ้นไปอีก…

ฉันเดินไปถ่ายรูปตรงนั้นที ตรงนี้ที ระหว่างรอให้มารผจญจากไป บุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายหย่อนใส่กล่องจดหมายที่แขวนอยู่บนเสาของประตูบ้านตระกูลยู

“ศาลาเซ่นไหว้บนเนินก็น่าเดินไปดูนะ”

เขาชี้ไปที่เนินเขาหลังบ้านประจำตระกูลยูแล้วบอกจุดท่องเที่ยวให้ฉัน ก่อนจะเดินหายลับประตูฮงซัลไป มีสถานที่แบบนั้นอยู่ด้วยหรือ ทำไมตอนขามาเมื่อกี้ฉันไม่เห็น แต่ช่างมันเถอะ ฮิๆๆ เพราะตอนนี้ฉันจะได้สมบัติมาครอบครองแล้ว!

ดูจากแผนที่ มีสมบัติจำนวนมหาศาลฝังอยู่ใต้เสาฝั่งขวาของประตูฮงซัล ฉันขุดเป็นวงกว้างรอบเสา แต่ดินแข็งมากจนขุดลงไปได้ยาก รู้อย่างนี้เอาอีเต้อมาด้วยเสียก็ดี ฉันคงประเมินคังมูซุนในวัยหกขวบต่ำเกินไป มูซุนเอ๋ย ยัยเด็กน้อยหกขวบ ยัยคังมูซุน! ทำไมถึงฝังไว้ลึกขนาดนี้ ควรจะคิดเผื่อตอนมาขุดด้วยสิ

เดี๋ยวนะ เด็กหกขวบไม่มีทางฝังได้ลึกขนาดนี้แน่ หรือว่าจะมีใครชิงขุดไปก่อนแล้ว หรือที่จริงมันฝังอยู่ด้านซ้าย ไม่ใช่ด้านขวา คังมูซุนในวัยหกขวบจะมีสติปัญญาระดับไหน จะแยกขวาซ้ายได้หรือเปล่า หรือต่อให้แยกได้ เธอจะรู้หรือเปล่าว่าหากมองจากคนละจุด มันก็กลายเป็นฝั่งตรงข้ามได้ พอเริ่มสงสัยขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ก็มีเรื่องให้คิดผุดตามมาอีกเป็นสิบ… แล้วในตอนนั้นเอง

กึก! ปลายพลั่วไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง ความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านพลั่วมานั้นชวนให้รู้สึกขนลุกชันเหมือนเวลามีเสียงขูดกระดานดำ มันไม่ใช่หิน แก๊งๆๆ! เสียงเหมือนตอนเคาะหีบด้วยโลหะ ฮึก พอมองย้อนกลับไปแล้ว ครึ่งวันที่ผ่านมาช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก การฝ่าฟันเอาตัวรอดจากเจ้ามังกรเพี้ยน งู ใยแมงมุม แล้วปีนข้ามเนินสูงราวกับหิมาลัยมาถึงที่นี่มันคุ้มค่าจริงๆ! ฉันโยนพลั่วทิ้ง ก่อนจะใช้มือขุดต่อในขั้นสุดท้าย เนื่องจากกลัวหีบสมบัติจะเสียหาย

หีบสมบัติมันช่าง… อืม… มันคือกล่องยา สาเหตุที่ฉันไม่สามารถจะดันทุรังต่อไปได้ก็เพราะบนฝามีตัวอักษรภาษาเกาหลีตัวเบ้อเร่อเขียนไว้ว่า “อะโรนามิน โกลด์[29]” ดูจากขนาดแล้วไม่มีทางที่จะใส่เครื่องปั้นดินเผาสมัยโครยอลงไปได้เลย ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นแหวนทองหรือไม่ก็ปิ่นปักผมหยก

ฉันอยากเปิดกล่องออกดูเสียเดี๋ยวนั้น แต่มีใครเดินขึ้นมาจากด้านล่างเสียก่อน ฉันจึงรีบดึงกล่องออกมา แล้วกลบดินไว้ตามเดิม จากนั้นก็ถอยกลับไปยังเนินมัลอูจี พอเดินลงมาถึงกลางเนินแล้วมองลงไปข้างล่างก็เห็นว่ามารผจญเมื่อกี้กำลังเดินเข้าไปในบ้านตระกูลยูพอดี

ตอนขามาฉันไม่ทันสังเกตเห็น แต่บนจุดสูงสุดของเนินเขามีป้ายติดเอาไว้ว่าถ้าเดินผ่านสวนสนทางซ้ายไปจะเจอศาลาเซ่นไหว้ ศาลานี้มีไว้ใช้ทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ส่วนที่บ้านฉัน เราแค่เอาฉากไม้มากั้น แล้วก็ทำพิธีในห้องนอนที่อยู่ด้านในเลย

“บ้านนั้นกับบ้านเราก็เป็นขุนนางเหมือนกันนั่นแหละ”

แม้คุณนายฮงกันนันจะโวยวายเสียงดังว่าอย่างนี้ แต่ฉันคิดว่าไม่เหมือนกันเสียทีเดียว

ฉันเดินลงมาจากเนินมัลอูจี ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ทันได้สังเกตตอนเดินขึ้นไป พอสิ้นสุดทางเดินลงของเนิน และเริ่มเข้าสู่ทางราบของไร่ถั่ว ฉันก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ที่พื้น ดูแล้วไม่ใช่คนที่ออกมาถอนวัชพืชในไร่ถั่วอย่างแน่นอน มีกลิ่นอายของอารยธรรมลอยฟุ้งออกมาทางผมสั้นย้อมประกายแดงและต้นคอขาวของเธอ

พอได้เจอกับตัวละครที่คาดไม่ถึงในสถานที่ที่ไม่คาดคิด ฉันก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา หากได้เจอหญิงชรารุ่นย่าสวมกางเกงหลวมๆ ท่ามกลางหุบเขาแห่งทูวังนีแห่งนี้ก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่ผู้หญิงวัยรุ่นตรงหน้าสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ยี่ห้อเกส (GUESS) อยู่ หรือว่าเธอกำลังเล่นหมากเก็บนะ ฉันเดินผ่านเธอไป รู้สึกเกร็งไม่แพ้ตอนที่ได้เจอกับมังกรเพี้ยน ผู้หญิงคนนั้นคงรู้สึกได้ว่ามีคนเดินผ่านเลยหันมามอง เธอสวมแว่นดำที่ปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง! ภาพฉันสวมหมวกสานสะท้อนอยู่บนเลนส์แว่นกันแดด เห็นแล้วชวนให้รู้สึกอับอายในความเฉิ่มเชยของตัวเองเหลือเกิน

ผู้หญิงคนนั้นน่าจะกำลังอ้วกอยู่ ทำไมฉันถึงรู้สึกอย่างนั้นนะ อาจเพราะท่าทางตอนเธอเช็ดปาก พอร่างกายรู้สึกเกร็ง ประสาทต่างๆ ก็อ่อนไหวตามไปด้วย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาอยู่ในสายตาของฉันหมด แม้แต่นิ้วก้อยของผู้หญิงนั้นที่สั้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่จะว่าไปแล้วมันก็อิหลักอิเหลื่ออยู่เหมือนกัน ถ้าเจอผู้หญิงอ้วกอยู่ริมถนนกลางเขาต้องทำอย่างไร จะให้เดินผ่านไปเหมือนไม่เห็นก็ดูจะไร้หัวใจไปหน่อย

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

ฉันอุตส่าห์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรเต็มที่ แต่นอกจากผู้หญิงคนนั้นจะไม่ตอบแล้ว ยังผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีไปหน้าตาเฉย น่าอายชะมัด เธอเป็นหญิงชาวเมืองที่เย็นชาสิ้นดี ดูถูกเพราะเห็นฉันใส่หมวกสานหรือ บ้านฉันก็ฮยู่โซลเหมือนกันนะ หมวกสานนี่เป็นของปู่ฉันต่างหาก ฉันก็มีแว่นกันแดดอยู่ที่บ้านในโซล มีกางเกงยีนส์ของเกสด้วย ถึงแม้ว่าขาสั้นๆ คู่นี้ของฉันใส่แล้วจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไรก็เถอะ… แต่แล้วไงล่ะ ผู้หญิงคนนั้นนิ้วก้อยสั้นนะ โอ๊ย นึกแล้วก็เจ็บใจ! ไม่น่าไปคุยด้วยเลย

ผู้หญิงที่อ้วกเมื่อกี้เดินไปขึ้นรถเก๋งรุ่นโซนาต้าติดฟิล์มดำที่จอดไว้ตรงทางขึ้นเนิน แล้วขับออกไป เธอกินเหล้าแล้วเมาจนอ้วกหรือเปล่า แจ้งความข้อหาขับรถขณะมึนเมาซะดีไหมเนี่ย

 

บรรยากาศที่บ้านเงียบสงัด มีเพียงเจ้าคงส่ายหางอยู่ใต้ต้นพลับ แล้วส่งเสียงเห่าเบาๆ ส่วนย่าน่าจะยังอยู่ที่ไร่ ก่อนที่ฉันจะออกไปล่าสมบัติ คุณนายฮงกันนันค้นกล่องไม้ที่เก็บเมล็ดพืชแล้วพูดว่า

“ทั้งถั่ว ทั้งงาพากันนิ่มไปหมดแล้ว ทำอย่างไรดีล่ะนี่”

หลังจากพรั่งพรูความกังวลแล้ว ย่าก็เอางาออกมาตากแดดเต็มลานบ้าน

ทันทีที่กลับถึงบ้าน ฉันก็ตรงไปอาบน้ำด้วยน้ำเย็นเป็นอย่างแรก แล้วเช็ดต้นคอและรักแร้จนเอี่ยมอ่อง นี่เป็นการอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะอากาศร้อนแต่อย่างใด ท่านเทพแห่งสมบัติ ได้โปรดเห็นแก่ความทุ่มเทของข้าด้วยเทอญ…

บนฝาหีบสมบัติตรงหน้ามีเทปกาวพันทับอยู่หลายชั้น สำหรับเด็กหกขวบแล้ว นับว่าพันได้เรียบร้อยทีเดียว ยิ่งเห็นความพิถีพิถันนี้ ความคาดหวังของฉันที่มีต่อวัตถุข้างในก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก

พูดถึงสมบัติงั้นหรือ เคยมีป้าคนหนึ่งพูดว่า ‘สมบัติของฉันคือลูกๆ’ น่าจะที่งานปาร์ตี้อะไรสักอย่างตอนพวกป้าๆ ไปเที่ยวและดื่มเหล้ากัน ป้าคนอื่นๆ กำลังพูดอวดของมีค่าอยู่ ถ้าเปรียบเทียบกับยุคสมัยตอนนี้ก็คงเป็นกระเป๋าชาแนลหรือแหวนทิฟฟานี แล้วป้าที่น่าหมั่นไส้คนนั้นก็โพล่งทำลายบรรยากาศขึ้นมา ฉันรู้ดีว่าสมบัติที่แท้จริงอยู่ในใจของเรา และนกสีฟ้าก็อยู่ในกรงที่บ้านเราเอง[30] แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังอยากถามว่า มูซุนในวัยหกขวบเอ๋ย สำหรับเธอแล้ว ความหมายของคำว่าสมบัติคืออะไร

สิ่งที่อยู่ในกล่องซึ่งฉันเรียกเอาเองว่าเป็นหีบสมบัติมีเข็มกลัดห้าเหลี่ยมที่ตัวหนังสือเลือนหายไปแล้ว ฟันน้ำนมหนึ่งซี่ ตุ๊กตาไม้แกะสลักหนึ่งตัว มูซุนเอ๋ย ถึงตอนนั้นเธอจะเด็กมากก็เถอะ แต่ถ้าตั้งชื่อมันว่าเป็นหีบสมบัติก็ควรจะใส่ของที่เหมาะสมกับชื่อไว้หน่อยสิ เอาของแบบนี้มาใส่แล้วเรียกหีบสมบัติ เขาเรียกว่าเป็นการต้มตุ๋นนะ แล้วฟันน้ำนมนี่อะไร การเอาแหวนทองของย่าหรือกระดุมอำพันของปู่มาใส่ มันยากมากเลยหรือ ฟันร่วงก็โยนมันขึ้นบนหลังคาสิ ไม่มีใครบอกหรือว่าถ้าทำแบบนั้นแล้ว นกกางเขนจะบินมาคาบไป แล้วฟันใหม่จะขึ้นมาแทน หรือถ้าจำเป็นต้องเอาฟันมาใส่ในกล่องจริงๆ ก็ขอเป็นงาช้างแทนไม่ได้หรือไง

ทั้งที่มันเป็นฟันของฉันเอง แต่ก็อดรู้สึกขยะแขยงไม่ได้ อาจเป็นเพราะมันมีลักษณะคล้ายกระดูก ฉันไม่อยากแม้แต่จะชายตามอง จึงจัดการโยนมันทิ้งไปนอกประตูบ้าน นกกางเขนจะมาคาบไปหรือไม่ก็ช่าง ยังไงฉันก็ไม่ต้องการฟันซี่ใหม่อยู่แล้ว

ท้องฟ้าส่อแววมืดครึ้มมาแต่ไกล เมฆดำเคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ ฝนกำลังจะตกหรือเปล่านะ ฉันรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว หลังจากกดเพิ่มความแรงของพัดลมแรงระดับกลาง ฉันก็เหยียดกายลงหน้าพัดลมนั้นเอง

สีทองบนเข็มกลัดลอกออกไปนานแล้ว สิ่งที่ดูใกล้เคียงกับสมบัติมากที่สุดเห็นจะเป็นตุ๊กตาไม้… เป็นของทำมือเสียด้วย ถ้าให้ตั้งชื่อก็น่าจะเป็น ‘จักรยานกับหนุ่มน้อย’ ล่ะมั้ง เพราะมันถูกแกะสลักเป็นรูปเด็กหนุ่มกำลังยืนจับแฮนด์จักรยานอยู่ ดูแล้วคงจะใช้มีดแกะสลัก ค่อยๆ แกะทีละนิด ถือเป็นงานที่ต้องใช้ความตั้งใจอย่างมาก ตรงที่เป็นเส้นตรงอาจจะใช้มีดเหลาได้ แต่ตรงที่เป็นวงกลมอย่างล้อจักรยานหรือใบหน้าของชายหนุ่มนี่สิ รอยมีดช่างละเอียดลออ คังมูซุนได้แสดงความสามารถทางศิลปะให้เห็นผ่านแผนที่ล่าสมบัติแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะดูยังไง ตุ๊กตาตัวนี้ก็ไม่ใช่ฝีมือของเด็กหกขวบแน่ๆ… แต่ถ้าบอกว่าเป็นฝีมือของคุณนายฮงกันนันหรือคุณปู่คังดูยงก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ คังมูซุนในวัยหกขวบไปเอาของของคนอื่นมาใส่หีบสมบัติของตัวเองอย่างที่ฉันเคยคาดหวัง แต่มันกลับไม่ใช่เครื่องปั้นดินเผาสมัยโครยอหรือปิ่นปักผมเลี่ยมทองน่ะสิ!

การพบกับมังกรเพี้ยนและงูระหว่างทางเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แมงมุมกับผู้หญิงอ้วกก็แค่โผล่มาอยู่ตรงนั้น โดยไม่มีเหตุผลใดๆ นี่มันอะไรกัน ฉันต่างอะไรกับคนที่ได้รับคำสาปจนอ่วม เพราะบุกเข้าไปในพีระมิด แต่ปรากฏว่าในพีระมิดว่างเปล่าล่ะ ถ้าปูเรื่องมาให้เห็นเป็นลางตั้งแต่แรกก็ควรจะมีตอนหักมุมสิ หรือถ้าให้ลำบากขนาดนี้ก็ควรจะมีสมบัติล้ำค่าให้ได้เชยชมบ้าง แบบนี้ถึงจะได้สมกับเป็นสิ่งที่ได้ชื่อว่าดาอิมแกซุลหน่อย!

ความง่วงงันพลันถาโถมเข้ามา ทั้งที่ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่นอนกลางวัน… การล่าสมบัติเป็นงานที่เหนื่อยยาก ภาพตอนที่ฉันกำลังจะหลับช่างหอมหวานปานน้ำผึ้ง มันเป็นตอนที่ฉันกำลังตักน้ำผึ้งออกมาเต็มๆ หนึ่งช้อน น้ำผึ้งไหลลงเป็นสายจนเรียวลงเรื่อยๆ แล้วตอนหลังก็ตกลงมาเป็นหยด จิตสำนึกของฉันก็เริ่มเลือนรางลงเช่นนั้น…

“เอ็งยังมีความเป็นคนกับเขาอยู่ไหม หา”

ฉันลืมตาขึ้นเพราะเสียงตวาดที่ดังสนั่นอย่างกับฟ้าผ่า คุณนายฮงกันนันยืนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ตรงลานหน้าบ้าน เมื่อกี้ฝนคงจะตก เพราะลานบ้านเปียกจนทั่ว

“ต่อให้ขี้เกียจแค่ไหน แต่ฝนตกแล้วยังนอนได้อีกเรอะ”

ฉันทำอะไรผิด… โกรธที่ไม่เอาร่มไปให้หรือ

คุณนายฮงกันนันใช้มือเปล่ากวาดอะไรบางอย่างมาไว้ในมือ แล้วอะไรบางอย่างนั้นก็ไหลมารวมกันพร้อมน้ำฝน มันเป็นสิ่งที่เล็กเท่าเมล็ดงา… อ๊ะ! ใช่งาจริงๆ ด้วย

“ทำยังไงดีล่ะนี่ เสียดายจริงๆ… ไปเอาที่โกยผงมา!”

ถึงแม้ว่าฉันจะไม่พอใจน้ำเสียงตำหนิ แต่ก็ลุกไปหยิบที่โกยผงมาให้ คุณนายฮงกันนันกวาดเอางาเข้าไปในที่โกยผง คำพูดแบบนี้คงไม่ค่อยน่าฟังนัก แต่มันสายไปแล้วล่ะ… ให้ยืนเฉยๆ ก็รู้สึกยังไงอยู่ ฉันเลยนั่งลงเก็บงาขึ้นมาทีละเม็ด

“ปัดโธ่เว้ย!”

คุณนายฮงกันนันโยนที่โกยผงทิ้ง ฉันรู้สึกผวาเพราะมันตกกระทบลงพื้นแตกจนชิ้นส่วนพลาสติกปลิวไปต่อหน้าต่อตา

“เอาเข้าไป นังเด็กนี่ ยังมานั่งเก็บทีละเม็ดๆ อีก ทีตอนฝนเทลงมาก็เอาแต่นอน ตอนนี้ทำมาเป็นเก็บ นังคนขี้เกียจ”

ว่ากันว่าคำว่านังนู่น นังนี่ ถ้าออกมาจากปากคนแก่อายุเกินแปดสิบ ก็ไม่ใช่คำด่าหรอก

“เสียดายของ กว่าจะได้งากำหนึ่งต้องลงแรงแค่ไหน เอ็งรู้บ้างไหม นังเด็กไม่ได้เรื่อง”

ไม่รู้อยู่แล้ว ทำไมฉันต้องรู้เรื่องนั้นด้วย

“ถอยไปเลย นังเด็กนี่”

ย่าผลักฉันให้พ้นทาง นอกจากจะทำร้ายกันทางวาจาแล้ว ยังทำร้ายร่างกายกันอีก

“ไอ้เจ้าพวกนั้นก็เหมือนกัน ทำไมทิ้งคนแบบนี้ไว้ สรรหาเรื่องให้ข้าทุกข์ใจจังนะ หน็อย”

“ย่าคิดว่าหนูอยู่ที่นี่เพราะอยากอยู่หรือไง”

ฉันทนไม่ไหวเลยสวนกลับไปประโยคหนึ่ง

“ไม่อยากอยู่ก็ไปสิ ใครห้าม”

“ได้ ไปก็ได้ ไปแล้วจะได้จบๆ!”

สัมภาระของฉันแทบไม่มีให้เก็บ ฉันยัดเสื้อผ้าที่มีเพียงไม่กี่ตัวใส่ลงกระเป๋าเป้ แล้วเดินออกมาจากห้อง พอย่าเห็นก็แค่นหัวเราะออกมา

“แหม น่ากลัวจริงๆ กลัวจะตายอยู่แล้ว ทำมาเป็นขึงขัง นังเด็กไม่เอาไหน…”

“ค่า ขอตัวก่อนแล้วกันค่ะ แล้วไม่ต้องเจอกันอีกนะ”

“อย่าให้เห็นว่ากลับมาอีกแล้วกัน”

ย่านะย่า ไม่ยอมแพ้เลยสักประโยค ฉันรวบรวมความโกรธ แล้วเตะประตูหน้าบ้านเต็มแรง

ฝนตกไปเมื่อกี้ พวกกบเลยร่าเริงกันใหญ่ มันพากันกระโดดไปทั่วทุกทิศ มีตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาชนน่องของฉันจนเปื้อนเลอะเทอะ ถ้าเป็นวันอื่นฉันคงตกใจกลัว แต่วันนี้กลับไม่รู้สึกอะไร ต่อให้ต้องเจอมังกรเพี้ยนที่สามแยกก็ไม่กลัว ถ้าเขามาชวนเล่นหมากเก็บอีก คราวนี้ฉันจะยอมเล่นด้วยจนกว่ารถเมล์มาก็ได้ เข้าใจแล้วว่าความโกรธของคนเรามันกดทับความกลัวไว้ได้นี่เอง

ย่าไม่รู้อะไรเลย ทุกประโยคของย่าลงท้ายด้วยคำว่านังนู่น นังนี่ นึกว่าฉันด่าคนอื่นไม่เป็นหรือไง ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันก็ไม่น้อยหน้าใครนะ แต่ยอมให้เพราะเห็นแก่อายุย่าหรอก ย่าตัวแสบ จะทำนิสัยแบบนี้ไม่ได้นะ ที่ฉันถูกทิ้งให้อยู่บ้านนอกนี่เพราะใครกันล่ะ บ้านนอกที่ใช้อินเทอร์เน็ตก็ไม่ได้ โทรศัพท์มือถือก็ไม่มีสัญญาณ แถมยังมีเงินให้แค่ห้าแสนวอน เงินเล็กน้อยแค่นี้ มีหรือไม่มีก็ไม่ต่าง ต่อไปนี้ขอลาขาดแล้วกัน ไม่ต้องกลับมาเจอกันอีก กู๊ดบาย ฟอร์เอเวอร์ ซาโยนาระ อา เจ็บใจชะมัด เพราะที่ผ่านมาฉันต้องโดนย่าปลุกให้ตื่นทุกเช้าด้วยการฟาด แล้วถ้าตากงาเอาไว้ก็ควรจะบอกกันด้วยสิ งานั่นมันของฉันหรือไง มันคืองาของย่าต่างหาก…

ค่อยยังชั่ว สามแยกว่างเปล่า กิจกรรมการเล่นหมากเก็บของเจ้ามังกรเพี้ยนคงจะถูกยกเลิกเพราะฝนตก

รถเมล์ที่มาชั่วโมงละคันจะมีเวลาปล่อยรถอย่างไรนะ ถ้าเมื่อกี้เพิ่งมีรถผ่านไป งั้นฉันก็ต้องรอไปอีกหนึ่งชั่วโมง… ฉันมองหาตารางเดินรถ แต่ไม่เจอ ปกติมันจะติดไว้ข้างป้ายรถเมล์ไม่ใช่หรือ ช่างมันเถอะ จะชั่วโมงเดียวหรือสองชั่วโมงก็จะรอ ถึงเวลารถคงมาเอง

ตกใจหมดเลย! นึกว่าจะไม่มีใครอยู่แถวนี้ แต่ ณ มุมหนึ่งของสามแยกมีป้าคนหนึ่งนั่งขดอยู่หน้ารั้วบ้านที่ไม่มีประตูหน้า เธอนั่งนิ่งไม่ขยับจนทีแรกฉันนึกว่าเป็นลายรั้วเสียอีก ถ้าเมื่อกี้ลมไม่พัดให้ชายเสื้อปลิว ฉันก็คงจะนึกว่าเธอเป็นลายรั้วต่อไป เธอเป็นดั่งนินจา แถมยังเป็นนินจาขั้นสูงที่พรางตัวได้ เล่นเอาฉันแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนคือป้า อันไหนคือรั้ว แล้วคนที่ทูวังนีก็ชอบนั่งขดอยู่ที่พื้นเสียจริง ทั้งเจ้ามังกรเพี้ยน ทั้งผู้หญิงที่เคยมาอ้วกตรงนี้ ฉันนั่งแค่แป๊บเดียวขาก็เป็นเหน็บแล้ว

ป้านินจากอดเข่าแล้วเกยคางบนต้นแขน ผมของเธอตัดสั้นและไม่มีร่องรอยของการดัด ถือเป็นทรงที่แปลกสำหรับป้าที่อาศัยอยู่แถวบ้านนอก แถมผมเธอยังหงอกไปครึ่งหนึ่ง! ขนาดย่าฮงกันนันที่อายุเกินแปดสิบไปแล้วยังย้อมผมให้ดำเป็นสีเดียวกับอีกาเลย…

อ๋า ฉันนึกออกแล้วว่าเธอเป็นใคร ป้าคนนั้นคือป้าที่ไม่มีเพื่อนคบนี่เอง ตอนงานศพปู่ คนในหมู่บ้านมาช่วยงานกันหมด พอได้ใช้เวลาร่วมกันสักสามวันก็พอจะรู้คร่าวๆ ว่าแถวนี้ใครคือคนกุมอำนาจที่แท้จริง หรือใครไม่ค่อยถูกกับใคร ป้านินจาคนนั้นเป็นคนที่ไม่สนิทกับใครเลย เธอมักจะยืนอยู่ห่างจากคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ ฉันจำเรื่องของคืนที่สองในงานศพได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่แขกเริ่มบางตา บรรดาป้าๆ ในหมู่บ้านจึงไปนั่งรวมกันที่โต๊ะหนึ่ง แล้วกินข้าว ดื่มเหล้าด้วยกัน มีแค่ป้านินจาอยู่ในครัวคนเดียว—จะว่าไปแล้วตอนนั้นก็นั่งขดอยู่ที่พื้นเหมือนกัน—พอฉันบอกว่าทุกคนไปนั่งกินข้าวรวมกันอยู่แถวแคร่ เธอก็แค่พยักหน้ารับ ไม่มีท่าทีว่าจะลุกแต่อย่างใด ตอนนั้นมีป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาตักข้าวเพิ่ม แต่กลับทำเป็นไม่เห็นป้านินจา ไม่ใช่ว่าไม่เห็นจริงๆ แต่เป็นการเห็นแล้วเบือนหน้าหนี ทำเป็นไม่เห็นไป ในตอนนั้นเองฉันถึงได้รู้ว่าแถวบ้านนอกก็มีคนที่เพื่อนไม่คบเหมือนกัน

เอาเถอะ ดูจากการที่คนในพื้นที่มานั่งรอแบบนี้ แสดงว่าใกล้ถึงเวลาที่รถเมล์จะมาแล้ว

เมื่อกี้ฝนคงจะตกหนักมาก แม้เป็นเวลาสั้นๆ เพราะเสียงน้ำไหลดังพอสมควร ฉันเคยได้ยินจากพ่อว่าพอฝนตกทีไรคันดินจะพัง บางครั้งก็ต้องคอยเก็บกวาดจนไม่ได้ไปโรงเรียน ถ้าน้ำไหลด้วยความแรงแบบนั้น จะมีที่ไหนพังก็ไม่แปลกหรอก แล้วงาที่ตากไว้ในลานบ้านย่าจะเหลือหรือ

ป้านินจากำลังตั้งใจดูอะไรอยู่ ที่พื้นไม่เห็นมีอะไรเลย… กลางสามแยกมีรอยล้อรถที่กดลงไป ข้างๆ นั้นมีกบกำลังนอนโชว์พุงขาวอยู่ ท่ากางขาดูสมกับเป็นกบจริงๆ หรือว่าเธอกำลังดูซากกบตาย ไม่ใช่ สายตาของเธอมองออกไปไกลกว่านั้น เลยมุมหนึ่งของภูเขาที่ถนนหายลับไปอีก…

มีเสียงรถดังขึ้น สงสัยรถเมล์จะมาแล้ว ต้องขึ้นรถฝั่งไหนนะ ฉันหันไปมองป้าเพื่อจะทำตาม แต่เธอไม่ขยับเลยแม้แต่นิด เสียงนั้นไม่ใช่รถเมล์ แต่เป็นรถบรรทุก มันปรากฏขึ้นแถวโรงเรียน จากนั้นก็วิ่งทับร่างของกบจนแบนแต๊ดแต๋แล้วหายลับไปทางสะพาน ฉันรู้สึกพะอืดพะอม เนื่องจากไม่กล้าหันไปมองสภาพของกบ จึงหันไปมองทางที่รถบรรทุกแล่นไปแทน

“แม่ ผมหิว”

ชายเล่นหมากเก็บโผล่ออกมาจากบ้านที่ไม่มีประตู ป้านินจาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปในบ้าน คราวนี้เป็นฝ่ายฉันที่ไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาเพราะกลัวมังกรเพี้ยนจะมองเห็น สงสัยพอความโกรธบรรเทาลง ความกลัวก็กลับมาอีกครั้ง วิชาพรางตัวไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ เจ้ามังกรเพี้ยนร้องว่า ฮี่ แล้วยิ้มให้ฉัน ก่อนจะเดินตามแม่ตัวเองเข้าบ้านไป สำหรับฉันแล้วนับว่าครั้งนี้โชคดีมาก

แต่ในเมื่อป้านินจาไม่ได้รอรถเมล์อยู่ งั้นสามสิบกว่านาทีที่ผ่านมาเธอเอาแต่จ้องมองอะไรล่ะ หรือเธอรออะไรอยู่ แต่ก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่ดีน่ะนะ เวลาผ่านไปแล้วสามสิบนาที ถ้างั้นอย่างช้า รถเมล์ก็คงมาถึงในอีกสามสิบนาทีนี้

ไฟถนนที่อยู่ใต้ชายคาของพูฮึงซูเปอร์สว่างขึ้น แมลงหวี่แมลงวันทั้งหลายพากันบินเข้าหาแสงไฟ บ้านที่อยู่ตีนเขาพากันเปิดไฟทีละดวงสองดวง เมื่อเปิดไฟแล้ว ฉันจึงเริ่มรู้สึกได้ถึงความมืด เวลาในโทรศัพท์มือถือบอกเวลาหกโมง ห้าสิบห้านาที สงสัยวันนี้จะมืดเร็วเพราะท้องฟ้าครึ้ม ฉันมองเงาของภูเขาค่อยๆ เลือนหายไปขณะท้องฟ้าเริ่มมืดลงทีละนิด…

“…แล้ว”

ฉันตกใจจนหัวใจแทบจะร่วงลงไปถึงตาตุ่ม ลุงคนหนึ่งโผล่มาข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ร่างมหึมาของเขาโอนเอนไปทางด้านหลัง ที่สามแยกมีฉันคนเดียว งั้นก็แสดงว่าเขาคุยกับฉันแน่ๆ แต่ไม่ทันฟังว่าเขาพูดอะไร เอาเป็นว่าลุงที่ยืนแอ่นไปข้างหลังแปลกๆ เดินแกว่งแขนทั้งสองข้างเฉียดฉันเข้าไปในพูฮึงซูเปอร์ ลุงคนนั้นรัดเข็มขัดแม่เหล็กไว้ที่เอว เข็มขัดแม่เหล็กที่เป็นสินค้าสำหรับลูกกตัญญู ชอบมีคนเอามาเร่ขายบนรถไฟใต้ดินว่า ‘ซื้อไปฝากคุณพ่อคุณแม่ที่ปวดหลังสิ’ อันนั้นไงล่ะ ผ่านไปสักครู่ ลุงก็เดินออกมาจากพูฮึงซูเปอร์พร้อมโซจูในมือหนึ่งขวด

“บอกว่ารถเมล์หมดแล้ว”

เขาพูดมาประโยคหนึ่งแล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังที่ไม่มีประตู สงสัยคนบ้านนั้นกับฉันจะดวงชงกัน เพราะพอคนบ้านนั้นปรากฏตัวทีไรก็ทำให้ฉันตกใจตลอด เฮ้อ…

สุดท้ายแล้วก็เหลือฉันอยู่ที่สามแยกคนเดียวอีกครั้ง คังมูซุน ผู้ยืนรอรถเมล์ที่ไม่มีทางผ่านมา! สงสัยคำพูดที่บอกว่าคนเราจะหัวเราะออกมาเวลาเจอเรื่องเหลวไหลจะเป็นเรื่องจริง ฮ่าๆ ยังไม่ถึงทุ่มนึงเลย แต่รถเมล์กลับหยุดวิ่งแล้ว ช่างเป็นละแวกที่สุดยอดจริงจริ๊ง

ลองโบกรถดีไหมนะ ต่อให้เป็นเกวียนที่วิ่งผ่านมาฉันก็จะขอไปด้วย หรือว่าจะเดินไปดี นั่งรถเมล์ใช้เวลาสามสิบนาที งั้นถ้าเดินไปจะใช้เวลาเท่าไร สองชั่วโมง สามชั่วโมงได้หรือเปล่า ไอ้ไม่รู้ทางก็เรื่องหนึ่ง แต่วันนี้ฟ้าครึ้ม มองไม่เห็นแม้แต่พระจันทร์ ถ้าเดินหลุดออกไปจากรัศมีของไฟข้างทางก็จะเจอกับความมืดมิดของจริง ที่คนเขาว่ากันว่ามืดเหมือนหมึกสีดำสำหรับลงรักคงจะเป็นแบบนี้เอง

ขาของฉันอ่อนแรง ฝนไล่ช้างทำให้โซฟาหน้าพูฮึงซูเปอร์เปียกแฉะ ฉันนั่งคุดคู้เหมือนที่ป้านินจาทำ นั่งรอแบบนี้ต่อไปจนรถเมล์คันแรกวิ่งดีไหมนะ แต่การที่รถเที่ยวสุดท้ายหมดเร็วก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่ารถเที่ยวแรกจะมาเร็ว

กลับไปที่บ้านอีกครั้งไหมละ ไม่ ฉันจะกลับไปไม่ได้ อุตส่าห์เตะประตูบ้านแล้วเดินออกมา จะให้คลานกลับไปอย่างนั้นหรือ แค่คิดก็ขายหน้าแล้ว

ยุงเริ่มเข้ามาตอม มีเสียงโทรทัศน์ดังออกมาจากในพูฮึงซูเปอร์ อีกครู่หนึ่งละครที่คุณนายฮงกันนันติดนักติดหนาจะเริ่มแล้ว ย่าตัวแสบ ป่านนี้คงจะดูโทรทัศน์แล้วเอาแต่หัวเราะฮ่าๆ โฮ่ๆ ละครพวกนี้สนุกตรงไหน เห็นย่าติดละครเรื่องนี้อย่างหนัก วันแรกที่โดนเนรเทศมาฉันเลยไปนั่งดูข้างๆ ดูแค่แป๊บเดียวก็รู้แล้วว่าเรื่องที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และต่อไปเรื่องจะดำเนินแบบไหน นี่ฉันฉลาดหรือละครไม่มีอะไรใหม่ให้ดูกันนะ แต่เอาเป็นว่าปฏิกิริยาของคุณย่าฮงกันนันตอนดูเป็นสิ่งที่ถ้าเก็บไว้ดูคนเดียวคงเสียดายแย่

“นังแพศยา”

เบื้องต้นต้องมีคำด่า

“ปัดโธ่ ไม่ใช่ นังนั่นมันเป็นคนเลว”

มีตอนที่ย่าพูดกับโทรทัศน์ด้วย

ย่าใจร้าย ถ้าออกมารับตอนนี้ ฉันก็จะแกล้งทำเป็นยอมกลับเข้าบ้านอย่างไม่เต็มใจให้ก็ได้…

มีเสียงร้องของสัตว์ป่าดังขึ้น เมื่อคืนก็ได้ยินเสียงนี้ ดูแล้วมันไม่น่าใช่เสียงของกวางน้ำ หรือว่าจะเป็นเสียงจิ้งจอกนะ มีเรื่องให้คิดเยอะจริงๆ แต่หมู่บ้านนี้รถเมล์เที่ยวสุดท้ายหมดตั้งแต่ก่อนหนึ่งทุ่ม จิ้งจอกมาเห็นก็คงอยากร้องไห้เหมือนกัน ถ้าบอกว่าจิ้งจอกตัวนั้นเป็นจิ้งจอกเก้าหางก็ฟังดูน่าเชื่อ งั้นฉันโทรไปแจ้งศูนย์คุ้มครองสัตว์ป่าจะได้เงินค่าตอบแทนหรือเปล่า

เสียงร้องโหยหวนของมันฟังดูเศร้าเหลือเกิน

ไม่รู้ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่จิ้งจอกเก้าหางชอบไปขุดหลุมศพของคน เอาหัวกะโหลกมาสวม แล้วตีลังกา พอทำแบบนั้นก็จะสวมรอยเป็นคนที่ตายไปแล้วได้ จากนั้นมันจะไปที่บ้านของเจ้าของกะโหลกแล้วร้องเรียกว่า “เอ็งเอ๊ย เอ็งเอ๊ย” หากใครขานตอบ จะต้องมีอันเป็นไปหลังจากนั้นไม่นาน เพราะฉะนั้นถ้ามีใครมาเรียกกลางดึก ถึงให้ฟังสักสามครั้งก่อน แล้วค่อยขานตอบ

บ้าไปแล้ว! ทำไมถึงคิดเรื่องน่ากลัวแบบนี้ขึ้นมาได้ แค่คิดเรื่องสดใส รื่นเริง คิดบวกยังแทบจะไม่รอดเลย แย่แล้ว เริ่มมืดลงเรื่อยๆ จิ้งจอกส่งเสียงร้อง ยุงก็เข้ามาตอม อีกไม่นานเจ้าของพูฮึงซูเปอร์ก็คงจะหลับ… แค่จินตนาการก็หายใจไม่ออกแล้ว บ้าเอ๊ย! แต่ละก้าวที่พาฉันเดินกลับไปบ้านมันช่างบ้าจริงๆ บ้าไปแล้ว!

ฉันเดินผ่านประตูหน้าบ้านเข้ามา ยายแก่ฮงกันนันกำลังนั่งกินข้าวเย็นอยู่ที่พื้นไม้ราวกับจงใจให้ฉันเห็น ย่ายัดซัมใบมอวี[31]เข้าปาก หางตาของย่ากระตุก คงจะกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ ย่าตัวแสบ ย่าต้องรู้แน่ๆ ว่ารถเที่ยวสุดท้ายหมดแล้ว  ถึงได้ตะคอกใส่ฉันว่าอยากไปก็ไปเสีย

“ไหนว่าจะไป”

“หนูนั่งรถเมล์เที่ยวแรกพรุ่งนี้ไปแน่”

“ถ้าเอ็งตื่นทันก็เชิญ”

ย่าตัวแสบ ไม่ยอมแพ้กันสักประโยคเลยนะ

“มากินข้าวสิ”

“ไม่กิน”

“ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน ข้าใส่ฟักเขียวลงไปตอนต้มทเวนจังด้วย หวานเชียวล่ะ”

“งั้นก็กินเยอะๆ ให้ท้องเสียไปเลย”

ฉันใส่ความโกรธลงไปที่ส้นเท้า แล้วเดินกระแทกส้นเข้าไปในห้องนอนแขก ถึงแม้ว่าจะต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งคืนเพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่ก็ขอนอนแยกห้อง ตอนนี้ฉันพอจะเข้าใจสามีภรรยาที่ทะเลาะกันแล้วแยกห้องนอนแล้ว

ฉันนอนหนุนลงบนหมอนไม้ของปู่ อา หิวข้าวจัง

ลองคิดเรื่องอื่นเพื่อให้ลืมความหิวดีกว่า วันนี้ทั้งวันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ได้เจอกับมังกรเพี้ยน ได้ปีนเขา เจอผู้หญิงใส่แว่นกันแดดที่ไม่มีมารยาท… ลองคิดเรื่องอื่นแล้วก็ยังหิวอยู่ดี นกที่ร้องอยู่ตอนนี้คงจะเป็นนกเค้าแมว เจ้านกเค้าแมวที่ต้องทนหิวเพราะหม้อข้าวเล็ก![32] วันนี้ฉันเข้าใจความรู้สึกของแกแล้ว เจ้านกเค้าแมวเอ๋ย! แกจะหิวขนาดไหนกันนะ เจ้านกเค้าแมวเอ๋ย! ทำไมแกไม่ตักข้าวให้ตัวเองก่อนเล่า

พอละครรายวันจบ หลังจากนั้นไฟในห้องนอนด้านในก็ดับลง มีข้าวเหลืออยู่ในหม้อหุงข้าวไฟฟ้าประมาณหนึ่งถ้วย ต้มทเวนจังใส่ฟักเขียวก็หวานอย่างที่ย่าว่าจริงๆ

ตอนไปอาบน้ำ ฉันเพิ่งเห็นว่าดินเปื้อนขึ้นมาถึงก้น ตอนเสียงของจิ้งจอกดังไล่หลังมา เอาแต่วิ่งหนีสุดชีวิตเลยไม่รู้ว่าดินกระเด็นใส่ ฉันหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนออกมาจากในกระเป๋า มีหีบสมบัติติดออกมาด้วย ฉันโยนฟันน้ำนมออกไปนอกประตูบ้านแล้ว ตอนนี้จึงมีแค่เสียงของเข็มกลัดและตุ๊กตาไม้ดังกุกกัก

 

นอกประตูสว่างจ้า โทรศัพท์มือถือบอกเวลาสิบโมง สิบสามนาที! ยายแก่กำลังล้างต้นไชเท้าอ่อนอยู่ตรงก๊อกน้ำประปาฝั่งหนึ่งของลานบ้าน เกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้ถึงไม่โวยวายเรื่อง ‘ตะวันขึ้นมาจ่อก้นแล้ว’ ล่ะ

“รถเที่ยวแรกเพิ่งผ่านไปเมื่อกี้”

ยายแก่ฮงกันนันสะบัดน้ำออกจากใบไชเท้า แล้วทำปากยื่น

“ทีตอนโกรธล่ะปากเก่งขึ้นมาเชียว”

ไม่รู้ว่าพูดคนเดียวหรือพูดให้ฉันได้ยินกันแน่… แต่ถ้าจะขอโทษก็พูดดีๆ สิ

“เอาเกลือไปไว้ไหนแล้วนะ”

ย่าเอาแต่เดินไปหาในที่แปลกๆ จนฉันรู้สึกขัดใจ เลยชี้ไปที่ตะกร้าเกลือซึ่งวางอยู่ริมพื้นไม้หน้าบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันยกโทษให้หรอกนะ ยายแก่โรยเกลือลงบนต้นไชเท้าอ่อนจนทั่ว ต้นไชเท้าอ่อนที่เพิ่งจะขุดมาเมื่อกี้ดูน่ากินดีจริงๆ

“ต้องหาอะไรมาปิดไว้ด้วย”

ฉันเหลือบไปเห็นถาดที่เหมาะจะปิดกะละมังพลาสติกพอดี เลยเดินไปหยิบให้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันยกโทษให้หรอกนะ ฉันได้ยินคำหยาบที่ย่าพูดกับหูของตัวเอง ไม่มีทางที่ฉันจะให้อภัยง่ายๆ…

“กินแตงโมไหม”

เรานั่งกินแตงโมข้างกันที่โถงไม้

“นี่อะไร”

คุณนายฮงกันนันหยิบ ‘จักรยานกับหนุ่มน้อย’ ขึ้นมาแล้วพลิกดูทางโน้นที ทางนี้ที

“พกของแบบนี้ เจ้าที่เจ้าทางจะไม่พอใจเอานะ” ว่าแล้วย่าก็หยิบเสียมเดินออกไป แสงแดดส่องลงมายังลานว่างด้านในบ้านจนแสบตา วันนี้อากาศคงจะร้อนมากทั้งวัน

เจ้าที่เจ้าทางไม่พอใจงั้นหรือ หรือว่าเหตุการณ์เมื่อวานก็เป็นผลพวงมาจากความไม่พอใจนั้นด้วย

“แกเอาไปไหม”

ฉันยื่นตุ๊กตาให้เจ้าคง มันดมทีเดียวแล้วก็หันหน้าหนี สงสัยจะไม่ชอบเหมือนกัน

ถนนเก้ามุมยังปลอดคนเหมือนเมื่อวาน ปลอดงูด้วย แมงมุมมาชักใยไว้กลางทางอีกครั้ง ฉันเอาแท่งไม้ปัดใยแมงมุมออกทำให้แมงมุมรีบหนีไปด้วยความกลัว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหน เราก็มักจะรู้สึกว่าครั้งที่สองใกล้กว่าครั้งแรกเสมอ ฉันเดินข้ามเนินมัลอูจีได้เร็วกว่าที่คิด วันนี้บ้านประจำตระกูลยูแห่งคยองซันยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม

เมื่อคืนก่อนนอน ฉันเกิดคำถามขึ้นมาว่าคังมูซุนในวัยหกขวบไปฝังหีบสมบัติคนเดียวหรือเปล่า เด็กหกขวบจะขุดหลุมได้ลึกถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เด็กหกขวบจะพันเทปที่ฝากล่องได้เนี้ยบขนาดนั้นเลยหรือ และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือตุ๊กตาไม้แกะสลักตัวนั้น

คังมูซุนในวันยี่สิบเอ็ดมั่นใจว่านั่นไม่ใช่ของของคังมูซุนในวัยหกขวบ และไม่น่าจะเป็นสิ่งที่คังมูซุนในวัยหกขวบอยากได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นตอนฝังหีบสมบัติต้องมีใครอยู่ด้วยแน่ๆ ใครบางคนที่ใช้เทปพันรอบกล่องและขุดหลุมให้ ‘จักรยานกับหนุ่มน้อย’ ก็คงจะเป็นของใครคนนั้นด้วย

ฉันตัดสินใจว่าจะฝังตุ๊กตาไม้กับเข็มกลัดไว้ที่เดิมอีกครั้ง สิ่งที่ออกมาจากดินก็ควรได้กลับสู่ดิน ของของซีซาร์ก็ควรคืนให้ซีซาร์[33] ถึงใจหนึ่งจะคิดว่าเหมือนพาร่างกายมาทรมานท่ามกลางอากาศร้อน แต่ฉันเก็บมันไว้ไม่ได้ ครั้นจะให้ทิ้งไปก็รู้สึกแปลกๆ ไม่ใช่ว่าฉันกลัวเจ้าที่เจ้าทางไม่พอใจเหมือนที่คุณนายฮงกันนันบอก เพราะในฐานะคนที่ได้รับการศึกษาถึงระดับมัธยมปลาย แถมยังอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยมานานกว่าใครๆ ตั้งสามปี ฉันไม่เชื่อเรื่องงมงายหรอกนะ ส่วนเรื่องที่ถูกจิ้งจอกเก้าหางไล่หลังเมื่อวานนี้น่ะหรือ เรื่องนั้นก็…

ถ้า ‘จักรยานกับหนุ่มน้อย’ เป็นสินค้าที่ผลิตจากโรงงาน ฉันคงไม่ยอมเหนื่อยแบบนี้หรอก และคงจะทิ้งมันไปโดยไม่ติดใจอะไร เพราะแค่โยนลงเตาฟืนก็จบแล้ว แต่มันดันเป็นงานทำมือที่ต้องแกะ เกลา ขัดกระดาษทรายทีละนิดน่ะสิ ไม่รู้เลยว่าทำไมตุ๊กตาไม้ที่ใส่ความตั้งใจลงไปเต็มเปี่ยมนี้ถึงได้มาอยู่ในหีบสมบัติของเด็กหกขวบ หรือมันเคยเป็นของที่จะทิ้งก็เสียดาย จะเก็บไว้ก็รู้สึกตงิดๆ หรือ มันอาจจะเคยมีเหตุการณ์เบื้องหลังที่ซึ้งจนต้องเสียน้ำตา แต่ก็อาจไม่มีอะไรเลยก็ได้ เอาเป็นว่าดูจากที่เจ้าของไม่มาเอาคืนหลังจากผ่านไปสิบห้าปีก็มีความเป็นไปได้สูงว่าในอนาคตจะไม่มาเอาคืนเช่นกัน นั่นเป็นโชคชะตาของ ‘จักรยานกับหนุ่มน้อย’ ไม่แน่ว่าผ่านไปพันปีหมื่นปีมันอาจจะกลายเป็นปูชนียวัตถุที่มีคนค้นพบก็ได้

พอคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าฉันขุดดินเพื่ออะไร นี่มันเหนื่อยเปล่าชัดๆ… แต่เอาเถอะ จักรยานกับหนุ่มน้อย! เราคงมีวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้

“ทำอะไรหรือครับ”

บ้าเอ๊ย มัวแต่ชะล่าใจ

“เมื่อวานก็มาขุดดินตรงนี้ใช่ไหม”

สงสัยจะเป็นคนที่มาขัดจังหวะเมื่อวานนี้

“ฝังอะไรหรือครับ”

เสียงของเขาแหบ เด็กหนุ่มที่ยืนเต๊ะท่าอยู่หน้าประตูใหญ่บ้านตระกูลยูคงอยู่ในช่วงเสียงแตก เขาเดินลากรองเท้าเข้ามาใกล้ ถึงแม้ฉันจะไม่เคยคิดว่าผู้อาศัยในบ้านสภาพเหมือนกองถ่ายละครย้อนยุคต้องใส่ฮันบกกับรองเท้ายาง แต่ใส่กางเกงขาสั้นกับรองเท้าแตะมันก็เกินไปหน่อยไหม ฉันคิดแล้วมองดูใบหน้าของเขา โอ้ พระเจ้าช่วย!

“คุณไปโบสถ์หรือ”

ฉันไม่มีศาสนา แต่ว่า โอ้ พระเจ้า

“หรือเป็นร่างทรง”

ก็บอกว่าไม่มีศาสนาไง แต่พอเห็นหน้าเธอ จะพระเจ้าหรือปีศาจก็น่าจะเชื่อได้ทั้งหมดนั่นแหละ ว้าว!

“ผมถามว่าทำอะไรไงครับ”

นั่นสิ… นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ พอเห็นหน้าเธอฉันก็ลืมชื่อตัวเองไปแล้วด้วยซ้ำ ฉันนี่มันยางลบเดินได้จริงๆ

“ผมจะแจ้งตำรวจแล้วนะ”

“เดี๋ยว…”

ฉันเรียกเพื่อหยุดเขาไว้ก่อน

“นาย…”

ฉันเกริ่น แต่ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อดี

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว แล้วรอให้ฉันพูดต่อ

“หล่อเอาเรื่องเลยนะเนี่ย”

เด็กหนุ่ม เอ๊ย ขอแก้ หนุ่มหล่อก้าวถอยไปข้างหลังพลางหรี่ตา เป็นสายตาที่บ่งบอกว่าไม่ไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด!

“คือว่า… ฉันไม่ใช่คนแปลกๆ นะ ที่หมู่บ้านเก้ามุมมีบ้านตระกูลคังอยู่ บ้านที่ปู่เจ้าของบ้านเพิ่งจะเสียไปน่ะ ฉันเป็นหลานสาวบ้านนั้น…”

ฉันบอกกับเขาว่าตัวเองเป็นใคร แล้วระหว่างที่ค่อยๆ เล่ารายละเอียดเรื่องหีบสมบัติ ดาอิมแกซุล และการฝัง ‘จักรยานกับหนุ่มน้อย’ อย่างตะกุกตะกัก เด็กหนุ่ม ไม่สิ หนุ่มหล่อก็หยิบตุ๊กตาไม้ขึ้นมาดู ฉันจึงถือโอกาสนี้ชื่นชมหน้าตาของหนุ่มดอกไม้ไปด้วย ใบหน้าของเขาหล่อเหลาเสียใจชวนรู้สึกผิดที่ดูฟรี

“ฝังของพวกนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อกี่ปีก่อนนะครับ”

พอบอกว่าสิบห้าปี สีหน้าของหนุ่มดอกไม้ก็เคร่งเครียดขึ้น เขาหลุบตาลงต่ำ ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่ขนตายาวมาก ให้เข้าไปหลบแดดใต้นั้นยังได้เลย

“ตามผมมา”

ต่อให้พาไปนรก ฉันก็จะตามไปอย่างแน่นอน

เราก้าวข้ามธรณีประตูซึ่งอธิบดีองค์การมรดกวัฒนธรรมชื่นชมเป็นพิเศษว่าโดดเด่นทั้งด้านการใช้งานและความสวยงาม แล้วเดินเข้าไปในบ้านขุนนางอันเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่เขตคีโฮ แม้จะรู้สึกเกรงใจเพราะ ‘กางเกงขาสั้นฮ็อตแพนต์ สั้นราวกับกางเกงซับในที่เผยให้เห็นต้นขาขาว’ ของตัวเอง แต่ขนาดคุณชายบ้านนี้ยังใส่กางเกงขาสั้นกับรองเท้าแตะเลย เพราะงั้นคงจะไม่เป็นไร

เอาล่ะ มาถึงบ้านประจำตระกูลยูแห่งคยองซันแล้ว ถ้านึกไม่ออก ให้ลองนึกถึงภาพละครย้อนยุคหรือหมู่บ้านพื้นเมืองของเกาหลีที่เคยเห็น หากจะมีอะไรที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย ก็คงจะเป็นความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่ามันผ่านมือของคนมามาก มันคงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าร่องรอยของการใช้งาน ทั้งไม้กระดานที่อยู่เหนือหินรองเหยียบหรือเสาข้างๆ ก็เป็นเงาวับ ถ้าให้เพิ่มเติมอีกอย่าง ก็คงจะเป็นลานบ้านที่กว้างกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่หรือเปล่า มาดังซเวของบ้านนี้คงจะต้องเหนื่อยหน่อยล่ะ

ด้านซ้ายของประตูใหญ่มีสิ่งที่เรียกว่าห้องคนรับใช้ให้พวกผู้ชายอยู่ ส่วนบ้านที่เห็นเมื่อมองตรงไปคงจะเป็นบ้านรับแขกที่นายท่านเจ้าของบ้านเอาไว้ใช้อ่านหนังสือ ทั้งห้องคนรับใช้และบ้านรับแขกมีแม่กุญแจคล้องไว้ ข้างบ้านรับแขกยังมีศาลาทรงตัว “T” อยู่ด้วย วันร้อนๆ แบบวันนี้ ถ้าได้นอนกลิ้งอยู่บนนั้นคงจะเหมาะ ตัวอักษรจีนที่เขียนไว้บนแผ่นไม้คงจะเป็นชื่อของศาลานั้น เขียนหวัดเสียจนอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว แต่ต่อให้เขียนอย่างบรรจงฉันก็อ่านไม่ออกอยู่ดี ข้างเสาศาลามีอะไรบางอย่างสีแดงส่องประกายระยิบระยับ การใช้สีภายในบ้านขุนนางซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพื้นที่เขตคีโฮช่างไม่เหมือนใคร ฉันมองดูมันด้วยความประทับใจ แต่แล้วก็พบว่ามันคือถังดับเพลิง

ภายในประตูใหญ่ของบ้านตระกูลยู ยังมีประตูอื่นๆ อยู่อีกเหมือนอย่างที่ฉันมองเห็นจากบนเนิน คุณชายเดินนำฉันผ่านประตูบานที่สองเข้าไป

ตรงนี้คงจะเป็นพื้นที่ใช้สอยหลัก โทรทัศน์กับโซฟาดูเข้ากับพื้นไม้ของบ้านเกาหลีอย่างคาดไม่ถึง หลอดไฟที่ติดอยู่บนคานก็ดูมีรสนิยม เสาทุกเสามีอักษรจีนเขียนไว้ว่าอะไรสักอย่าง ซึ่งแม้ฉันจะอ่านไม่ออกเลยสักตัว แต่มันก็ทำให้ดูเป็นบ้านชั้นสูง ทั้งกระดาษบุหน้าต่างสีขาว กรอบประตูลายดอกไม้ กลอนประตู ไปจนถึงไม้กวาดที่แขวนติดผนังก็ดูเหมือนเป็นของตกแต่งภายในไปหมด รองเท้าแตะสีม่วงที่วางอยู่บนหินรองเหยียบนั่นอีก โอ้โห… แบบเดียวกับของคุณนายฮงกันนันเลยนี่นา

ระหว่างที่ฉันมัวแต่ประทับใจกับเรื่องแปลกๆ คุณชายก็เดินทะลุผ่านประตูด้านในเข้าไปอีก

ดูจากที่ฝั่งตรงข้ามไม่มีประตูแล้ว แสดงว่าตรงที่ฉันอยู่ตอนนี้คือพื้นที่ส่วนในสุดของบ้าน ตรงนี้เรียกว่าอะไรนะ บ้านเล็กหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่า มันคงเป็นที่ที่คุณหนูเจ้าของบ้านอาศัยอยู่กับสาวใช้ชื่อซัมวอลจนถึงวันแต่งงาน  หากอยากจะออกไปดูโลกภายนอก ต้องเดินผ่านประตูถึงสามบาน เคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่งว่าคนสมัยก่อนจะตกแต่งสวนในบ้านเล็กให้สวยเป็นพิเศษเพื่อลูกสาวที่ถูกกักขังให้อยู่ในบ้าน

กลางลานบ้านมีสระน้ำเล็กๆ อยู่ ในสระมีดอกบัวสีขาว สีแดงอยู่ไม่กี่ดอก ริมสระมีก้อนหินวางสุมกัน รอบสระมีหญ้าและต้นไม้ผุดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยสม่ำเสมอ แต่นั่นก็ช่างดูดีเหลือเกิน พออยู่ในบ้านนี้ แม้แต่ถังดับเพลิงก็ยังดูเป็นของแนวเมดิเตอร์เรเนียนได้เลย ฉันเหลือบไปเห็นดอกไม้สีม่วงอ่อนดอกเล็กๆ ที่บานอยู่รวมกัน มันเป็นดอกไม้ที่ฉันรู้จัก แต่มันชื่อดอกอะไรแล้วนะ ใช่ดอกแมกโนเลียหรือเปล่า

ฉันลองดมกลิ่นของดอกแมกโนเลีย แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังแอ๊ดให้ได้ยิน เป็นเสียงคุณชายเปิดประตูไม้สองบานที่อยู่ข้างประตูบานใหญ่ เมื่อเปิดออกมาจึงพบว่ามันคือห้องเก็บของ พื้นของห้องยังเป็นดิน ผนังทุกด้านยกเว้นทางเข้ามีชั้นวางของติดอยู่สองชั้น และมีของวางอยู่จนเต็ม มีโต๊ะเล็กๆ อยู่จำนวนมาก ไม่รู้ว่าเป็นโต๊ะน้ำชาหรือโต๊ะกินข้าว ห้องเก็บของไม่มีหน้าต่าง จึงทั้งมืดและเย็น ให้ความรู้สึกหม่นหมอง บรรยากาศเหมาะให้นายหญิงเจ้าของเรือนด้านใน ผู้แสนขี้หึงจะจับซัมวอลมาขังไว้ แล้วก็ตะโกนโวยวายว่า ‘นังเด็กนี่’ เพราะเกิดหึงที่ซัมวอลไปถูกตาต้องใจนายท่านเข้า

คุณชายเดินเข้าไปหยิบกล่องที่ซ่อนอยู่ในหลืบลึกสุดออกมา ในกล่องมีพู่กัน สีน้ำ สมุดวาดเขียน พอหยิบของออกมาจากในกล่องทีไร ฝุ่นก็จะลอยคลุ้งไปทั่ว ดูแล้วคงจะไม่ใช่ฝุ่นที่เพิ่งมาได้จับแค่เดือนสองเดือน

“ทำไม มีอะไรหรือ”

ฉันถาม แต่คุณชายผู้งดงามดั่งบุปผาก็นิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เชอะ! พวกคนหล่อเนี่ยนะ เขาหยิบผ้าใบที่ถูกห่อไว้ด้วยหนังสือพิมพ์ออกมา ฉันนึกสงสัยว่ามันอาจจะเป็นภาพวาดจึงลอบมองดู

“อย่าจับนะครับ”

เขาดึงมันกลับไป แต่หลังจากนั้นคงจะรู้สึกผิดเลยพึมพำว่า

“มันเป็นของแม่ผม”

ฉันอยากจะสวนกลับไปว่าของแม่แล้วอย่างไร ดูนิดดูหน่อยมันจะสึกหรอหรือ แต่พอเห็นหน้าเขาแล้วก็ไม่อาจโกรธได้เลย

“แม่เธอเป็นจิตรกรหรือ”

“เมื่อก่อน…”

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

เขาไม่ตอบ

ก้นกล่องมีสมุดวาดเขียนวางนอนอยู่ ไม่ใช่ของสำหรับนักวาดมืออาชีพเหมือนชิ้นเมื่อครู่นี้ แต่เป็นสมุดวาดเขียนสำหรับนักเรียน คุณชายคงจะกำลังหาสิ่งนี้อยู่ เขาเปิดสมุด ทั้งภาพคน ภาพวิวถูกเปิดผ่านไป แล้วมันก็ปรากฏขึ้น รูปของจักรยานกับหนุ่มน้อย…

ภาพถูกสเก็ตช์ด้วยดินสอ 2B มีทั้งรูปด้านหน้า ด้านหลัง ตอนกำลังขี่จักรยาน ตอนยืนพิงข้างจักรยาน ทั้งในหน้าต่อไป และหน้าต่อๆ ไปก็ยังคงเป็นรูปจักรยานและหนุ่มน้อยในอิริยาบถต่างๆ

“แม่เธอเป็นคนวาดหรือ”

หนุ่มดอกไม้ส่ายหน้า

“งั้นใครเป็นคนวาด”

ไม่มีคำตอบ ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดเลยนะ เขาเปิดสมุดวาดเขียนต่อ

“ยูซอนฮีเป็นคนวาดครับ”

“ยูซอนฮีคือใคร”

หนุ่มดอกไม้เงยหน้าขึ้นมามองฉันทันที สายตาของเขาราวกับต้องการจะสื่อว่า ‘ไม่รู้จักจริงหรือ’

“ทำไมล่ะ เป็นคนดังหรือ”

“…เธอเป็นลูกสาวบ้านนี้”

“ลูกสาวบ้านนี้แล้วอย่างไร”

คุณชายถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขาจ้องฉันเขม็ง หรือเขาจะคิดว่าฉันโกหก นี่ คุณชาย คนอย่างฉันน่ะนะ ถึงจะเคยแกล้งทำเป็นรู้ ทั้งที่ไม่รู้ แต่ก็ไม่เคยแกล้งไม่รู้ ทั้งที่รู้หรอกนะ

“ลูกสาวบ้านนี้เป็นใครล่ะ” ฉันถามเขาอีกครั้ง แต่มีเสียงเรียก ‘ชังฮีเอ๊ย’ ดังขึ้นมาจากข้างนอกเสียก่อน

หนุ่มดอกไม้เริ่มมีท่าทีลุกลี้ลุกลน

“ออกไปจากตรงนี้ก่อนครับ”

เขายัดอุปกรณ์ศิลปะที่เพิ่งเอาออกมาเมื่อกี้ลงใส่กล่องอย่างลวกๆ

“บอกให้ออกไปไง”

เขาขึ้นเสียงใส่ฉัน หนุ่มดอกไม้กอดกล่องเอาไว้ แล้วหายเข้าไปในห้องเก็บของอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงมีท่าทีแบบนั้น แต่ในเมื่อบอกให้ออกไปก็ไม่มีทางเลือกอื่น ฉันเดินออกมาจากบ้านด้านในอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วเผลอไปสบตากับป้าที่เพิ่งเดินสวนมาจากอีกทางหนึ่ง เธอคงจะเป็นหลานสะใภ้คนโต รุ่นที่สิบเจ็ด ผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลยูแห่งคยองซัน รู้ได้อย่างไรน่ะหรือ ก็เพราะเคยเห็นในงานศพปู่มาก่อน ไม่ว่าจะป้า จะลุง จะแก่ จะหนุ่ม คนที่นี่ต่างก็ผิวคล้ำกันหมด มีแต่ป้าคนนี้ที่หน้าขาวผ่องอยู่คนเดียว ตอนนั้นเธอก็สวมชุดฮันบกประยุกต์เช่นกัน เป็นฮันบกประยุกต์สีเทา แต่วันนี้เธอใส่เสื้อสีขาวฮันบกกับกระโปรงสีฟ้า ดูแล้วลงตัวไปหมด ทั้งชุดฮันบก ทั้งผมที่รวบแล้วเกล้าขึ้น

นายหญิงแห่งเรือนด้านในมองฉันแล้วเอียงคอ

“สวัสดีค่ะ”

ก่อนอื่นต้องชิงทักทายด้วยการประสานมือไว้ที่สะดือ แล้วถามไถ่สารทุกข์สุขดิบก่อน จากนั้นค่อยแนะนำตัวเอง

“หนู…. หนูเป็นหลานสาวตระกูลคังที่อยู่หมู่บ้านเก้ามุมตรงโน้นน่ะค่ะ… บ้านที่ปู่เพิ่งจะตายไปไม่นานนี้…”

แย่แล้ว เผลอพูดคำว่า ‘ตาย’ ออกไปได้อย่างไร แถมยังมาพูดใน ‘บ้านขุนนางอันเป็นสัญลักษณ์แห่งพื้นที่เขตคีโฮ’ ด้วย ถึงฉันจะรีบเปลี่ยนไปใช้คำว่า ‘เสีย’ แทน แต่ความโง่เขลาของฉันมันก็ทะลักออกมากองเต็มไปหมดแล้ว

“ย่าหนูเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ”

“เอ่อ… ก็สบายดีค่ะ…”

“ต้องเจอเรื่องเศร้ากะทันหันแบบนี้ ท่านคงจะเสียใจมาก”

ก็ไม่ใช่เสียทีเดียวหรอก แต่ฉันก็เพียงแค่รวบมือมารวมกันไว้ที่หน้าท้อง แล้วก้มหัวให้ลงต่ำมากที่สุดเท่าที่กระดูกท้ายทอยจะเอื้ออำนวย

ถ้าเป็นแม่ฉัน คงจะถามทันทีว่า ‘มาทำอะไรที่นี่’ แต่นายหญิงแห่งบ้านประจำตระกูลแห่งนี้ช่างแตกต่างจริงๆ เธอเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น ซึ่งเป็นท่าทางของขุนนางที่บอกให้เผยความจริงออกมาเดี๋ยวนี้

“เอ่อ คือหนู… คือว่า…”

แม้ฉันจะอยากบอกความจริง แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร เพราะคุณชายบอกให้เดินเข้ามา ก็เลยตามมา พอเขาบอกให้กลับก็เลยกลับ…

“แม่”

คุณชายปรากฏตัวขึ้นมาข้างหลัง ทั้งหมดนี้ก็เพราะเจ้าหนุ่มดอกไม้ เจ้าเด็กนั่นคนเดียวเลย จะมาไม้ไหนก็ควรนัดแนะกันก่อนสิ

“เห็นพี่เขาเดินมาดูบ้าน… ผมเลยพามาดูข้างในน่ะครับ”

อย่างนี้นี่เอง นี่ฉันเดินมาดูบ้านประจำตระกูลยูสินะ

“คือว่าบ้าน… แบบว่า ดูดีน่ะค่ะ… หลังใหญ่แล้วก็เป็นบ้านโบราณ แถมยัง…”

ฉันรู้สึกว่าควรจะพูดอะไรบ้าง แต่คำที่พูดออกไปช่างไร้ความหมาย ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย ขณะกำลังคิดว่าอยากให้มีใครสักคนมาหยุดฉัน นายท่านเจ้าของบ้านก็ปรากฏตัว! หลานชายคนโต รุ่นที่สิบเจ็ด ผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลยูแห่งคยองซันมาถึงแล้ว คุณชายเพียงแค่ก้มหัวน้อยๆ ไม่สบตาอีกฝ่าย ไม่เหมือนตอนที่เขาออกมารับแม่เมื่อกี้ นิสัยเหมือนเจ้ามูซอกน้องชายฉันไม่มีผิด เฮ้อ พวกลูกชายเนี่ยนะ

“นี่หลานคุณปู่ตระกูลคัง หมู่บ้านเก้ามุมที่เพิ่งเสียไปไม่นานมานี้ค่ะ… แวะมาดูบ้านเราน่ะ”

นายหญิงแนะนำฉันแทนคุณชาย

“ค่อยๆ เดินดูไปนะ”

นายท่านพยักหน้า ทั้งนายท่านและนายหญิงต่างสวมเสื้อแขนยาวกันทั้งคู่ ทำให้ฉันรู้สึกว่ากางเกงขาสั้นสีชมพูของตัวเองสั้นขึ้นไปอีกประมาณคืบหนึ่ง รู้อย่างนี้ใส่ชุดไว้ทุกข์ที่เคยใส่ตอนงานศพปู่มาเสียก็ดี

“นั่งก่อนสิจ๊ะ จะดื่มอะไรไหม…”

นายหญิงชี้ไปที่โถงหน้าบ้าน อันที่จริงตอนนี้ก็กำลังคอแห้งอยู่พอดี หากได้ตอบกลับไปว่า “ขอกาแฟเย็นแก้วหนึ่งค่ะ” ชีวิตฉันก็คงไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่ขืนดึงดันจะนั่งที่โถงหน้าบ้านด้วยการแต่งกายแบบนี้ก็อาจทำให้วัฒนธรรมอันดีงามเสื่อมลงได้ ทั้งที่ฉันอุตส่าห์ตั้งใจจะปฏิเสธให้ดูนอบน้อม แต่คุณชายก็พูดขึ้นมาก่อนว่า

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่เขาจะไปแล้ว กำลังจะกลับพอดี”

นี่มันผลักไสไล่ส่งกันชัดๆ ฉันรีบร้อนบอกลาแล้วเดินออกมาด้วยความระมัดระวัง การเข้าชมบ้านประจำตระกูลยูเริ่มต้นขึ้นอย่างกะทันหัน และจบลงอย่างกะทันหันเช่นกัน ทุกอย่างเป็นไปอย่างฉุกละหุก จังหวะที่ก้าวออกจากประตูบ้าน ฉันรู้สึกโล่งใจจนไม่ทันระวัง ขาจึงไปสะดุดเข้ากับธรณีประตูที่ ‘มีบทบาทและความสวยงามโดดเด่น’ เข้าจนได้ ฉันกางแขนออกเหมือนกังหันลมเพื่อทรงตัว โชคดีที่ร่างกายปราดเปรียว ไม่อย่างนั้นคงได้มีประสบการณ์เฉียดตายต่อหน้าคนบ้านตระกูลยูทั้งครอบครัว

 

 

แวบความทรงจำ 02

ความตายงั้นหรือ…

ความตายครั้งแรกที่เราได้สัมผัสคือตอนอายุเจ็ดขวบ พี่สาวคนโตตายตอนอายุสิบห้า เนื่องจากสมองอักเสบเพราะถูกยุงกัด

พี่สาวคอยดูแลเราแทนแม่ซึ่งมักจะยุ่งอยู่เสมอ ทั้งสระผมให้ ทำกับข้าวให้กิน พาเข้านอน พี่สาวเป็นคนหน้าขาว แก้มเป็นพวง แต่พี่สาวที่เราได้เจอครั้งสุดท้ายซูบผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เธอยื่นมือที่มีแต่กระดูกมาหาเรา แต่เรากลับไม่กล้าจับมือนั้น เพราะรู้สึกว่าหากจับแล้วจะถูกลากเข้าไปสู่ความตายด้วย

ก่อนหน้านั้น เราไม่เคยเชื่อเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องตายเหมือนกัน เรารู้สึกราวกับว่าต่อให้คนทั้งโลกตายไป ก็จะมีเพียงเราที่ไม่ตาย แต่ความตายของพี่สาวทำให้ตระหนักได้ว่าสักวันหนึ่งเราก็ต้องพบกับความตายเช่นกัน วันใดวันหนึ่งเราก็ต้องตาย พอคิดเรื่องนี้ทีไร ลมหายใจก็หอบถี่ทุกที เพราะมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

พออายุมากขึ้น เราเริ่มคุ้นชินกับความตายมากขึ้นทีละนิด มีหลายครั้งที่ได้เห็นความตายของคนรอบข้าง รวมถึงความตายของพ่อแม่ด้วยตาตัวเอง จำนวนครั้งที่ไปงานศพก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความตายไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร เราหันมาเชื่อเรื่องความตายของตัวเองอย่างจริงจัง จากเดิมที่สมัยเด็กเคยจินตนาการถึงมันอย่างคลุมเครือภายใต้ความหวาดหวั่น พอคิดว่าวันนี้จะต้องตายจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันช่างกะทันหันเสียเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นความตายในรูปแบบนี้ เพราะเรา… ถูกฆ่า
03
ฤดูร้อน
ทำไมต้องเป็นตรงนั้นด้วยเล่า
เจ้าเหงื่อบนหลังเอ๋ย

 

“ยูซอนฮีคือใคร”

ย่าถาม แต่ไม่ทันไรก็พูดต่อเองว่า

“อ้อ ซอนฮี! ซอนฮีทำไมหรือ”

คุณนายฮงกันนันกลายเป็นฝ่ายถามฉันกลับ

พอฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟัง ย่าก็บอกว่า

“มันเป็นของซอนฮีนี่เอง”

ย่าพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง จากนั้นก็นิ่งไป แม้แต่มือที่ถือช้อนก็ลืมตักข้าวไปด้วย

“ที่แท้มันก็เป็นของซอนฮี”

ย่าพูดด้วยเสียงแผ่วเบาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง

สรุปว่ายูซอนฮีคือใครกันแน่ เธอเป็นใคร ทั้งหนุ่มดอกไม้ ทั้งย่าถึงได้มีท่าทีอย่างนั้น แค่เอ่ยถึงชื่อยูซอนฮี ใบหน้าของพวกเขาก็เหมือนถูกฝนทับด้วยความเศร้าสร้อย

“จะไม่ให้เศร้าได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ซอนฮีเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง…”

“ทำไมล่ะ เธอไปไหนแล้ว”

“อยู่ดีๆ ก็หายตัวไป”

“หา หายไปตอนไหน”

“ตอนนั้นมันเมื่อไรแล้วนะ… เป็นปีที่มีงานเลี้ยงวันเกิดครบร้อยปีของยายกับจิน เมื่อไรแล้วล่ะ”

คุณนายฮงกันนันนับนิ้ว

“ตอนนั้นเอ็งอยู่ที่นี่พอดี”

“ตอนหนูอายุหกขวบหรือ”

ถ้าเป็นตอนฉันอายุหกขวบ งั้นก็เมื่อสิบห้าปีก่อน

“ไม่ใช่แค่ซอนฮีคนเดียวนะที่หายตัวไป วันนั้นมีเด็กผู้หญิงหายตัวไปพร้อมกันทีเดียวตั้งสี่คน”

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ณ หมู่บ้านทูวังนีที่แสนจะธรรมดา เงียบสงบ แถมไม่มีอะไรน่าสนใจ ยังมีเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนั้นซ่อนอยู่ด้วย แถมในเหตุการณ์นั้นยังมีฉันอยู่อีก

“วันนั้นเป็นวันที่หยุดครึ่งวัน”

วันที่หยุดครึ่งวัน หมายถึงวันเสาร์นั่นเอง

“มียายคนหนึ่งชื่อกับจิน ตอนนั้นใครๆ ต่างก็พากันพูดว่าแกเป็นคนแก่ที่มีบุญ แกมีลูกชายสามคน ลูกสาวสองคน แถมทุกคนมีชีวิตรอดจนถึงตอนโต  พอลูกๆ แต่งงานก็มีหลานชายหลานสาวให้แกได้ชื่นใจอีก ลูกสะใภ้คนโตเป็นคนกตัญญูด้วยนะ ขนาดหน้าร้อนยังหุงข้าวใหม่ร้อนๆ ให้แม่ผัวได้กินวันละสามมื้อ ทั้งยายกับจิน ทั้งคนอื่นๆ ต่างพูดเหมือนกันหมดว่าสมัยนี้มีหม้อหุงข้าวแล้ว แค่เอาข้าวไปอุ่นก็เหมือนได้ข้าวใหม่แล้ว ไม่เห็นจะต้องหุงใหม่ทุกมื้อเลย…”

ถ้าให้สรุปย่อๆ จากเรื่องเล่าของคุณนายฮงกันนันที่ออกทะเลไปสี่ทิศแปดทิศแล้วก็จะได้ความว่า มียายคนหนึ่งชื่อกับจิน สิบห้าปีก่อนมีคนจัดงานวันเกิดให้แก แต่เนื่องจากเป็นวันเกิดอายุครบร้อยปี ทุกคนเลยอยากจะทำให้พิเศษหน่อย

“เขาตกลงกันว่าจะไปแช่น้ำพุร้อน มันเป็นบ่อน้ำพุร้อนเค็ม เห็นว่าเอาน้ำทะเลจากที่ไหนสักแห่งในทังจินมาทำ ว่ากันว่าดีต่ออาการปวดตามเส้นประสาท ทำให้โรคผิวหนังดีขึ้นด้วย… ตอนนั้นเป็นเดือนสิงหา ทุกคนกำลังยุ่ง เป็นช่วงที่ต้องถอนหญ้าในไร่ถั่ว เก็บพริก ไหนจะต้องย้ายกล้าต้นงา หว่านเมล็ดผักกาดอีก…”

มีงานที่ต้องทำเป็นกอง แต่กระนั้นพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านก็พากันนั่งรถทัวร์ไปที่บ่อน้ำพุร้อนเกือบหมด จนแทบจะไม่มีใครอยู่ที่หมู่บ้านเลย

“ทุกคนเอาแต่เที่ยว เอาแต่กิน เฮฮากันทั้งวัน ได้ไปขัดขี้ไคลด้วยนะ กว่าจะกลับมาถึงที่นี่ก็มืดแล้ว ปรากฏว่าเกิดเรื่องนั้นขึ้นพอดี อยู่ดีๆ เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านก็หายตัวไปพร้อมกันสี่คน อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนี้ใช่ไหมล่ะ ตำรวจแห่กันมาเต็ม คนในหมู่บ้านก็พากันเคาะไม้เท้าเดินหาตามเขาลูกโน้นลูกนี้จนทั่วอย่างกับหาเหา…”

หลังกลับมาจากบ่อน้ำพุร้อน เด็กสาวสี่คน รวมถึงยูซอนฮีหายตัวไป แน่นอนว่าผู้คนพากันค้นหาบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้ยังตามหาพวกเธอจนแทบจะพลิกแผ่นดินเกาหลีอยู่หลายเดือน แต่ก็ไร้ประโยชน์

“ลองคิดดูสิ มันต้องเป็นฝีมือภูตผีแน่ๆ มีใครเห็น มีใครได้ยินบ้างไหมล่ะ คนก็พากันพูดไปต่างๆ นานา บอกว่าเด็กที่หายไปเป็นเด็กผู้หญิงหมด น่าจะถูกใครลักพาตัวไป หรือไม่ก็พาไปขายแล้ว แต่ก็มีคนบอกว่าไม่ใช่ เด็กพวกนั้นหนีออกจากบ้านเอง… ตอนหลังมีคนพาร่างทรงมา ร่างทรงชื่อยงฮ็อน ดังจนออกโทรทัศน์เลยนะ มาแล้วก็สั่นกระดิ่งทำพิธี…”

นอกจากตำรวจแล้ว ยังมีร่างทรงมาช่วยตามหาด้วย แต่ก็ไม่พบเบาะแสเพิ่มเติมใดๆ

“ผ่านไปสิบห้าปีแล้วสินะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ… เด็กพวกนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ไหม ข้าก็ไม่กล้าพูดว่ายังอยู่”

ย่าบอก แล้วไม่ทันไรก็พูดต่อ

“ถ้ายังอยู่ ป่านนี้จะอายุเท่าไรกันแล้ว…”

ย่านับนิ้ว

“นอกจากยูซอนฮีแล้ว มีใครหายไปอีก”

“เด็กคนอื่นๆ น่ะหรือ ก็มีเจ้ามีซุก เจ้าบูยอง…”

“ย่าเล่ามาทีละคนสิ มีซุกคือใคร”

“ชื่อยูมีซุก… ตอนเอ็งไปบ้านประจำตระกูลยู พอข้ามสะพานไปแล้ว ขวามือจะมีบ้านหลังหนึ่งที่หลังคาแดงใช่ไหมล่ะ ลูกสาวบ้านนั้นคือมีซุกนี่แหละ เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียว บ้านนั้นก็เป็นคนตระกูลยู… ปู่เจ้ามีซุกน่ะเป็นลูกลับ”

“ลูกลับคืออะไร”

“ไม่รู้จักลูกลับหรือ ก็ลูกเมียน้อยไงล่ะ”

คุณนายฮงกันนันต่อว่าฉัน โดยไม่คิดเลยว่าตัวเองเป็นฝ่ายพูดให้ชวนเข้าใจผิด

“ไม่เอาเรื่องไร้สาระแบบนั้นสิ แล้วมีซุกกับซอนฮีสนิทกันไหม”

“สนิทกับผีน่ะสิ…”

“ทำไมล่ะ ก็บ้านอยู่ใกล้กัน แถมเป็นคนตระกูลเดียวกันด้วย”

“ตระกูลเดียวกันก็จริง… แต่มีซุกเป็นเด็กไม่ค่อยดีเท่าไร”

คุณนายฮงกันนันลดเสียงลง ราวกับกลัวว่าจะมีใครแอบฟังอยู่

“ก็เล่นไปดัดผมเสียหยิกหยอยทั้งหัว แถมยังชอบทาลิปสติกสีแดงแปร๊ด… ทั้งที่ยังเป็นนักเรียนแท้ๆ คนเขาลือกันให้แซ่ดว่าชอบไปไหนมาไหนกับพวกผู้ชายตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อสาว ก่อนจะเกิดเรื่องก็โดนจับได้ว่าไปเที่ยวกับผู้ชาย รู้สึกจะโดนครูหรือตำรวจจับได้นี่แหละ ตอนนั้นยังเป็นสมัยที่โรงเรียนสั่งพักการเรียนหรือไล่นักเรียนออกได้อยู่เลย”

“เธอสวยไหม”

“หน้าตาก็จัดว่าสวยใช้ได้ หน้าเหมือนแม่ ทั้งตาโต ผิวขาว… แต่ก็ยังไม่เท่าซอนฮี”

“ยูซอนฮีสวยขนาดนั้นเลยหรือ”

“ใช่ว่าจะสวยอย่างเดียวนะ”

ก็จริง เพราะดูจากทั้งหลานสะใภ้คนโตของตระกูลยู ทั้งหนุ่มดอกไม้… บ้านประจำตระกูลยูเล่นหน้าตาดีกันทั้งบ้าน

“ซอนฮีไม่ได้หน้าตาสะสวยแค่อย่างเดียว ทั้งกิริยา ทั้งการเดิน การพูดก็สุภาพเรียบร้อยไม่มีใครเกิน ถึงคนจะบอกว่าหมดยุคแบ่งชนชั้นขุนนาง ชนชั้นไพร่แล้ว แต่สายเลือดนั้นมันจะหายไปไหนได้ ซอนฮีน่ะ มองมุมไหนก็เหมือนลูกสาวขุนนาง เวลาเดินสวนกันบนถนน เด็กคนอื่นก็แค่ก้มหัวส่งๆ แล้วเดินผ่านไป แต่ซอนฮีจะหยุดยืนแล้วก็พูดว่า ‘สวัสดีค่ะ คุณย่า’ ‘จะไปไหนคะ คุณย่า’ เลยนะ…”

ย่าถึงขั้นดัดเสียงเลียนแบบเธอด้วย

“จนถึงตอนนี้ข้ายังจำได้อยู่เลยว่ารอยแสกผมของซอนฮีขาวขนาดไหน คนอย่างซอนฮี คิดแล้วก็เสียดายเหลือเกิน ดูแล้วไม่น่าเป็นเด็กที่จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างนั้นเลย”

“อ้าว อะไรกัน ย่าหมายความว่าเด็กคนอื่นๆ จะหายไปก็ได้งั้นหรือ”

“ข้าก็แค่พูดให้ฟังเฉยๆ ขนาดคนนอกอย่างข้ายังรู้สึกแบบนี้ แล้วพ่อแม่ซอนฮีที่มีลูกสาวแค่คนเดียวจะเสียใจแค่ไหน ต่อให้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น หรือต่อให้ตายจริงก็ไม่เหมือนคนที่ตายไปแล้วอยู่ดี… ในบรรดาสี่คนที่หายตัวไป มีตั้งสองคนที่เป็นลูกสาวคนเดียว ทำไมถึงมีแต่ลูกสาวของบ้านที่ไม่มีลูกหลานหายไปก็ไม่รู้ สมัยนั้นคนพูดแบบนี้กันทั้งนั้น”

“เอ๋ ถ้ายูซอนฮีเป็นลูกคนเดียว แล้วหนุ่มดอกไม้ล่ะ”

“หนุ่มดอกไม้คือใคร”

“บ้านนั้นเขามีลูกชายด้วยนี่”

พอลูกสาวคนเดียวหายไป ทั้งพ่อแม่ของยูซอนฮีก็เลยทำการบ้านอย่างหนักจนได้ลูกชายหรือ

“ชังฮีน่ะหรือ เขาเป็นเด็กที่รับมาเลี้ยง เพราะครอบครัวหลานคนโตของตระกูลจะขาดผู้สืบทอดไม่ได้”

เขาไม่ใช่ลูกหลง แต่เป็นลูกบุญธรรมนี่เอง ไม่รู้ว่าเพราะอาศัยอยู่ในบ้านโบราณหรือเปล่า ฉันถึงได้คิดถึงแต่วิธีโบราณไปด้วย

“ไม่งั้นจะให้ทำอย่างไรล่ะ ผู้สืบทอดก็อายุมากแล้ว ก่อนตายก็ต้องตั้งผู้สืบทอดคนใหม่ก่อน ถ้าไม่มีทายาทก็คงนอนตายตาไม่หลับ… แล้วสมัยนั้นเหมือนกับสมัยนี้ที่ไหน ตอนนั้นคนแก่ๆ เขาพากันเรียกซอนฮีว่าคุณหนูกันทั้งนั้น”

“ย่าก็เรียกเธอว่าคุณหนูด้วยหรือ”

“ทำไมข้าต้องเรียก”

คุณนายฮงกันนันกระโดด

“ข้าจะไปเรียกทำไม เราก็เป็นขุนนางเหมือนกัน… โอ๊ย ไอ้พวกแมลงวันพวกนี้ บินมาตอมอยู่ได้”

คุณนายฮงกันนันแผดเสียงใส่แมลงวันที่บินวนอยู่รอบโต๊ะกินข้าว

“มียูซอนฮี ยูมีซุก แล้วมีใครอีก”

“แล้วก็… บูยองด้วย ฮวังบูยอง บ้านตรงสามแยก”

คุณนายฮงกันนันเทน้ำเย็นใส่ชามข้าวที่ยังมีข้าวเหลืออยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง

“ซอนฮีกับบูยองอยู่โรงเรียนเดียวกัน ห้องเดียวกัน ชื่อโรงเรียนมอต้นซันแน…”

“แล้วยูมีซุกล่ะ อยู่คนละห้องหรือ”

“อะไรของเอ็ง มีซุกอยู่มอปลายแล้ว น่าจะปีสองหรือสาม[34]นี่แหละ ส่วนซอนฮีกับบูยองเป็นเด็กมอต้น”

“หนูนึกว่าทุกคนอายุเท่ากันเสียอีก”

“ไม่ แต่ละคนอายุไม่เท่ากันเลย อีกคนหนึ่งยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ชั้นประถม”

“งั้นหรือ แล้วยูซอนฮีสนิทกับคนนั้นไหม คนที่ชื่อบูยอง”

“สนิทที่ไหนล่ะ… ข้าไม่รู้นะว่าตอนอยู่ที่โรงเรียนเป็นอย่างไร แต่อยู่ในหมู่บ้านไม่เคยเห็นสองคนนี้ไปไหนมาไหนด้วยกัน ถึงพวกตำรวจจะบอกว่าสองคนนั้นเคยสนิทกัน แล้วเกิดเรื่องหมางใจกันเลยหนีออกจากบ้าน แต่ก็นะ…”

“แล้วทำไมถึงไม่สนิทกันล่ะ”

“คนเราเป็นเพื่อนกับคนที่นิสัยคล้ายกันทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจะผูกมิตรกับใครหน้าไหนก็ได้สักหน่อย”

คุณนายฮงกันนันตักข้าวที่เอาไปคลุกกับน้ำขึ้นมาช้อนหนึ่ง แล้วคีบกิมจิต้นไชเท้าอ่อนไปวางข้างบน

“บูยองน่ะ พูดง่ายๆ คือเป็นเด็กน่าสงสาร เพราะเป็นคนจิตใจดี… ไม่รู้ทำไมถึงได้อาภัพขนาดนั้นก็ไม่รู้ บ้านก็จนเหลือเกิน พ่อพิการที่เอวแล้วน้องชายก็ยังพิการตั้งแต่เกิดอีก ส่วนพี่สาว… นังเด็กคนนั้นมันเป็นเด็กไม่ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เอาเป็นว่าบ้านนั้นมีแต่คนเป็นแม่ที่พยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด…”

มีคนพิการที่เอว แล้วยังมีคนพิการตั้งแต่กำเนิดอีก…

“บ้านที่ไม่มีประตูตรงสามแยกน่ะหรือ นั่นบ้านบูยองหรือ”

“ใช่น่ะสิ เอ็งได้ฟังที่ข้าพูดบ้างไหมเนี่ย”

อ๋า ถ้างั้นป้านินจาคนนั้นก็เป็นแม่ของฮวังบูยองสินะ

“เล่าถึงไหนแล้ว เอ็งขัดจนข้าลืมเลย”

ย่าด่าฉันอีก

“ช่างเถอะ ตอนนั้นบูยองเรียนอยู่ที่โรงเรียนประถมตรงโน้น มีอยู่วันหนึ่ง น่าจะตอนอยู่ปอสามหรือปอสี่นี่แหละ ข้าเห็นบูยองแบมือแล้วถืออะไรบางอย่างมา เห็นว่าเป็นขนมปังที่ชุบไข่แล้วเอาไปปิ้ง ทำมาจากที่โรงเรียนน่ะ ข้าเลยถามว่า ‘ทำไมไม่กินเสียล่ะ ถือไว้ทำไม’ บูยองตอบว่า ‘จะเอาไปให้แม่ชิมจ้ะ’ บูยองเป็นเด็กนิสัยอย่างนั้นแหละ คิดดูสิว่าตัวเองจะอยากกินแค่ไหน ตอนเห็นเด็กคนอื่นกินได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ แล้วก็อดใจไว้ เพราะอยากเก็บไว้กินกับแม่”

“เป็นเด็กกตัญญูจัง”

“กตัญญูสิ บูยองคิดถึงแต่แม่ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนที่เด็กๆ หายตัวไปช่วงแรก ตำรวจบอกว่า ‘หนีออกจากบ้านเองด้วยความสมัครใจ’ แล้วก็ให้เหตุผลว่ามีซุกหนีตามผู้ชายไป ซอนฮีรู้สึกอึดอัดเพราะที่บ้านปฏิบัติกับลูกชายลูกสาวไม่เท่ากัน ตำรวจบอกว่าบูยองบ้านสามแยกหนีออกจากบ้านเพราะความขัดแย้งภายในครอบครัว แต่ไม่ใช่หรอก  บูยองทำเพื่อแม่ตั้งมายมายแค่ไหน เห็นแม่ตัวเองต้องเหนื่อยอยู่คนเดียวเลยหัดหุงข้าว ซักผ้าเองตั้งแต่เด็ก… คนแบบนั้นจะทิ้งแม่แล้วหนีออกจากบ้านไปได้อย่างไร ไม่มีทาง สมัยนั้นคนในหมู่บ้านก็พูดอย่างนี้กันหมด ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเด็กคนอื่นจะเป็นอย่างไร แต่บูยองไม่ได้หนีออกจากบ้านแน่นอน”

ย่าบอกว่าพอลูกสาวซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่เข้าใจความเหนื่อยยากของตัวเองหายไป แม่ของฮวังบูยองก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่พูดไม่จากับใคร ไม่ยิ้มแย้ม เอาแต่ทำงานอย่างเดียวเหมือนวัว

“บางทีมองไป ข้าก็คิดนะว่านั่นคนตายหรือคนเป็นกันแน่ ไม่ใช่ว่าวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว เหลือแค่เปลือกที่ยังเคลื่อนไหวได้หรอกหรือ…”

นั่นสินะ วันที่เกิดเหตุวุ่นวายเรื่องงา ป้าคนที่นั่งอยู่หน้ารั้วบ้านไม่ให้สุ้มให้เสียงใดๆ เลย ที่แท้ไม่ใช่เพราะมีวิทยายุทธ์เป็นเลิศ แต่อาจเป็นเพราะร่างของเธอไร้วิญญาณ เหลือเพียงแต่เปลือก

“เพราะแบบนั้น แม่ของบูยองเลยมีสติเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว ก็เหมือนเมียอาจารย์นั่นแหละ”

หลังจากพูดออกมา คุณนายฮงกันนันก็เผลอร้องว่า อุ๊ย แล้วชำเลืองมองฉัน

“เมียอาจารย์คือใคร”

“เมียอาจารย์ก็คือเมียอาจารย์น่ะสิ จะใครซะอีก”

“เมียอาจารย์เป็นบ้าหรือ”

“ทำไมเอ็งพูดจาแบบนั้น”

“งั้นต้องพูดว่าอะไรล่ะ”

คุณนายฮงกันนันไม่ตอบ

“แล้วคนสุดท้ายคือใคร ไหนย่าบอกว่าหายไปสี่คน”

“จะใครเสียอีกล่ะ ก็ลูกสาวอาจารย์น่ะสิ เยอึน ลูกสาวอาจารย์โชน่ะ”

“โชเยอึนหรือ ที่ชื่อแปลว่าพระคุณของพระเยซูน่ะหรือ”

“จำได้ด้วยหรือไง”

ฉันจำได้ พี่สาวของเธอชื่อโชฮาอึน แปลว่าพระคุณของพระผู้เป็นเจ้า เธอมีพี่ชายอีกคนหนึ่งด้วย จำไม่ได้ว่าชื่อชันยัง[35] หรือคูวอน[36] แต่เอาเป็นว่าเป็นชื่อแนวนั้นแหละ…

“พี่เยอึนหายตัวไปหรือ จริงหรือ งั้นเมียอาจารย์ที่ย่าบอกว่าเป็นบ้าก็คือภรรยาของอาจารย์โชหรือ พูดจริงหรือเปล่าเนี่ย”

ฉันรู้สึกเหมือนได้ค้นพบความจริงอันยิ่งใหญ่

“ทำไมหนูถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย ทำไมย่าไม่เคยเล่าให้ฟัง”

“ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรที่ควรเอามาเล่า พอคิดถึงตอนนั้นทีไร ข้ายังใจหายวาบอยู่เลย นอนหลับแล้วยังสะดุ้งตื่นขึ้นมาบ่อยๆ…”

คุณนายฮงกันนันกวาดเอาเมล็ดข้าวที่หลงเหลืออยู่ในถ้วยมารวมกันอย่างเชี่ยวชาญแล้วตักเข้าปาก จากนั้นก็เหลือบมองฉันอีก

“นึกไม่ออกจริงๆ หรือ จำไม่ได้สักนิดเลยหรือไง”

จำไม่ได้เลย ทำไมเรื่องสนุกแบบนี้ถึงไม่อยู่ในความทรงจำของฉันเลยนะ แปลกแฮะ อ้อ ที่บอกว่าสนุกหมายถึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่น่ะ บอกเอาไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวจะฟังดูเหมือนฉันชอบเห็นความทุกข์คนอื่น

“ตอนนั้น เอ็งก็เกือบหายตัวไปกับเขาด้วยเหมือนกัน”

“หา จริงหรือ”

เรื่องราวเริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ย่าหันหน้าไปมองที่ลานบ้านคล้ายจะเบือนหน้าหนีฉัน เวลาตอนนี้เลยทุ่มหนึ่งมานิดหน่อย แสงบริเวณลานบ้านยังสว่างอยู่ ทว่า ใบหน้าเหี่ยวย่นของย่ากลับดูหม่นหมอง

“ตอนนั้นหนูอยู่ไหน”

ฉันพยายามเร่งเอาคำตอบ แต่ย่ากลับส่งเสียง “จุ๊ๆๆ” เรียกเจ้าคงออกมาจากใต้ถุนบ้าน แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้โยนด้วยการก้างปลาให้มัน

“หนูถามว่าทำไมหนูถึงเกือบหายไป”

“เดิมที วันที่เราไปบ่อน้ำพุร้อน ข้ากับปู่กะว่าจะทิ้งเอ็งไว้ที่บ้าน ให้เอ็งไปเล่นกับพวกเด็กผู้หญิงในโบสถ์”

คุณนายฮงกันนันลอบสังเกตท่าทีฉันอีกครั้ง

“ลองคิดดูสิ จะไม่ให้ข้าทิ้งไว้ได้อย่างไร ก็พวกผู้ใหญ่ไปแช่น้ำร้อน กินข้าว กินเหล้ากัน พาเด็กเล็กไปด้วยก็จะรบกวนคนอื่นเปล่าๆ ก่อนวันนั้นยังบอกเอ็งอยู่ว่า ‘ปู่กับย่าจะไปธุระ เอ็งไปเล่นกับพวกพี่สาวที่โบสถ์เสียนะ’ แล้วเอ็งก็ตอบว่า ‘จ้ะ’ เฮ้อ พอคิดถึงตอนนั้นทีไร…”

แม้จะผ่านไปสิบห้าปีแล้ว แต่พอพูดถึงเรื่องนี้ ย่าก็คงจะคอแห้งขึ้นมาเลยดื่มน้ำเย็นดังอึกๆ

“แล้วอยู่ดีๆ คืนนั้นเอ็งก็บอกว่าจะไปด้วย ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ตีแล้วก็ไม่ฟัง พอไม่มีวิธีอื่นเลยต้องพาเอ็งไปด้วย”

หรือว่าคังมูซุนรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อันตราย

“มารู้เอาทีหลังว่าเอ็งเข้าใจผิดไปไกลเลย ข้าก็นึกอยู่ว่าทำไมวันต่อมาเอ็งลุกมาหาห่วงแต่เช้า วุ่นวายไปหมด”

“ห่วงอะไร”

“ก็ไอ้ที่เอาไว้เล่นน้ำไง ห่วงน่ะ”

“อ๋อ ห่วงยาง”

“ก็ใช่น่ะสิ ห่วงนั่นแหละ เอ็งใส่ห่วงไว้ที่เอวตั้งแต่ตอนนั่งรถทัวร์ เกะกะคนเดินผ่านไปมา… พอไปถึงที่โรงอาบน้ำก็หาว่าพวกผู้ใหญ่โกหก ร้องไห้ฟูมฟายว่าไหนบอกจะพาไปชายหาด… ตอนนั้นข้ายังคิดเลยว่าเอ็งน่ะน่ารำคาญ รอให้กลับไปถึงบ้านแล้วจะจัดการสั่งสอน แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น  โธ่ พระเจ้า พระพุทธเจ้า ยายซัมชิน[37]เอ๋ย”

คุณนายฮงกันนันพูดขอบคุณศาสดาของแต่ละศาสนาอย่างมั่วซั่ว แต่สำหรับฉันแล้ว แทนที่จะรู้สึกขอบคุณ กลับรู้สึกแปลกมากกว่า ชีวิตที่แสนจะธรรมดาของฉันมีเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้ซ่อนอยู่ด้วยหรือเนี่ย

“แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ”

“จะเป็นอย่างไรล่ะ พอได้ยินว่าพวกเด็กๆ หายไป แถมในนั้นยังมีลูกสาวอาจารย์อยู่ด้วย ปู่ก็รีบโทรไปหาพ่อเอ็งน่ะสิ… บอกให้มารับเอ็งกลับไป พ่อเอ็งไม่รู้เรื่องราวทางนี้ ก็ถามว่ามีอะไร ถ้าอยากให้มารับกลับก็จะมาช่วงเสาร์อาทิตย์ แต่ปู่เอ็งไม่ยอม สั่งว่าให้มารับมูซุนกลับไปตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าเลย… ตอนหลังพ่อเอ็งมาบอกว่า นึกว่าเอ็งไปก่อเรื่องอะไรไว้ เฮ้อ ถ้าตอนนั้นปู่กับข้าทิ้งเอ็งไว้ที่บ้านจะเป็นอย่างไร”

“ก็ดีน่ะสิ จะได้ไม่ต้องเห็นหนูโตมาเป็นคนขี้เกียจ”

“หนวกหูน่ะ”

คุณนายฮงกันนันแกว่งไม้ตบแมลงวันใส่ฉัน คำพูดกับการกระทำของย่าแตกต่างกันลิบลับ แล้วไม้ตบแมลงวันอันนี้ก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้ตบแมลงวันเมื่อกี้ด้วย

วันต่อมาหลังเกิดเหตุ ปู่กับย่ารีบส่งฉันกลับไปอยู่โซล แล้วหลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกหลายปี

“ปู่สั่งพ่อเอ็งไว้ว่าจะวันหยุดเทศกาลหรือวันเกิดก็ไม่ต้องมา ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ให้มา แต่ไม่ต้องพาลูกมาด้วย ส่วนหนึ่งเพราะกลัว แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวลามาบ้านเราต้องผ่านโบสถ์ ถ้าเมียอาจารย์มาเห็นเอ็งเข้า เขาจะรู้สึกอย่างไร มีแต่จะทำให้รู้สึกผิดเปล่าๆ…”

ฉันกลับมาที่ห้องหลังล้างจานข้าวมื้อเย็นเสร็จ แต่ปรากฏว่าย่านอนหลับไปเรียบร้อยแล้ว ฉันเห็นย่านอนหนุนแขนด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสบายเท่าไรนักจึงเอาหมอนไปให้หนุน ย่าค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ย่ายังไม่หลับหรือ”

“หลับอะไรกันเล่า…”

“แล้วทำไมมานอนตรงนี้แล้วล่ะ”

“ก็เอ็งนั่นละ ยกเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดจนข้าปวดหัว” ว่าแล้วย่าก็หลับตาลงอีกครั้ง

ฉันใช้เท้าเขี่ยเจ้าคงที่นอนอยู่ใต้ถุนบ้าน มันส่ายหางท้าทาย

จำได้ว่าเคยได้ยินพ่อกับแม่กระซิบกระซาบคุยอะไรบางอย่างกันเกี่ยวกับทูวังนีและบ้านหลังนี้ แต่พอเห็นฉันเดินไปใกล้ก็จะหยุดพูดทันที พอถามว่ามีอะไรก็อิดออดจนฉันเดาไปเองว่ามันคงเป็นเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความหึงหวง เรื่องของคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันในหมู่เครือญาติ หรือไม่ก็เรื่องแนวๆ สิบแปดบวก แต่มันกลับไม่ใช่ พ่อกับแม่กลัวแม้กระทั่งการเอ่ยถึงเรื่องที่ฉันเกือบกลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย หากตอนนั้นมีอะไรผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว

พอหันไปมองใบหน้าของย่าที่นอนอยู่ข้างๆ ฉันก็ตระหนักได้ว่าพลังของแรงโน้มถ่วงมีอยู่จริง ทั้งแก้มและฟันปลอมของย่าย้อยลงมา ใบหน้าตอนย่าเรียกเจ้าคงแล้วโยนก้างปลาให้เมื่อกี้ รวมถึงใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ของย่าในเวลานี้ดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก

“ปวดมากหรือเปล่า หนูไปเอายาให้ไหม”

ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังออกมาอย่างสม่ำเสมอ โธ่ ไอ้เราก็อุตส่าห์เป็นห่วง

 

ฉันยืนอยู่ใต้ต้นพลับที่ลานหน้าบ้าน แล้วทอดสายตาลงไปยังหมู่บ้านด้านล่างที่ดวงอาทิตย์กำลังตก มันเงียบสงัดเหมือนเป็นฉากในภาพวาดอย่างเคย ไม่มีใครเดินผ่าน ไม่มีใครพูดคุยกัน ฉันเคยคิดว่าทำไมละแวกนี้ถึงเงียบและน่าเบื่อได้ขนาดนี้ แต่ไม่อยากเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่แบบนี้ซ่อนอยู่… ไม่ว่าจะคนหรือหมู่บ้านก็มองแค่ภายนอกอย่างเดียวไม่ได้จริงๆ

คดียังไม่คลี่คลาย แม้จะผ่านมากว่าสิบห้าปีแล้ว ทั้งตำรวจ นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ รวมถึงชาวบ้านเคยพากันมามุงดูแถวนี้จนแน่นขนัด แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องลึกลับที่ไม่เจอแม้แต่รองเท้าข้างเดียว ไม่มีเบาะแส ไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์ แน่นอนว่าที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะวันเกิดเหตุ ในหมู่บ้านแทบจะไม่มีคนอยู่

อ๊ะ! ฉันรู้แล้วว่าคนร้ายคือใคร

ฉันเขย่าตัวย่าให้ตื่น

“เป็นอะไรของเอ็ง”

คุณนายฮงกันนันทำหน้ามุ่ย ก่อนจะลืมตาขึ้น

“ยายคนที่จัดวันเกิดอายุครบร้อยปี”

“ยายกับจินน่ะหรือ ทำไม”

“วันเกิดก็ส่วนวันเกิดสิ ทำไมต้องไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน แถมยังพาคนทั้งหมู่บ้านไปด้วยอีก”

“เพราะลูกบ้านนั้นมีเงิน แล้วก็กตัญญูไงล่ะ”

“หนูว่ามันเป็นแค่เหตุผลบังหน้าเท่านั้นแหละ ยังมีเหตุผลจริงๆ ซ่อนอยู่ แกตั้งใจให้ที่หมู่บ้านไม่มีคนต่างหาก”

“หมายความว่าอย่างไร”

“จุดที่สำคัญคือยายแกอายุร้อยปี คนเรายิ่งแก่ก็ยิ่งกลัวความตายใช่ไหม ดูอย่างฉินสื่อหวง[38]สิ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองไม่ตาย เลยคิดจะทำยาวิเศษจากตับเด็กเพื่อให้ตัวเองเป็นอมตะ เหมือนคนขี้เรื้อนสมัยก่อนที่กินตับเด็กแล้วก็หายป่วย…”

เหตุการณ์ต่อจากนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก กว่าฉันจะรู้ตัวว่า ‘โอ๊ย โดนตี’ ก็หลังจากที่คุณนายฮงกันนันคว้าไม้ตบแมลงวันมาฟาดลงบนต้นขาของฉันแล้ว สงสัยต้องหาทางเอามันไปทิ้งซะที

“พูดอะไรระวังปากหน่อย ยายแกตาย หลังจากพวกเด็กๆ หายตัวไปได้ไม่ถึงเดือน”

ตายเพราะอาการข้างเคียงของยางั้นหรือ

“แกบอกว่าแกเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่อง แล้วตัวเองก็ว่าใช้ชีวิตอยู่มานานแล้ว เลยไม่ยอมกินข้าวกินปลา แล้วก็ตายไปทั้งอย่างนั้น ก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง แกยังแข็งแรงอยู่เลย ตื่นตั้งแต่เช้ามืด แถมยกกระโถนออกไปล้างเองทุกวัน… วันที่เราไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน ยังพูดกันอยู่เลยว่าแกเป็นยายแก่มีบุญ เพราะก่อนเราจะไปฝนตกตลอด แดดไม่ออกสักวัน แต่อากาศวันนั้นกลับเป็นใจ… พอเด็กๆ หายตัวไป แกไม่ยอมกินข้าว กะจะตัวเองอดตาย พอรู้เรื่องข้าเลยแวะไปดูแกที่บ้านครั้งหนึ่ง เฮ้อ ไม่อยากเชื่อว่าคนเราจะผอมแห้งได้ขนาดนั้น ซูบอย่างกับไม้เสียบลูกชิ้น แกลืมตาไม่ขึ้น หายใจดังฟืดฟาด แล้วก็พูดได้แค่ทีละคำ เสียงเบาเหมือนยุง… แกบอกว่าอยากตายเร็วๆ… เฮ้อ ไม่รู้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในหมู่บ้านเราได้อย่างไร…”

คุณนายฮงกันนันสูดน้ำมูก ก่อนจะแกว่งไม้ตบแมลงวันอีกครั้ง

“แต่เมื่อกี้เอ็งว่าไงนะ คนอย่างแกน่ะหรือจะจับเด็กไปกินตับ”

ฉันว่าฉันคงจะตายเพราะไม้ตบแมลงวันนั่นเข้าสักวัน ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ทำไมต้องทำร้ายกันด้วย

ตอนที่เกิดเรื่องคงจะมีคนคิดแบบฉันเหมือนกัน ถึงจะไม่ใช่เรื่องยาวิเศษที่ทำให้เป็นอมตะ แต่ก็น่าจะมีคนที่พากันซุบซิบนินทาว่าเพราะชวนกันไปทำเรื่องไร้สาระอย่างเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนกันเลยเกิดเรื่อง เรื่องใหญ่ขนาดนี้คงอยากจะโยนความผิดให้ใครสักคน

มีสิ่งหนึ่งที่ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง นั่นคือยายซงกับจินไม่ได้อายุร้อยปี แกอายุเก้าสิบเก้าต่างหาก วันเกิดร้อยปีต้องจัดล่วงหน้าหนึ่งปี เห็นว่าว่าอักษรที่อ่านว่า แพ็ก ซึ่งแปลว่าหนึ่งร้อยมันทำไมสักอย่างกับแพ็กที่แปลว่าสีขาวนี่แหละ ฉันฟังแล้วไม่เข้าใจ

 

คืนนั้นฉันฝันว่าถูกยายแก่ผมขาวคนหนึ่งวิ่งไล่ตลอดทั้งคืน ถ้าถูกจับได้จะโดนควักตับไป ฉันวิ่งผ่านสามแยก ถนนเก้ามุม เนินมัลอูจีเหมือนในละครต่อสู้จนสุดท้ายเข้าไปหลบในไร่ถั่วได้ ยายผมขาวเรียก “มูซุนเอ๊ย มูซุนเอ๊ย” แล้วเดินเข้ามาใกล้… พอฉันลืมตาตื่นขึ้นมาก็ตัวแข็งทื่อ

“ทำไมวันนี้ตื่นเช้าล่ะ”

เป็นการตื่นเช้าที่แม้แต่คุณนายฮงกันนันยังประหลาดใจ ตอนนี้เป็นเวลา 8 โมง 20 นาที! ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ฉันอาจจะกลายเป็นมนุษย์ที่ตื่นเช้าจนเป็นนิสัยก็ได้นะ

 

หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ฉันลองเดินไปที่โบสถ์ มีผลส้มกลิ้งอยู่ใต้ต้นส้มบริเวณทางเข้า คังมูซุนในวัยหกขวบเคยเด็ดส้มที่ยังไม่สุกดีมาเล่นเหมือนเป็นลูกบอล ทั้งขยำ โยน กลิ้งไปกลิ้งมา พอผลส้มแตกจะมีกลิ่นหอมลอยออกมาด้วย ฉันก้มหยิบส้มสีเขียวที่ตกลงพื้น ต้นส้มในเวลานี้ก็ดูน่าเป็นห่วงไม่น้อย กิ่งก้านที่ควรจะเป็นสีเขียว บัดนี้กลายเป็นสีน้ำตาลอมเทา สีแห่งความตาย! อา คนจากไปแล้ว ต้นส้มเองก็กำลังจะตายเช่นกันสินะ! ฉันเดินขึ้นไปตามถนนทางเข้า รู้สึกสะเทือนใจ ปลายจมูกร้อนผ่าวขึ้นมา รู้หรอกน่าว่าไม่สมจริง ก็แค่อยากลองทำเหมือนในละครดู

พอเห็นโบสถ์ ฉันก็เผลออุทานออกมาว่า ‘อ๊ะ’ โดยไม่รู้ตัว หากต้นส้มอยู่ในสภาพกำลังจะตาย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าโบสถ์ได้ตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าความทรงจำในอดีตของฉันถูกโฟโต้ช็อปหรืออย่างไร แต่เมื่อสิบห้าปีก่อน สถานที่แห่งนี้เคยเปล่งประกายระยิบระยับมาก่อน หลังคาเป็นสีเขียวเงาวับ หน้าต่างสะท้อนแสงแดด ดอกพงซ็อนกับดอกหงอนไก่ที่นี่สีสวยกว่าที่อื่น ทั้งที่ชาวบ้านปลูกกันแทบทุกบ้าน ทว่า ตอนนี้ทุกอย่างกลับเลือนรางไปหมด  สีบนหลังคาซีดจาง หน้าต่างมีแต่คราบสกปรก หน้าต่างหลายบานที่แตกมีแผ่นไม้ตอกปิดไว้แทนกระจก ดินในลานที่เคยวิ่งเล่นตอนเด็กทั้งร่วนและเป็นประกาย แต่ตอนนี้มันกลายเป็นดินหยาบๆ ทับถมกันขึ้นมา เมื่อก่อนตรงนี้เคยมีแสงแดดส่อง… แต่หลังจากเกิดเหตุเคราะห์ร้ายขึ้น แสงแดดก็คงไม่ส่องลงมาแล้ว ลานหน้าโบสถ์มีตะไคร่น้ำเกาะจนเขียวครึ้ม เราเคยเล่นตั้งเตกันตรงนี้ เคยวาดรูป แล้วก็กระโดดยางด้วย…

โชเยอึน พี่เยอึน ถึงแม้จะอายุห่างกับฉันเพียงแค่สองปีก็เถอะ

“เด็กหกขวบทำไม่ได้หรอก”

ตอนเล่นกระโดดยาง เธอให้ฉันเป็นคนจับยางตลอด ตอนเล่นพ่อแม่ลูกก็ชอบให้ฉันเล่นเป็นลูก ทั้งที่ฉันอยากเล่นเป็นแม่หรือแขกที่มาบ้านเหมือนกัน จริงสิ สถานที่ที่ฉันได้ลิ้มรสก้นของมดยักษ์ก็คือลานตรงนี้เอง พี่เยอึนบอกว่าก้นของมดยักษ์มีรสเปรี้ยว แล้วบอกให้ฉันลองแลบลิ้นเลียดู พอฉันทำตาม เธอก็ล้อว่า “มูซุนจูบก้นมด มูซุนจูบก้นมด”

อ๊ะ นี่ฉันเอาแต่พูดเรื่องไม่ดีของคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เราน่าจะมีความทรงจำดีๆ ต่อกันอยู่บ้างนะ… อ้อ ฉันเคยเรียนวิธีทำให้แมลงปอแต่งงานกันจากพี่เยอึนด้วย เราจับแมลงปอมา แล้วตัดปลายหางของมันออก หางของมันกลวงเหมือนหลอดดูดน้ำ จากนั้นก็เอาหญ้าเข้าไปเสียบในนั้น แล้วแมลงปอก็จะบินอย่างงกๆ เงิ่นๆ จากไปโดยมีหางที่เสียบหญ้าเอาไว้… อะไรกัน! นี่มันอำมหิตสุดๆ เลยนี่ ตอนเด็กฉันเคยหัวเราะชอบใจด้วย…

พอเราเล่นกันไปได้สักพัก ภรรยาอาจารย์ก็จะมาเรียก แล้วแบ่งของว่างให้กิน ภรรยาอาจารย์แตกต่างจากป้าที่อยู่บ้านนอกคนอื่นๆ เพราะปกติป้าคนอื่นจะเอาต็อกคลุกผงถั่วหรือมันฝรั่งนึ่งมาให้กินเป็นของว่าง แต่ภรรยาอาจารย์ทำแพนเค้กหรือโทสต์ให้ ป้าคนอื่นสวมกางเกงทำนาตัวหลวมหรือกระโปรงเวียดนาม มีแค่ภรรยาอาจารย์ที่สวมชุดเดรส ซึ่งเป็นชุดที่เธอตัดเองกับมือ เธอยังตัดชุดแบบเดียวกันให้ลูกสาวทั้งสองคนด้วย ทั้งที่ทุกคนก็เป็นป้าเหมือนกัน แต่มีเพียงภรรยาอาจารย์เท่านั้นที่แตกต่างออกไป

ภรรยาอาจารย์เป็นคนเล่นออร์แกนตอนนมัสการ เธอจะมอบขนมช็อกโก้พายให้กับเด็กที่จำบทสวดมนต์ของสัปดาห์นั้นได้คนละอัน คังมูซุนในวัยหกขวบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบทสวดมนต์ประจำสัปดาห์คืออะไร แต่อยากกินช็อกโก้พายมากๆ จึงร้องไห้ฟูมฟายตลอดช่วงนมัสการ

“อันนี้ให้ล่วงหน้านะจ๊ะ เพราะฉันรู้ว่าอาทิตย์หน้าหนูมูซุนต้องตั้งใจท่องบทสวดมนต์มาแน่ๆ”

ภรรยาอาจารย์แอบยัดช็อกโก้พายใส่มือฉันโดยไม่ให้เด็กคนอื่นๆ เห็น อย่าว่าแต่อาทิตย์หน้าเลย ผ่านไปสิบห้าปีแล้ว จนถึงบัดนี้ฉันก็ยังจำบทสวดมนต์ไม่ได้อยู่ดี

ห้องนมัสการซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของกระจกมีสภาพเละเทะ ฝุ่นสะสมเป็นชั้นหนา มีรอยเท้าของสัตว์ป่า เก้าอี้หักนอนกองกันอยู่ที่พื้น… อาจารย์เป็นอย่างไรบ้างนะ เขาย้ายออกไปจากที่นี่เพราะไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในละแวกที่ลูกสาวหายตัวไปหรือเปล่า

เมื่อคืนนี้ คุณนายฮงกันนันบอกว่าปวดหัวแล้วเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่พอถึงเวลาสองทุ่มยี่สิบห้า ย่าก็ตื่นขึ้นมาทันที แล้วหลังจากนั้นก็เอาแต่จดจ่อกับการดูละคร พอฉันถามถึงเรื่องหลังเกิดเหตุ ย่าก็ตอบกลับว่า

“เอ็งเงียบไปก่อน ไอ้คนชั่วนั่นมันมีแผนอะไร ทำไมมันทำแบบนั้น”

ชีวิตจริงของคนที่นี่ยิ่งกว่าละคร เห็นแบบนี้ย่ายังอยากจะดูละครไร้สาระอีกหรือ พอฉันเห็นผู้จัดการฝ่ายวางแผนคิดแผนการตื้นๆ ที่แม้แต่เด็กประถมยังดูออก แล้วยังคอยตามรังควานคนอื่นก็รู้สึกสังเวชขึ้นมา ยิ่งพอเห็นพระเอกนางเอกตกหลุมพรางนั้นก็ยิ่งสังเวชเข้าไปใหญ่ สุดท้ายฉันเลยออกไปเล่นกับเจ้าคงแทน พอกลับมาคุณนายฮงกันนันก็นอนกรนไปเรียบร้อย ถ้าให้ย่าไปแข่งกับคานต์ แม้เรื่องปรัชญาจะไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่ถ้าเป็นเรื่องเวลาก็คงสูสีกันจริงๆ นั่นแหละ

 

โบสถ์อยู่ในสภาพเละเทะ แต่บ้านของอาจารย์ยังมีร่องรอยของผู้อยู่อาศัยอยู่บ้าง มีผ้าตากอยู่บนเชือกที่ขึงไว้ ประตูปิด  แต่ไม่ได้ล็อก พอฉันดันเบาๆ มันก็แง้มออก ที่ที่เคยรองน้ำใส่กะละมัง แล้วลงไปเล่นโดยใส่แค่กางเกงในตัวเดียวคือตรงก๊อกน้ำประปาตรงนั้นหรือเปล่านะ ข้างก๊อกน้ำมีดอกพงซ็อนบานอยู่ จะว่าไปแล้ว คนที่เคยบอกว่าให้ใส่ใบลงไปตอนเอาดอกพงซ็อนมาทำสีย้อมเล็บก็คือภรรยาอาจารย์นี่เอง ในตอนนั้น หลังจากเอาแป้งเปียกมาทาตรงขอบเล็บให้แล้ว ภรรยาของอาจารย์ก็เอาดอกพงซ็อนมาวางโปะไว้ด้านบน

“เมื่อไรฮาอึน เยอึน แล้วก็คุณหนูจากโซลจะได้มีความรักครั้งแรกกับเขาน้า”

คุณหนูจากโซล พอได้ยินภรรยาอาจารย์เรียกฉันด้วยชื่อนั้นทีไร ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนสำคัญขึ้นมา ว่ากันว่าหลังจากสูญเสียลูกสาวคนเล็กไป ภรรยาอาจารย์ก็เสียสติไปเลย ตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนแล้ว ในหัวของฉันมีความคิดว่าอยากเจอกับไม่อยากเจออยู่อย่างละครึ่ง ถ้าภรรยาอาจารย์ได้เห็นฉัน เธอจะพูดอะไร หรือเธออาจไม่อยากเจอฉัน เพราะทำให้นึกถึงพี่เยอึน แต่ถ้าถึงขั้นเสียสติไปแล้ว ก็อาจจำไม่ได้ว่าฉันเป็นใคร

คนที่อาศัยอยู่บ้านนี้ตอนนี้ก็คงจะมีลูกเหมือนกัน เพราะตรงผนังไม้หน้าบ้าน มีภาพดาวจักรราศีติดไว้ อาชีพในฝันของลูกบ้านนี้คงจะเป็นนักดาราศาสตร์ นักบินอวกาศ หรืออะไรเทือกนั้นล่ะมั้ง อาชีพในฝันของพี่เยอึนคือ ‘ภรรยาอาจารย์’ ตอนที่เธอบอก ภรรยาอาจารย์กับพี่เยอึนหัวเราะ พอเห็นแบบนั้นฉันก็หัวเราะตามไปด้วย แต่พี่เยอึนกลับต่อว่าฉันคนเดียว

อา พอเถอะ ถ้าย้อนคิดถึงอดีตมากกว่านี้ น้ำหูน้ำตาคงได้พากันไหลออกมาหมดแน่

ก่อนกลับฉันหันไปมองโบสถ์อีกครั้ง ถนนทางเข้าที่มีต้นส้มยังมีป้าคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนยืนอยู่ เธอกำลังมองมาทางนี้พอดี เธอจะเห็นตอนที่ฉันเดินออกมาจากโบสถ์หรือเปล่า ฉันควรไปถามไหมว่าอาจารย์ย้ายไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ก็ไม่อยากพูดเรื่องภรรยาอาจารย์และพี่เยอึนกับคนแปลกหน้า เพราะแม้มันจะเป็นเหตุเคราะห์ร้าย แต่สำหรับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง มันก็เป็นแค่เรื่องที่เอามาเล่าสู่กันฟังอย่างสนุกปากเท่านั้น

คุณนายฮงกันนันกำลังนั่งแกะเปลือกต้นมอวีอยู่ที่ริมโถงหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยางของมอวีหรือเปล่า ปลายนิ้วย่าถึงได้ดำสนิท ย่าใช้ปากดึงเปลือกที่ติดปลายนิ้วออก แล้วถามว่า

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

ไม่ถึงกับไม่สบาย แต่ฉันแค่ท่องโลกแห่งความทรงจำมากไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวจริงๆ หรือการท่องความทรงจำ หากไปไกลเกินไป พอกลับมาแล้วก็จะเหนื่อย ฉันนอนลงที่โถงไม้ แล้วมองดูท้องฟ้าที่อยู่เหนือหลังคาบ้าน

คุณนายฮงกันนันเดินออกไปทิ้งเปลือกมอวีข้างนอก พลางพูดว่า

“กำลังคนเราก็เหมือนกับบ่อน้ำนั่นแหละ ยิ่งใช้ก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช้เลยก็จะเหือดแห้งไป”

ดูเหมือนว่าตอนนี้ย่าจะเริ่มยอมรับความขี้เกียจของฉันได้แล้ว

ในวันเกิดเหตุเมื่อสิบห้าปีก่อน หากคังมูซุนในวัยหกขวบไม่สับสนระหว่างชายหาดกับบ่อน้ำพุร้อนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น คังมูซุนจะหายไปด้วยหรือเปล่า หรือไม่อย่างนั้นอาจไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโชเยอึนเลยก็ได้ ชีวิตของคนเราพลิกผันได้ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ

“นั่นชังฮีไม่ใช่หรือ”

สงสัยจะมีแขกมาบ้าน แม้จะไม่รู้ว่าชังฮีเป็นใคร แต่ไม่ใช่แขกของฉันแน่ ให้ออกไปรับแขกด้วยอารมณ์แบบนี้ก็กระไรอยู่ ฉันกะจะหลบเข้าไปอยู่ในห้อง แต่แล้วหนุ่มดอกไม้ก็เดินตามคุณนายฮงกันนันเข้ามาในบ้าน

“ชังฮีมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ”

คุณนายฮงกันนันถามออกมาตรงๆ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะนั่งลงเสียอีก ประโยคที่ย่าบอกว่าเราเป็นขุนนางเหมือนกันน่ะโกหกทั้งเพ นายหญิงบ้านตระกูลยูแห่งคยองซันไม่ได้รับแขกแบบนี้สักหน่อย

“ผมมีเรื่องจะถามพี่เขาน่ะครับ”

“ถามมูซุนน่ะหรือ เรื่องอะไร”

ย่ารับหน้าที่สอบสวน

“ถามวิชาเลขครับ ผมแก้โจทย์แล้วมีตรงที่ไม่เข้าใจ…”

“อะไรกันนี่ ไม่อยากจะเชื่อหู คนอย่างมูซุนไม่น่าสั่งสอนใครได้นะ”

ย่านี่ก็

ฉันพาหนุ่มดอกไม้ไปนั่งที่แคร่ใต้ต้นพลับ พอเขายื่นมือไปลูบเจ้าคง มันก็กระดิกหางใหญ่อย่างไม่เก็บอาการ สงสัยหมาจะชอบของสวยๆ งามๆ เหมือนกัน หนุ่มดอกไม้หยิบหนังสือโจทย์เลขออกมาจากกระเป๋า

“นี่ พ่อหนุ่ม!  ไม่ได้จะอวดวีรกรรมนะ แต่ฉันคนนี้บอกลาวิชาเลขตั้งแต่ตอนเรียนเรื่องเมตริกซ์ สมัยมอหนึ่งแล้ว”

“ไม่ต้องห่วง ผมเอามาใช้บังหน้าเฉยๆ”

สิ่งที่หนุ่มดอกไม้หยิบออกมาจากกระเป๋าพร้อมหนังสือโจทย์เลขคือ ‘จักรยานกับหนุ่มน้อย’

“นี่ของที่ลืมไว้เมื่อวาน”

“นายเอาไปเถอะ”

หนุ่มดอกไม้มองหน้าฉัน

“ฉันได้ยินเรื่องยูซอนฮีมาจากย่าแล้ว เพราะงั้นนายเก็บมันไว้ดีกว่า”

ฉันดันตุ๊กตาไม้คืนไปทางหนุ่มดอกไม้

“เรื่องเมื่อวานน่ะ… คือแม่กับพ่อผมไม่ชอบให้พูดถึงยูซอนฮี…”

ฉันกะแล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น บาดแผลส่วนใหญ่อาจทุเลาลงได้ด้วยการปลอบใจ แต่หากเป็นบาดแผลสาหัสสากรรจ์ แค่มีคนเอ่ยทักขึ้นมาก็ทรมานแล้ว

หนุ่มดอกไม้กดดินสอกดดังแก๊กๆ จนไส้ดินสอโผล่ออกมายาว จากนั้นเขาก็ดันมันให้ย้อนกลับขึ้นไปอีกครั้ง

“จำอะไรเกี่ยวกับยูซอนฮีไม่ได้เลยหรือครับ”

“จำไม่ได้นะ…”

“ไหนว่าเคยฝังหีบสมบัติด้วยกัน”

“ไม่ได้บอกว่าฝังด้วยกัน… แค่เดาว่าอย่างนั้นเฉยๆ เป็นการคาดเดาโดยใช้เหตุผลรอบข้างน่ะ”

หนุ่มดอกไม้ก้มลงมองหนังสือโจทย์เลขด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใครผ่านมาเห็นคงคิดว่าเขากำลังแก้โจทย์ที่ยากน่าดู

“ทำไมนายถึงเรียกยูซอนฮีเฉยๆ ไม่เรียกพี่ล่ะ”

“พี่อะไรกัน… ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอเลย”

“ย่าบอกว่ารอยแสกผมของเธอขาวมาก”

หนุ่มดอกไม้มองหน้าฉัน

ฉันเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากคุณนายฮงกันนันเมื่อวานนี้ให้เขาฟัง ทั้งเรื่องที่ว่าเดินๆ อยู่แล้วเจอผู้ใหญ่ก็จะหยุดเดินเพื่อทักทาย เรื่องกิริยามารยาทที่สมกับเป็นลูกสาวบ้านขุนนาง เรื่องที่คนในหมู่บ้านต่างพากันเรียกเธอว่าคุณหนู

“คนอื่นเรียกนายว่าคุณชายบ้างไหม”

หนุ่มดอกไม้ทำเสียง เฮอะ ออกมาทางจมูก

“แล้วมีเรื่องอะไรอีกครับ ยูซอนฮีเรียนเก่งไหม”

“เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็ถามย่าฉันดูสิ ถึงแกจะชอบลืมว่าเมื่อกี้เปิดเตาแก๊สต้มอะไรทิ้งไว้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนยังจำได้แม่นทุกฉากเลยล่ะ ฉันไปเรียกให้เอาไหม”

“ไม่ต้องครับ”

“ทำไมล่ะ”

หนุ่มดอกไม้ทำหน้าเหมือนโกรธ ทั้งที่ไม่มีอะไรให้โกรธ จากนั้นก็เหม่อมองไปมองทางอื่นครู่หนึ่ง

“แม่กับพ่อไม่ชอบให้พูดเรื่องยูซอนฮี”

เขาพูดเรื่องเมื่อกี้ขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ชอบให้ผมถาม ไม่ชอบให้คนอื่นพูดเรื่องนี้ด้วย บ้านเราไม่มีของของยูซอนฮีเหลืออยู่สักชิ้น รูปของเธอก็เอาไปเผาหมด… ที่ยังเก็บสมุดวาดเขียนเล่มนั้นไว้ เพราะพวกเขานึกว่ามันเป็นของแม่ ผมบังเอิญไปเจอเข้าพอดีน่ะ พ่อแม่ผมคิดว่ายูซอนฮีตายไปแล้ว”

บรรยากาศตึงเครียดจนฉันไม่กล้าพูดเรื่องตลก แต่ก็ไม่มีเรื่องอื่นที่อยากพูดด้วย จึงมองลงไปตามทางของถนนเก้ามุมแทน

“ชุดนักเรียนชุดนี้… เป็นชุดของโรงเรียนผมเมื่อสิบห้าปีก่อน”

หนุ่มดอกไม้ใช้นิ้วลูบที่หน้าอกของตุ๊กตาหนุ่มน้อย

“นี่ชุดนักเรียนหรือ เธอรู้ได้ยังไง”

“ผมไปดูอัลบั้มรูปที่โรงเรียนมา”

“ไม่ได้ปิดเทอมอยู่หรือ”

หนุ่มดอกไม้ไม่ตอบคำถามของฉัน เขาพูดเรื่องของตัวเองต่อ

“ของชิ้นนี้น่าจะมีต้นแบบมาจากคนจริงๆ ว่าไหมครับ”

ฉันอยากจะเมินคำถามของเขากลับบ้าง แต่ใบหน้าที่งดงามดังดอกไม้นั่นกำลังรอคำตอบอยู่…

“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้”

ฉันพยักหน้าตามไปด้วย

คุณนายฮงกันนันเดินถือต้นมอวีที่แกะเปลือกแล้วออกมา หนุ่มดอกไม้แสร้งทำเป็นแก้โจทย์ ส่วนคุณนายฮงกันนันก็แสร้งทำเป็นเอาต้นมอวีมาตาก ดวงตาคู่เล็กของย่าเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง หนุ่มดอกไม้รอจนย่าเดินกลับเข้าไป แล้วพูดต่อว่า

“ตอนทำตุ๊กตาตัวนี้ ยูซอนฮีจะนึกถึงใครกันนะครับ”

“ไม่รู้สิ”

“อุตส่าห์ทำจนเสร็จแล้ว ทำไมถึงเอาไปฝังไว้ใต้ดิน”

“ไม่รู้แฮะ…”

“ในเมื่อเธอหายตัวไปหลังจากฝังมันได้ไม่นาน งั้นน่าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันนะครับ ว่าไหม”

“นั่นสินะ…”

“พูดอะไรสักอย่างสิครับ”

เล่นถามแต่คำถามที่ฉันไม่รู้ แล้วยังคาดคั้นคำตอบอีก คุณชายนี่ก็นะ

“ทำไมนายถึงสงสัยขึ้นมาล่ะ”

“ก็… แล้วพี่ไม่สงสัยหรือ”

“ต่อให้สงสัย… แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เรื่องมันตั้งสิบห้าปีมาแล้ว แถมยังเป็นคดีลึกลับ ขนาดตำรวจแห่มาดูกันทั้งกรมยังไม่ได้คำตอบเลย ป่านนี้แล้ว เราจะทำอะไรได้ล่ะ”

ฉันเย็นชาเกินไปหรือเปล่านะ หนุ่มดอกไม้ได้แต่ก้มหน้านิ่ง ในฐานะที่ฉันเป็นผู้นิยมชมชอบหนุ่มหล่อ พอเห็นภาพตรงหน้าก็เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน

“มีเบาะแสอยู่อย่างหนึ่ง แต่ฉันไม่รู้จะเรียกว่าเป็นเบาะแสได้หรือเปล่า”

หนุ่มดอกไม้เงยหน้าขึ้น

“บ้านนายมีอักษรจีนเขียนอยู่หลายที่ เคยได้ยินคำว่าดาอิมแกซุลบ้างไหม”

“ดาอิมแกซุลงั้นหรือ”

“ไม่มีสำนวนจีนสี่พยางค์แบบนี้อยู่บ้างเลยหรือไง”

หนุ่มดอกไม้พึมพำคำว่า ‘ดาอิมแกซุล ดาอิมแกซุล’ ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง

“เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก…”

หนุ่มดอกไม้แก้ไม่ได้ทั้งโจทย์เลขและปริศนา เขาบรรจงเก็บของใส่กระเป๋า ก่อนเดินจากไปยังพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า

“ยูซอนฮีหนีออกจากบ้านเพราะผม”

ต่อไปนี้เป็นการสรุปเหตุการณ์โดยคุณนายฮงกันนันเมื่อคืนก่อน! ช่วงแรกที่เกิดเรื่อง ตำรวจสันนิษฐานว่าเด็กผู้หญิงทั้งสี่คนหนีออกจากบ้าน และสาเหตุมีดังต่อไปนี้ ยูมีซุกหนีไปเพราะเรื่องแฟน ฮวังบูยองหนีไปเพราะความขัดแย้งภายในครอบครัว โชเยอึนหนีไปเพราะการบ้านช่วงปิดเทอม และยูซอนฮีหนีไปเพราะขัดแย้งกับพ่อแม่เรื่องรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม!

หนุ่มดอกไม้เดินห่อไหล่ออกไปเหมือนที่พวกเด็กหนุ่มตัวสูงส่วนใหญ่ชอบทำกัน

 

 

 

[1] อาหารเกาหลีประเภทหนึ่ง เป็นการนำผักสดหรือผักลวกไปห่อวัตถุดิบอื่นๆ ให้เป็นคำแล้วรับประทาน

[2] ซอสหมักของเกาหลี ทำจากถั่วเหลือง มีลักษณะคล้ายเต้าเจี้ยว

[3] ประกันประเภทหนึ่งในเกาหลี ช่วยจัดการงานศพและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเมื่อผู้ถือประกันเสียชีวิต

[4] ช่วงเวลาที่ทดเพิ่มเข้าไปในปฏิทินจันทรคติเพื่อปรับจำนวนวันให้ใกล้เคียงกับปฏิทินสุริยคติ คนเกาหลีเชื่อกันว่าในช่วงนี้เทพเจ้าจะหยุดสอดส่องโลกมนุษย์ จึงกระทำสิ่งที่ไม่เป็นมงคลได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเทพเจ้าลงโทษ เช่น การตัดผ้าห่อศพหรือย้ายหลุมศพบรรพบุรุษ

[5] อาหารเกาหลีประเภทหนึ่ง ทำจากแป้ง

[6] อิมมานูเอล คานต์ (Immanuel Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมันที่มักออกจากบ้านในเวลาเดิมทุกวันจนกลายเป็นดั่งนาฬิกาบอกเวลาให้คนอื่นๆ

[7] หน่วยวัดปริมาตร สิบทเวเท่ากับหนึ่งมัล หนึ่งมัลเท่ากับประมาณสิบแปดลิตร

[8] ตำนานสร้างชาติของเกาหลีกล่าวว่าในอดีตกาลมีหมีกับเสือไปร้องขอต่อเทพฮวันอุงว่าอยากเป็นมนุษย์ ฮวันอุงจึงสั่งให้บำเพ็ญเพียรด้วยการกินซุกและกระเทียมทุกวันเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน แต่เสือถอดใจไปกลางคัน จึงมีเพียงหมีที่ได้กลายเป็นมนุษย์ผู้หญิง และให้กำเนิดกษัตริย์คนแรกของเกาหลีในเวลาต่อมา

[9] ชื่อผักประเภทหนึ่งในวงศ์เดียวกับโกฐจุฬาลัมพา

[10] ดอกไม้ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นพวงสีแดง เด็กเกาหลีเล่นย้อมเล็บด้วยการเอาดอกพงซ็อนไปผสมน้ำแล้วเอามาพันหรือโปะทิ้งไว้บนเล็บ

[11] นักแสดงชาวเกาหลี เคยรับบทบุรุษไปรษณีย์หนุ่มที่ทำงานอยู่บนเกาะทางใต้สุดของเกาหลีในภาพยนตร์เรื่อง My mother, the Mermaid

[12] ผู้หญิงที่ทำงานให้ความบันเทิงแก่ชนชั้นสูงในสมัยโชซอน มีความสามารถทางศิลปะและกวี ครั้งหนึ่งเธอได้แต่งกลอนว่าค่ำคืนเดือนสิบเอ็ดช่างยาวนานเสียจนอยากฉีกช่วงเวลานั้นออกมาเก็บไว้ใต้ผ้าห่ม เพื่อเอาไปใช้ยามคนรักมาหา

[13] กวางขนาดเล็ก มักพบในจีนและเกาหลี

[14] อุปกรณ์สำหรับพื้นดินที่แข็ง ปลายด้านหนึ่งแหลม ปลายอีกด้านหนึ่งแบน

[15] บ้านของตระกูลที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านลูกชายคนโต

[16] บ้านของขุนนางระดับสูงสมัยโชซ็อนจะมีขนาดใหญ่ได้มากที่สุดถึงเก้าสิบเก้าช่อง ซึ่งเป็นการนับช่องที่อยู่ระหว่างเสา

[17] คนเกาหลีมีบุคคลที่นามสกุลซ้ำกันจำนวนมาก แต่สถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นตระกูลอาจแตกต่างกัน

[18] หลานชายคนโตของตระกูลมีบทบาทสำคัญที่สุดในบ้าน เนื่องจากเป็นผู้นำในการทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และยังเป็นคนที่คอยดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้านให้เป็นไปอย่างราบรื่น

[19] ช่วงที่อากาศร้อนที่สุดในฤดูร้อน

[20] การละเล่นของเกาหลี ผู้เล่นคนหนึ่งจะพูดคำว่า ดอกชบาบานแล้ว คนที่เหลือจะต้องรีบวิ่งมาแตะตัวคนพูดให้ได้ แต่หากคนพูดหันกลับไปมองแล้วมีคนขยับ จะต้องกลายมาเป็นตัวประกัน

[21] กระเป๋าขนาดเล็กทำจากผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย มักจะมอบให้เด็กๆ ช่วงปีใหม่เพื่อขอให้มีโชคตลอดทั้งปี

[22] ทฤษฎี Push and pull กล่าวว่าการตีตัวออกห่างในบางครั้งจะยิ่งทำให้คนสองคนได้ใกล้ชิดมากขึ้น

[23] ในภาพยนตร์เรื่องขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ตอนศึกอภินิหารครูเสด อินเดียน่า โจนส์ต้องตามล่าหาจอกศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู

[24] ชื่อโครงการพัฒนาชนบทในช่วงปี 1970 ให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของตน โดยมีรัฐเป็นผู้สนับสนุน

[25] เสื้อของชุดฮันบก ทำจากผ้าป่าน คนเกาหลีสมัยก่อนมักสวมใส่ในฤดูร้อน

[26] คำเรียกพื้นที่ที่อยู่ตรงกลางและฝั่งตะวันตกของประเทศเกาหลีใต้

[27] ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาสีเขียวในสมัยโครยอ (ค.ศ.919-1392) ทำจากดินเหนียวเคลือบเงา

[28] ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาสีขาวในสมัยโชซ็อน (ค.ศ.1392-1910) ทำจากดินสีขาว และทาสารเคลือบใส

[29] ชื่อยี่ห้อวิตามินเสริมอาหาร

[30] จากเรื่องนกสีฟ้า(The children’s blue bird) แต่งโดยโมริซ เมเตอร์ลิงก์ เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องที่ออกเดินทางตามหานกสีฟ้า เพราะเชื่อว่ามันจะนำความสุขมาให้ แต่แท้ที่จริงแล้วนกสีฟ้าอยู่ในกรงที่บ้านมาตลอด

[31] ผักชนิดหนึ่งของเกาหลี มีชื่อเรียกว่า Fuki หรือ Butterbur มักใช้ใบหรือลำต้นที่แกะเปลือกออกแล้วมาทำอาหาร

[32] ตำนานของเกาหลีเล่าว่าในอดีตมีหญิงสาวยากจนคนหนึ่งถูกส่งให้ไปแต่งงานกับครอบครัวเศรษฐี แม่สามีบอกให้เธอหุงข้าวแค่ครั้งเดียวเพราะไม่อยากให้มีข้าวเหลือ แต่หม้อข้าวมีขนาดเล็กเสียจนหลังจากเธอตักข้าวให้ครอบครัวของสามีแล้วไม่มีข้าวเหลือให้ตัวเอง เธอไม่กล้าขัดคำสั่งแม่สามีจึงนอนร้องไห้ และตายไปด้วยความหิวโหย แล้วได้เกิดใหม่เป็นนกเค้าแมว

[33] ข้อความในคัมภีร์ไบเบิ้ล มัทธิว 22:21

[34] ชั้นมัธยมปลายของเกาหลีมีสามปี เริ่มตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสาม

[35] แปลว่า การสรรเสริญ

[36] แปลว่า การช่วยให้รอด

[37] ชื่อเรียกเทพเกาหลีที่ให้ช่วยดลบันดาลให้คู่สามีภรรยามีบุตร และช่วยคอยดูแลเด็กในบ้าน

[38] จักรพรรดิคนแรกในราชวงศ์ฉินของจีน

 

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า