The Witcher II ช่วงเวลาแห่งการปรามาส Time of Contempt Andrzej Sapkowski เขียน ต้องตา สุธรรมรังษี และธนพร ภู่ทอง แปล ติดตามการวางจำหน่ายได้ที่เพจ แพรวสำนักพิมพ์ (ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) บทที่ 1 เวลาคุยกับผู้สมัครวัยหนุ่มสาว เอเพลแกตต์มักจะบอกว่าผู้ขี่ม้าส่งสาร จำเป็นต้องมีคุณสมบัติสองประการ ได้แก่สมองทองคำกับบั้นท้ายเหล็กสมองทองคำนั้นสำคัญมาก เอเพลแกตต์สอนว่ากระเป๋าหนังคาดหน้าอกที่ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์จะมีเพียงสารไม่สำคัญ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะไปปรากฏบนเอกสารหรือจดหมายอันตรายที่ไหน สิ่งสำคัญจริง ๆ คือสารลับ สารที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ผู้ส่งสารต้องท่องจำให้ขึ้นใจและถ่ายทอดแก่ผู้รับด้วยคำพูดเท่านั้น คำต่อคำ และบางครั้งสารเหล่านั้นก็จำยาก อย่าว่าแต่จะจำให้ได้เลย แค่ออกเสียงยังลำบาก หากผู้ส่งสารต้องการท่องจำและถ่ายทอดโดยไม่มีข้อผิดพลาด เขาก็ต้องมีสมองทองคำ ส่วนประโยชน์ของบั้นท้ายเหล็กนั้น โอ เดี๋ยวผู้ส่งสารก็จะได้เรียนรู้เอง เมื่อเขาต้องนั่งบนหลังม้าสามวันสามคืน ควบตะบึงไปตามถนนไกลเป็นร้อยหรือสองร้อยไมล์ บางช่วงอาจไม่มีถนนด้วยซ้ำ เมื่อนั้นแหละบั้นท้ายเหล็กคือสิ่งจำเป็น ไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีใครตะบี้ตะบันนั่งบนหลังม้าได้โดยไม่หยุดพัก […]
Category Archives: Fiction
ฮิซาดะ ทัตซึกิ เขียน ฉัตรขวัญ อดิศัย เเปล (ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) *ติดตามวันวางจำหน่ายได้ทางเพจ “เเพรวสำนักพิมพ์”เร็วๆนี้* ———————————————————— ปฐมบท ท้องฟ้าสีครามแผ่กว้างที่เจิดจ้าจนแสบลึกในดวงตา มองลงไปเห็นทะเลสาบสีฟ้าสดท่ามกลางวงล้อมของทิวเขาสีเขียวเข้ม คลื่นสีเงินที่สะท้อนแสงตะวันดูประดุจฝูงนกหัวโต เสียงร้องของนกป่าดังสะท้อนมาจากไกล ๆ นกอะไรก็ไม่รู้ ร้องเสียงแหลมเนิ่นนาน เพ่งดูแต่ก็หาไม่เจอ ยอดคลื่นละม้ายนกหัวโตรวมฝูงบนผิวน้ำเกิดความปั่นป่วนชั่วแวบ ประหนึ่งตอบรับเสียงใบไม้เสียดสีกันของต้นไม้ซึ่งเรียงเป็นทิวแถวอยู่ห่างไกล กลิ่นเขียว ๆ ลอยมาตามสายลมพัด ครู่นั้นฉันเคลิ้มมองภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปตามทะเลสาบเขื่อน มองทะลุไปใต้ผิวน้ำสีน้ำเงินออกดำอยู่เงียบ ๆ ฉันกระซิบว่า อยู่ใต้ผิวน้ำนั่นอย่างไรล่ะ เสียงหอนเศร้าของสุนัขดังแว่วมาแต่ไกล… “ทะเลสาบเขื่อนในชิคุโฮ” ที่นี่…แถบชิคุโฮซึ่งอยู่ตอนเหนือของจังหวัดฟุคุโอกะแห่งนี้ มีข่าวลืออย่างหนึ่ง นั่นคือ มีหมู่บ้านจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนในชิคุโฮ กระทั่งในปัจจุบัน ชาวบ้านที่ตายไปก็ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น แล้วบางครั้งก็ออกมาร่อนเร่บนผืนพิภพ มีคนเล่าด้วยว่า พวกเขากรูกันออกมาจากแถวอุโมงค์เก่าใกล้เขื่อน มีคนเคยเจอกลุ่มชาวบ้านในชุดกิโมโนโบราณไล่กวด เพราะอะไรคนเหล่านั้นจึงหลงวนเวียนอยู่ในโลกนี้ล่ะ มีตำนานเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้คนเล่าลือกันนั้น ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับความจริงด้วย “เพราะฆ่าชาวบ้านทุกคนที่ต่อต้านการก่อสร้างเขื่อน แล้วทำให้หมู่บ้านจมอยู่ใต้น้ำน่ะสิ” แต่การก่อสร้างเขื่อนกับเหตุหมู่บ้านจมลงใต้น้ำเกิดขึ้นในยุคโชวะ[1] เหตุการณ์แบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว เดิมที เท่าที่ดูจากเอกสารที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่พบว่ามีข้อผิดพลาดอะไรในการก่อสร้างเขื่อน คนส่วนใหญ่คิดว่า […]
โค่นล้ม The Institute (ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) ———————————————————— ข้อมูลจากศูนย์เพื่อเด็กหายและถูกฉวยผลประโยชน์แห่งชาติระบุว่า ในสหรัฐอเมริกามีการแจ้งเด็กหายกว่า 800,000 คนต่อปี ส่วนใหญ่พบตัว หลายพันคนหาไม่พบ ———————————————————— 1 ครึ่งชั่วโมงหลังเลยกำหนดเวลาที่เที่ยวบินสายการบินเดลตาของทิม เจมีสัน จะต้องเหินฟ้าออกจากแทมปาไปหาแสงสีและตึกสูงของนิวยอร์ก มันยังจอดนิ่งอยู่หน้าประตู เมื่อเจ้าหน้าที่ของเดลตาและหญิงผมบลอนด์ซึ่งมีป้ายฝ่ายรักษาความปลอดภัยคล้องคอเข้ามาในห้องโดยสาร ก็มีเสียงบ่นพึมล่วงหน้าดังจากมาผู้โดยสารที่อัดแน่นโถงที่นั่งชั้นประหยัด “โปรดฟังทางนี้ครับ!” เจ้าหน้าที่ของเดลตาส่งเสียงเรียก “จะออกช้าแค่ไหนล่ะ” มีคนถาม “ไม่ต้องฉอเลาะกลบเกลื่อน” “เครื่องดีเลย์ไม่นานครับ กัปตันขอแจ้งให้ผู้โดยสารวางใจว่าเที่ยวบินจะเดินทางถึงที่หมายใกล้เคียงกำหนดเดิม แต่เรามีเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำเป็นต้องขึ้นเครื่องด้วย จึงต้องขอให้ผู้โดยสารบางท่านสละที่นั่งครับ” เสียงฮึ่มฮั่มดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน ทิมเห็นหลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเผื่อเกิดเรื่อง สถานการณ์แบบนี้เคยเกิดเรื่องกันมาแล้ว “เดลตาแอร์ไลน์สได้รับมอบหมายให้เสนอตั๋วฟรีไปนิวยอร์กในเที่ยวบินถัดไป ซึ่งก็คือพรุ่งนี้เช้าเวลา 6:45 น…” เสียงฮึ่มฮั่มดังอีกรอบ มีคนพูดว่า “มายิงฉันสิ” เจ้าหน้าที่ยังคงพูดต่อไปไม่สั่นคลอน “ท่านจะได้รับบัตรกำนัลที่พักสำหรับคืนนี้ พร้อมเงินสี่ร้อยดอลลาร์ ถือเป็นข้อเสนอที่ดีนะครับ มีใครสนใจบ้างไหม” ไม่มีใครเอาด้วย เจ้าหน้าที่ผมบลอนด์ไม่พูดอะไร เพียงกวาดมองห้องโดยสารชั้นประหยัดด้วยสายตาเท่าทันทว่าเย็นชาชอบกล “แปดร้อย” ชายผู้เป็นเจ้าหน้าที่เดลตาเอ่ย “พร้อมบัตรกำนัลที่พักกับตั๋วอภินันทนาการ” “พูดจาอย่างกับพิธีกรเกมโชว์” ชายคนที่อยู่แถวหน้าทิมแค่นเสียง ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ “พันสี่ล่ะครับ” […]
นิยายจีนโบราณ ลิขิตรักข้ามปรภพ ที่เต็มไปด้วยความรักและการเสียสละ อ่านแล้วจะเข้าใจถึงความรู้สึกที่เรียกว่า ‘หวานอมขม’ เป็นอย่างดี เรื่องราวของยายเมิ่งผู้เคี่ยวนำแกงในปรโลก เธอเป็นเทพที่ไร้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ทว่าวันหนึ่งความรู้สึกเหล่านั้นกลับเข้าสู่ร่างของเธอด้วยเหตุบังเอิญ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้มีความรู้สึกและเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์บางอย่างอีกด้วย เรื่องราวที่ผสานตำนานลงในนิยายได้อย่างลงตัว ลิขิตรักข้ามปรภพ เต็มไปด้วยความเชื่อของจีนมากมาย ทั้งความเชื่อเรื่องด้ายแดง ความเชื่อเรื่องชะตาลิขิต ความเชื่อเรื่องภพภูมิหลังความตาย อย่างน้ำพุเหลืองและสะพานอนิจจังที่เป็นเส้นทางส่งดวงวิญญาณในโลกหลังความตาย ทั้งหมดนี้ถูกนำมาเป็นฉากและเป็นจุดเชื่อมโยงของเรื่องได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีการตีความตัวละครขึ้นใหม่อย่างตัวละคร ‘ยายเมิ่ง’ หรือ ‘เมิ่งเหนียง’ ให้ไม่ใช่หญิงชราอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่รูปโฉมที่แท้จริงเธอคือหญิงสาว ทำให้เรื่องราวมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะยายเมิ่งที่ทุกคนรู้จักนั้นไร้เจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา แต่ในนิยายกลับทำให้ยายเมิ่งได้ความรู้สึกทั้งหมดคืนมา ชวนให้เนื้อเรื่องน่าติดตามว่าคนที่เคยไร้ความรู้สึก หากมีความรู้สึกขึ้นมาเป็นครั้งแรกจะเป็นอย่างไรกันนะ? คู่พระเอก-นางเอก ที่แตกต่างกันสุดขั้ว คู่พระนางของเรื่องนี้ นอกจากจะมาจากตำนานเทพเซียนแล้ว ทั้งคู่ยังมีความโดดเด่นเฉพาะตัวอีกด้วย นางเอกอย่างยายเมิ่งมีลักษณะเป็นคนใจเย็น นิ่งเฉย และเชื่อในกฎของสวรรค์ ส่วนพระเอกอย่างหลงอวี้กลับเป็นคนที่หัวแข็ง มีความคิดเป็นของตนเอง และเชื่อมั่นใจในการกระทำของตัวเองสูง ทำให้เห็นว่าตัวเอกทั้งสองนั้นแตกต่างกันมาก มากจนเกือบจินตนาการไม่ออกว่าจะมาลงเอยกันได้อย่างไร ถ้าหากบอกว่านางเอกอย่างยายเมิ่งเป็นน้ำ อวี้หลงบุตรแห่งแดนมังกรก็คงจะเป็นไฟ ถึงจะแตกต่างกันมาก แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นความแตกต่างที่ลงตัว เพราะเมื่อทั้งสองตัวละครได้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ บรรยากาศรอบข้างก็คล้ายจะเต็มไปด้วยความอบอุ่น แถมยังมีฉากพัฒนาความสัมพันธ์ทีละนิด รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าทั้งสองดูเหมาะสมกันซะแล้ว เรื่องราวที่นำเสนอมุมมองความรักหลากรูปแบบ นอกจากตัวละครที่มีความแตกต่างกันแล้ว ลิขิตรักข้ามปรภพยังนำเสนอ คำว่า ‘ความรัก’ […]
มาแล้วค่ะกับ EP2 ของ ซีรีส์นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ ซีรีส์ที่สร้างจากนิยายขายดีจาก แบมแบม ที่ตอนก่อนหน้านี้จบลงไปด้วยความหมองขุ่นระหว่างเฮียเหลียน (ซี พฤกษ์ พานิช) และคู่หมั้นคนน่ารักหนูเกื้อ (นุนิว ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์) ที่ประกาศออกไปว่าจะขอถอนหมั้นและจะไม่รักเฮียอีกต่อไป! วันนี้มาดามโรสเลยพาทุกคนมาเทียบความเป๊ะปังกันต่อเลยค่ะ เริ่มต้นที่ความเป๊ะแรก กับความเศร้าของหนูเกื้อที่อัดแน่นอยู่เต็มอก เพราะสำหรับหนูเกื้อแล้วเฮียเหลียนเป็นแรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตหลายอย่างของเกื้อมาตลอด ก็รักขนาดนั้น ยอมให้เป็นทุกอย่างขนาดนั้น เขาผิดอะไรวะที่รักเฮียเต็มหัวใจ พยายามเป็นคนที่ดีมาตลอด แต่ก็เพิ่งจะเข้าใจคำที่บอกว่า…เพราะความรักไม่ใช่รางวัลของความดี ในช่วงแรกของ ซีรีส์นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ EP2 จึงเต็มไปด้วยความเศร้าจนมาดามอยากจะเดินไปกอดปลอบหนูเกื้อ เฮียคนไม่ดี! ทำไมทำแบบนี้กับลูกมาดาม ความเป๊ะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะหลังจากนั้นหนูเกื้อก็เริ่มปฏิบัติการ “เปลี่ยนแปลงตัวเอง” ให้เป็นเกื้อ กีรติ ไม่ใช่หนูเกื้อของเฮียเหลียนอีกต่อไป! เปิดตัวว่าตัวเองคือ “คิริน” นักร้องที่ปิดหน้าอยู่ตลอด จากนั้นก็อยู่ปาร์ตี้ในผับต่อ แบบที่อยากทำมานาน เป็นหนูเกื้อที่ไม่ต้องมีโลกสองใบ จะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ และไม่จำเป็นต้องทำตัวดีเพื่อใครอีกต่อไป แน่นอนว่าจุดนี้มาดามเชียร์ลูกน้อยสุดหัวใจ และความเป๊ะที่ทำเอามาดามยิ้มไม่หุบ เขินบิดเป็นเกลียวขนมอบกรอบชนิดหนึ่ง คือตอนที่เฮียเหลียนมาตามง้อ(?) ตามเด็กในปกครองกลับบ้าน แล้วเกิดการทะเลาะกับกรุบกริบ หลังจากนั้นเฮียเหลียนได้ทำการฉุดกระชากไม่ลากแต่แทบจะอุ้มพาหนูเกื้อรถไปบนรถ แต่ก่อนจะขึ้นรถก็เกิดการพูดคุยกันเบาๆ แบบที่ทำเอามาดามอยากกลายร่างเป็นมอสอยู่ในหลืบแนวกาวกำแพงกันเลยทีเดียว! “ห้ามยิ้ม” “ไม่ชอบให้เฮียยิ้ม?” […]
GAME OF THRONE VS THE WITCHER มหากาพย์แฟนตาซีเรื่องไหนคือที่สุดแห่งยุค? อันเดรย์ ซาพคอฟสกี เคยกล่าวถึง เจ อาร์ อาร์ มาร์ติน ว่า “ผมซาบซึ้งในผลงานของเขา และมหากาพย์ศึกชิงบัลลังก์มาก เพราะเต็มไปด้วยตัวละครที่น่าจดจำ แต่เมื่อผมถามเขาว่า ‘ทำไมถึงต้องฆ่าตัวละครทั้งที่คนดูชอบ’ มาร์ตินกลับตอบว่า ‘ก็เพราะผมชอบให้มันเป็นแบบนั้นไง’ ซึ่งผมค่อนข้างไม่เห็นด้วย เพราะคนอ่านคงไม่รู้สึกแบบนั้นแน่นอน” ช่วงปี 2011 – 2019 ถือเป็นยุคที่ ซีรีส์ GOT (GAME OF THRONE) ของช่อง HBO ครองเมืองโดยแท้ เพราะออกฉายแทบทุกปี ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่ชื่อนี้ปรากฏในทุกสื่อและทุกวงสนทนา และถึงแม้ซีรีส์ช่วงท้ายๆ จะมีกระแสตอบรับที่ไม่ดีนัก แต่มหากาพย์แฟนตาซีเรื่องนี้ก็การันตีความสำเร็จด้วยยอดผู้ชมสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการโทรทัศน์ ! ความโด่งดัง GAME OF THRONE เล่มแรกตีพิมพ์ในปี 1996 ได้รับรางวัล LOCUS AWARD, […]
ซาโกะ ไอซาวะ เขียน ธนพล ศักดิ์สมุทรานันท์ เเปล (ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) ———————————————————— อารัมภบท ความตายอันมิอาจหลบเลี่ยงกำลังมาเยือน “อยากให้อาจารย์ช่วยตามหาคนร้ายที่ฆ่าลูกสาวของดิฉันค่ะ” สุภาพสตรีเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยคำนั้น เมื่อเห็นดวงตาของเธอ ชิโร่ โคเก็ทสึ สัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ซึ่งคล้ายจะเป็นชะตาลิขิต ลางสังหรณ์ที่บ่งบอกว่าความตายอันไม่อาจต่อต้านกำลังคืบเคลื่อนมาพร้อมเสียงฝีเท้า ไล่ประชิดไปยังที่แห่งนั้นโดยไม่รอช้า ดวงตาของสุภาพสตรีฉายแววเศร้าหมองและโกรธแค้นซึ่งไม่รู้จะระบายสู่ที่ใด นี่คือฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณบูธที่นั่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในร้านกาแฟอันคุ้นเคย บนโต๊ะมีเอกสารเกี่ยวกับคดีต่อเนื่องคดีหนึ่งที่เธอรวบรวมมาด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถ เอกสารเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมอำพรางศพต่อเนื่องที่สร้างความโกลาหลไปทั่วภูมิภาคคันโต[1]ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา จากข้อมูลที่ปรากฏชัดในตอนนี้ชี้ให้เห็นว่า ฆาตกรสังหารหญิงสาวไปแล้วอย่างน้อยแปดราย เขาไม่เคยทิ้งหลักฐานไว้แม้แต่เศษเสี้ยว การสืบสวนของตำรวจเป็นไปอย่างยากลำบาก แม้พยายามดำเนินการอย่างต่อเนื่องและแข็งขัน แต่ผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการสืบสวนทุกคนต่างเผยสีหน้าสิ้นหวัง โอดครวญว่าฆาตกรเคลื่อนไหวราววิญญาณดับสูญหรือกระทั่งยมทูต ใช่ มันคือวิญญาณร้ายที่นำความตายมาเยือน ปราศจากรูปร่าง เจ้าเล่ห์เพทุบาย ลอบประชิดเหยื่อโดยไม่ทิ้งร่องรอย ปลิดโปรยความตายไปทั่ว เป็นสิ่งมีชีวิตไร้เทียมทาน ไม่มีผู้ใดต่อกร จะมีใครจับกุมคนร้ายเช่นนั้นได้บ้าง “ผม…” โคเก็ทสึพยายามเฟ้นหาถ้อยคำแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือนักสืบครับ เป็นแค่นักเขียนธรรมดาเท่านั้น” ทว่าสุภาพสตรีจ้องโคเก็ทสึด้วยแววตาท้าทายแล้วตอบกลับ “อาจารย์มีคนติดตามเป็นผู้มีญาณวิเศษใช่ไหม” โคเก็ทสึสะดุ้งเมื่อได้ยินคำนั้น “ดิฉันได้ยินว่าตลอดช่วงที่ผ่านมา อาจารย์ร่วมมือกับผู้ติดตาม ช่วยกันไขคดีต่าง ๆ ได้สำเร็จจำนวนหนึ่ง รวมทั้งคดีฆาตกรรมต่อเนื่องฆ่ารัดคอนักเรียนหญิงมัธยมปลายที่เคยเป็นข่าวครึกโครมก่อนหน้านี้ไม่นาน ว่ากันว่าอาจารย์โคเก็ทสึไขคดีได้ด้วยคำชี้แนะของผู้ติดตามคนนั้น“ […]
ซากากิ สึคาสะ เขียน ปาวัน การสมใจ เเปล (ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) ———————————————————— กลางเดือนมกราคม ควันหลงของความครึกครื้นจากช่วงปีใหม่จางหาย พิธีฉลองการบรรลุนิติภาวะ[1]จบลง พร้อมกับการเปิดเทอมใหม่ ในเช้าวันหนึ่งของสุดสัปดาห์ที่ไร้เหตุการณ์พิเศษใด ๆ จู่ ๆ แม่ของฉันก็พูดขึ้นมา “จะว่าไป เคียวโกะ วันนี้ลูกหยุดงานใช่ไหม” “อืม” สัปดาห์นี้ฉันได้หยุดงานวันอาทิตย์กับวันพุธ ที่ทำงานพาร์ตไทม์ของฉันจำเป็นต้องยื่นขอล่วงหน้าในกรณีที่ต้องการหยุดติดต่อกัน “แล้วลูกก็ไม่ได้มีแผนจะทำอะไรเป็นพิเศษใช่ไหม” ฉันแอบทำหน้างอเล็กน้อย ก็จริงอยู่ ตัวเตี้ย แถมเสพแต่ของแคลอรี่สูงแบบนี้ย่อมไม่มีวาสนาได้ข้องแวะกับผู้ชายที่จะเรียกได้ว่าแฟน แถมวันหยุดยังไม่ตรงกับเพื่อนฝูงอีก จะนัดกันทีก็ลำบากยากเข็ญ แต่เห็นอย่างนี้ฉันเองก็มีกำหนดการแสนวิเศษว่าจะนั่งกินขนมพลางดูละครที่อัดเก็บไว้อยู่นะ “…ก็ไม่เชิงว่าไม่มี” ฉันเคี้ยวขนมเซมเบกรุบ ๆ ก่อนดื่มชาลงไปอึกหนึ่ง อา—อร่อยจังเลย นี่แหละความชิลล์ของวันหยุด ขณะที่ฉันกำลังดูโทรทัศน์อย่างแสนจะผ่อนคลายทั้งกายใจ แม่ก็หันมาหา ก่อนเอ่ยปากกล่าวสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดฝัน “นี่ ถ้าว่างละก็ ไปห้างด้วยกันไหม” “เอ๊ะ— !?” “เห็นว่ามีอีเวนต์น่าสนใจแน่ะ ถ้าไปด้วยกัน ลูกต้องสนุกแน่ ๆ” หนาวน่ะ ไม่อยากไป ที่สำคัญคือไม่อยากไปสถานที่แบบนั้น ฉันว่าแล้วส่ายหน้าดิก […]
นทธี ศศิวิมล เขียน (ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) การที่มีคนได้นั่งใต้ร่มไม้ในวันนี้ ก็เพราะมีใครคนหนึ่งปลูกต้นไม้ไว้นานแล้ว – วอร์เรน บัฟเฟตต์ กำเริบ กว่าห้านาทีที่ศิราเริ่มสับสนอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ว่านี่คือความจริงหรือความฝัน เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับงานศพของย่าที่เสียไปนานแล้วลอยขึ้นมาตีกับภาพย่ากำลังทำข้าวต้มหมูสับตรงหน้า สลับกับเดินเก็บกวาดข้าวของที่เด็กๆ เล่นกันแล้วทิ้งไว้เกลื่อนพื้น หนำซ้ำเสียงเรียกหลานๆ กินข้าวของย่าก็ดังชัดเจนไม่ผิดเพี้ยนทุกสำเนียงขนาดนี้ ยังไม่ทันสรุปได้แน่ชัด ช่องท้องก็แข็งเกร็งขึ้นมากะทันหัน ความเจ็บปวดร้าวรานแผ่ไปทั่วตั้งแต่ลิ้นปี่ค่อยๆ ไล่ลามลงไปถึงหัวเหน่าและอวัยวะเพศปลุกเธอขึ้นอีกครั้งหลังการตื่นลวงเมื่อครู่ หญิงสาวกลอกตา มองไปรอบๆ เห็นครอบพลาสติกใสครอบปากและจมูกของตัวเองอยู่ เธอสะดุ้งเฮือกสุดตัว พยายามหายใจเข้า แต่ความดันในท้องจุกแน่นตีขึ้นมาถึงอกจนหายใจแทบไม่เข้า การรับรู้อยู่ในโลกสีเขียวผสมแดงก่ำช้ำเลือดช้ำหนอง ศิรานอนอยู่บนเตียงแคบๆ มีราวเหล็กกันตกเตียงขนาบสองข้าง ผวากับความเย็นเฉียบจนเหมือนน้ำแข็งเมื่อหลังมือขวาไปสัมผัสเข้า อาการเจ็บร้าวในท้องทุเลาลงพอให้เธอมีเวลาใช้ความพยายามนึกถึงเหตุการณ์ เรื่องราว สถานที่ หรืออะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าจะมาอยู่บนเตียงนี้ แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ความทรงจำของเธอเหมือนลอยอยู่รำไรตรงหน้า ทว่าพยายามจะคว้า กลับคว้าไม่ได้ นั่นทำให้ ‘มัน’ เริ่มกลับมา! ศิราหายใจสั้นถี่กระชั้น ระลอกความกลัววูบวาบไปทั่วตัว ตาพร่า ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ตัวร้อนผ่าวตั้งแต่เท้าจนถึงใบหน้า รู้สึกเหมือนเนื้อตัวบวมเป่งใกล้จะระเบิดเต็มที เธอมองเห็นสายน้ำเกลือและเข็มปักคาอยู่หลังมือซ้าย รู้สึกว่าแถบพันรัดต้นแขนขวาเพื่อวัดความดันบีบรัดแขนจนแน่นแล้วคลายออกทันที มีเสียงอุปกรณ์เครื่องวัดอะไรต่ออะไรดังตี๊ดตื๊ดอยู่รอบตัว […]
การ์โล กอลโลดี เขียน ลลิตา ผลผลา แปลจากฉบับภาษาอังกฤษโดย อี. ฮาร์เดน อลิซ คาร์ซีวาดภาพประกอบ (ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์) ———————————————————— กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มี… “พระราชาองค์หนึ่ง!” นักอ่านตัวน้อยของผมคงตะโกนขึ้น พร้อมๆกัน . ไม่ใช่หรอกนะเด็กๆ ทายผิดแล้วละ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีท่อนไม้อยู่ท่อนหนึ่งต่างหาก . ไม่ใช่ท่อนไม้ที่เลิศเลออะไรหรอก แค่ท่อนไม้ธรรมดาๆ อย่างที่ใช้ก่อไฟในเตาผิงให้ห้องอบอุ่นในฤดูหนาวนั่นละ ผมไม่รู้หรอกว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร แต่ความจริงคือ วันดีคืนดีไม้ท่อนนี้ก็เผอิญมาอยู่ในร้านของช่างไม้ชรา ผู้มีชื่อจริงว่ามิสเตอร์อันโตนีโอ แต่ทุกคนเรียกขานเขาว่ามิสเตอร์เชอร์รี่ เพราะปลายจมูกเขาเป็นสีแดงก่ำเสมอ ราวกับผลเชอร์รี่สุกกํ่า ทันทีที่มิสเตอร์เชอร์รี่สังเกตเห็นไม้ท่อนนี้เข้า ก็ดีใจจนเนื้อเต้น เขาถูมือสองข้างไปมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม้ท่อนนี้ มาได้จังหวะเสียจริง อย่างที่อยากได้มาทำขาโต๊ะตัวเล็กพอดีเชียว” จากนั้นเขาก็คว้าขวานคมกริบมาอย่างไม่รอช้าเพื่อถากเปลือก ไม้และเกลาผิวให้เรียบ ทว่าขณะเงื้อขวานจะจามลงครั้งแรกนั่นเอง เขาก็ต้องหยุดกึกค้างอยู่ในท่านั้น เพราะได้ยินเสียงเล็กๆอ้อนวอน เบาๆ “อย่าตีผมแรงนักนะครับ!” เด็กๆลองนึกภาพดูสิว่ามิสเตอร์เชอร์รี่ผู้ชราจะประหลาดใจ เพียงใดเขาเหลียวมองไปรอบห้องเพื่อดูว่าเสียงเล็กๆนั้นแว่วมา จากไหน แต่ก็ไม่เห็นใครสักคน เขาก้มดูใต้ม้านั่ง—ไม่มีใคร เปิดตู้ ซึ่งปิดอยู่เสมอก็ไม่มีใคร […]