[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 6 ตอนที่ บทที่ 146

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 146

 

มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง เต่าดำ คือจตุรสัตว์[1]

โคมไฟดวงนี้ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของโกดังตั้งแต่วันที่กรม จัดการคดีพิเศษก่อตั้งขึ้น หมายเลขรหัส 001 เปื้อนฝุ่นมานาน เพิ่งได้เห็น แสงสว่างเอาวันนี้

ไม่ใช่คนอื่นไม่อยากหยิบมันออกมาใช้ แต่เพราะในอดีตมันใช้งาน ไม่ได้ เนื่องจากในบรรดาสัตว์ทั้งสี่ มีเพียงสามตัวที่อยู่ในตำแหน่ง จนกระทั่งจงหลิงถ่ายจิตวิญญาณของตนเข้าไป โคมบอกดาราจตุรสัตว์ ดวงนี้ถึง ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาอย่างแท้จริง

จงหลิงคือเต่าดำในบรรดาจตุรสัตว์

“สี่จตุรสัตว์กำหนดดารา เหล่าเทวดามาชุมนุม ดาวเป่ยโต่วแผดเผา กระดูก น่านน้ำทิศอุดรชะล้างมลทิน นำโคมนี้ดับวิญญาณร้าย สลาย ปีศาจทั้งปวงไป!”

เมื่อคาถาหลุดออกมาจากปากของหลงเซินทีละคำ สัตว์เทพสัมฤทธิ์ ทั้งสี่ด้านของโคมไฟก็ขยับไหวเล็กน้อย แสงสว่างเรืองรองขึ้นจากสี่มุม ก่อนกลายเป็นสายรุ้งพลิ้วไหว รวมกันอยู่ ณ ใจกลางท้องฟ้าทันใด แสงดาวเคลื่อนย้ายก่อนร่วงหล่น รวมตัวเป็นแสงไฟ สว่างสุกใสจับตา ในบัดดล!

ไอปีศาจไม่ทันถอยหนีก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นไล่จับ ตรึงไว้แน่น ขยับเขยื้อนไม่ได้

แสงจากโคมบอกดาราจตุรสัตว์สว่างโชติช่วงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับแสงดาว แปรเปลี่ยนเป็นแสงจันทร์ ดวงอาทิตย์ปรากฏตัวเมื่อเมฆคล้อยต่ำ หลงเซิน ปล่อยมือ โคมไฟแขวนลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับอีกเลย

โอโตวะ ยาซูฮิโกะ ที่อยู่ข้างนอกรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ตอนแรกเขาสัมผัสได้แล้วว่าพลังปีศาจแทรกซึมเข้าไปในร่างหลงเซิน งานใหญ่กำลังจะสำเร็จลุล่วง แต่หลังจากนั้นสังหรณ์ไม่ดีก็ผุดขึ้นในใจอย่าง รวดเร็ว มันคือสัญญาณเตือนที่มาจากพลังปีศาจซึ่งเชื่อมต่อกับเลือดเนื้อ ของเขา โอโตวะลังเลอยู่หนึ่งวินาที ก่อนตัดสินใจถอนตัวออกในทันที

แต่ช้าไปเสียแล้ว

ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นไม่ทันไร เขาก็เห็นแสงสว่างลุกโชนตรงหน้า ฝ่าทะลวงพลังปีศาจหนาหนัก ตรงเข้ามาจากทิศทางตรงกันข้าม

โอโตวะไม่พูดพร่ำทำเพลง หันหลังวิ่งหนีทันที!

ทางของเขาถูกสกัดกั้น

มันคือพยัคฆ์ตัวหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นจากการควบแน่นของไอหมอกสีขาว ร่างกายส่วนหน้ายอบลงเล็กน้อย ตาจ้องเขม็งมาที่เขา ทั่วร่างปล่อยกลิ่นอาย อันตราย กำลังจะเปิดฉากจู่โจม

และสิ่งที่อยู่ซ้ายขวาและด้านหลังของเขาคือมังกร หงส์ และเต่าดำ ที่เกิดจากการรวมตัวของหมอกขาวไม่ต่างกัน

พวกมันตั้งมั่นประจำสี่ทิศ ปิดกั้นทางหนีทั้งหมดของโอโตวะ ไม่ว่า พลังปีศาจจะร้องแรกแหกกระเชอยังไงก็ไม่อาจฝ่าวงล้อมของสัตว์จตุรทิศ ออกไปได้

เหนือศีรษะขึ้นไป ปราณกระบี่พลุ่งพล่านรุกไล่เข้ามา!

โอโตวะเงยหน้าขึ้น เห็นแสงกระบี่ลำหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า บุกเป็นพายุบุแคม

ทุกที่ที่มันล่วงผ่าน พลังปีศาจคร่ำครวญแตกกระเจิง ร่างกาย แหลกสลายมลายหายไปกับควัน!

นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ คำรามลั่น ชูดาบอาเมโนะมุราคุโมะขึ้น เหนือศีรษะ ไอปีศาจสีดำพรั่งพรูออกจากรอบตัว เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทันที!

เต๋าสูงหนึ่งฉื่อ ปีศาจสูงหนึ่งจั้ง ชีซิงหลงยวนเก่งกาจแค่ไหนแล้ว ยังไง ดาบปีศาจของเขาต่างหากที่แข็งแกร่งที่สุด!

พื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาถล่ม แผ่นดินแยก

ผู้คนที่หลับสนิทกลางดึกพากันสะดุ้งตื่น แต่แล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใจ สำหรับเกาะที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง แผ่นดินไหวกลายเป็นเรื่องปกติ ไปแล้ว

แต่ที่ศาลเจ้าอัตสึตะ พวกอู๋ปิ่งเทียนกับหลี่อิ้งกลับพากันหน้าเปลี่ยนสี

การต่อสู้ระหว่างพลังปีศาจกับปราณกระบี่นำมาซึ่งการระเบิด ครั้งใหญ่ พื้นดินแตกแยก ก้อนอิฐถูกม้วนเข้าไปในวังวน ฟ้าร้องฟ้าแลบ อยู่เบื้องบน ราวกับจะทำลายทุกสิ่งในโลก

“เขตอาคมจะแตกแล้ว!” อู๋ปิ่งเทียนพูดขึ้น

การทลายลงของเขตอาคมกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การ ปะทุระเบิดในเวลานี้อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะไม่มีใครหนีไปจาก คลื่นระเบิดได้ อู๋ปิ่งเทียนกับหลี่อิ้งหลบอยู่ในซอกที่ค่อนข้างปลอดภัย มองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ในที่สุด ก็เผยให้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลังจากที่ถูกขังไว้หลายวันหลายคืนเต็ม ๆ อวี๋ปู้หุ่ยเหลือบไปเห็นถังจิ้งยังนั่งคุกเข่ากอดพิณโบราณเก่าโทรม กำลัง จะปะทะกับแรงระเบิด จึงรีบตีลังกาม้วนตัวเข้าไปกระชากตัวมา

จังหวะที่เขาลากตัวอีกฝ่ายออกไป คลื่นระเบิดก็ได้กวาดล้างทุกสิ่ง ทุกอย่างในบริเวณที่พวกเขาอยู่เมื่อครู่

ระเบิดรุนแรงแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วเท่าที่ตามองเห็น ต้นไม้ สิ่งปลูกสร้าง ทุกอย่างที่อยู่ในศาลเจ้าไม่มีสิ่งใดรอดพ้น กลายเป็นซากปรักหักพังในพริบตา แม้แต่พวกอู๋ปิ่งเทียนที่ไหวตัวเร็วยังทำได้แค่หลบ เข้าไปในบริเวณมุมแคบ ๆ ที่เกิดจากเสาสองต้นถล่มลงมา

เสียงร้องตะลีตะลานกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือลอยมาจาก ที่ไกล ๆ แต่พวกอู๋ปิ่งเทียนมัวแต่ยุ่งกับตัวเอง มีเวลาไปคิดถึงคนอื่นเสีย ที่ไหน ยิ่งที่นี่เป็นเขตแดนของโอโตวะด้วยแล้ว นักบวชกับมิโกะข้างนอก พวกนั้นคงจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับตัวตนของโอโตวะดี ทำอะไรได้ อย่างนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นแค่การหาเรื่องใส่ตัว

เทียบกับเสียงร้องโหยหวนที่อยู่ไกลออกไป สิ่งที่ดังก้องอยู่ข้างหู ทุกคนคือความไม่ยินยอมและความโกรธแค้นของโอโตวะที่ถูกบีบให้ถอยร่น ไปทีละคืบ

“หลงเซิน คิดว่าเอาชนะฉันได้แล้วทุกอย่างจะจบลงด้วยดีหรือไง” เสียงหัวเราะเคี้ยก ๆ ลอยมาพร้อมกับเสียงเคลื่อนไหวดังสนั่นของสิ่งปลูกสร้าง ที่พังทลายลงมา โอโตวะเสียงแหบแห้ง พูดทีละพยางค์ “พวกแกคิดว่า ค่ายยันต์สะกดปีศาจแปดทิศ ต้องทำลายศิลาให้หมดแปดหลักถึงจะพังมัน ลงได้ทั้งหมดอย่างนั้นเหรอ ผิดมหันต์!”

เขาพบว่าปราณกระบี่ที่กดทับจนทำให้กระดิกกระเดี้ยไม่ได้ไร้ช่องทาง ขัดขืนพลันชะงักค้างไป ต้องเป็นเพราะหลงเซินได้ยินคำพูดของเขา และ เกิดความกังขาอยู่ในใจแน่ ๆ

โอโตวะอดหัวเราะลั่นไม่ได้ “คนจีนมีคำพูดประโยคหนึ่งที่ว่าส่งเสียงทางบูรพา ตีฝ่าทิศประจิม[2] ฉันล่อพวกแกมาที่นี่ ทุกอย่างคือกับดัก ตั้งแต่แรก! แกฆ่าฉันไปก็ไม่มีประโยชน์ เส้นทางนรกจะเปิดในไม่ช้า ถึงตอนนั้น —”

กล่าวถึงตรงนี้ ไอปีศาจจากดาบอาเมโนะมุราคุโมะในมือก็พวยพุ่ง ร่างทั้งร่างกลายเป็นพลังปีศาจกวาดล้างเข้าไปยังกลางแสงกระบี่!

ไอสังหารทึบทึมฝ่าทะลวงพลังปีศาจพุ่งมาตรงหน้า สีหน้าโอโตวะเปลี่ยนไปถนัดตา เขาตระหนักด้วยความตื่นกลัวว่าพลังปีศาจของตนกำลัง ถูกแสงกระบี่กลืนกินทีละนิด ต่อให้ตัวเองใช้พลังปีศาจทั้งร่างก็ไม่สามารถ จู่โจมกลับไปได้เลย

เริ่มจากมือเท้า จากนั้นก็ลำตัว พลังปีศาจแก่กล้ารวมถึงพลังชีวิต ที่เขาเฝ้าอุตสาหะบำเพ็ญเพียร ใช้หัวใจสด ๆ บำรุงหล่อเลี้ยงทุกวัน จะถูก แสงกระบี่ดูดกลืนไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่น้อย

ไม่!!!

ตั้งแต่กลายเป็นปีศาจ เขานึกไปเองว่าตนได้รับพลังแห่งความเป็น อมตะมาแล้ว บัดนี้เพิ่งตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าตนกำลังจะหายไปจาก โลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง ได้สัมผัสถึงความหวาดกลัวก่อนตายอย่างแท้จริง

เขายังไม่ทันเห็นฉากยิ่งใหญ่ตระการตายามโลกอันมืดมิดได้มาเยือน อย่างสมบูรณ์ด้วยตาของตัวเอง ยังไม่เคยไปขุมนรกอเวจี ได้รับพลังสูงส่ง ล้ำเลิศเลย เขาไม่อยากหายไป ในฐานะผู้เปิดช่องทางนรกซึ่งมีความดี ความชอบ เขาสมควรได้รับผลตอบแทนที่ควรจะได้!

คนจำนวนมากตายไปเพราะเขา เขาเห็นมันเป็นเรื่องสนุก เพลิดเพลิน ไปกับความรู้สึกเหนือกว่าที่เห็นคนดิ้นรนอยู่ในความเจ็บปวด เขาเคย หัวเราะเยาะคนพวกนั้นที่ขี้ขลาดกลัวตาย เย้ยหยันที่พวกมันหยิ่งทะนง ในศักดิ์ศรี แต่จนถึงตอนนี้โอโตวะเพิ่งตระหนัก แท้จริงแล้วตนก็เกรงกลัว ความตาย หวาดกลัวที่จะหายไปเช่นกัน

เขาเบิกตาโพลง ใบหน้าบิดเบี้ยว พยายามสุดชีวิตเพื่อขัดขืน แต่ ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ได้แต่มองร่างที่แปลงมาจากพลังปีศาจของตนถูก ฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ ทีละนิดด้วยตาตัวเองโดยที่ยังมีสติอยู่ ความทรมาน ทำให้เขาคำรามเสียงแหบแห้งโดยไม่รู้ตัว แต่เสียงดังกล่าวช่างเล็กน้อย เมื่ออยู่ท่ามกลางเสียงระเบิดของเขตอาคมโดยรอบ

ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า โอโตวะ ยาซูฮิโกะ อ้าปากกว้าง ค่อย ๆ ถูกกลืนกินเข้าไปในสภาพน้ำลายไหลย้อย น้ำตาไหลพราก จนกระทั่ง หายไปอย่างสมบูรณ์ พลังปีศาจที่เหลืออยู่ถูกสัตว์เทพทั้งสี่กักขังไว้ ได้แต่ ดิ้นรนอย่างเสียแรงเปล่า สุดท้ายถูกแสงกระบี่บดขยี้กลายเป็นผุยผง

ลำแสงเริ่มริบหรี่ลง สัตว์เทวะทั้งสี่แหงนหน้าคำรามแบบไร้เสียง ก่อนทุกตัวจะกลายร่างเป็นรัศมีแสงลอยกลับเข้าไปในโคมไฟ

หลงเซินร่อนลงพื้น ก้มลงไปหยิบโคมไฟขึ้นมา แสงระยิบระยับ พร่างพราวบนนั้นหายไปแล้ว โคมบอกดาราจตุรสัตว์กลับคืนสู่สภาพ ไม่โดดเด่นสะดุดตา เก่าคร่ำคร่าและมัวหมอง

ในที่สุดแรงระเบิดก็สงบลง

ทรวงอกอู๋ปิ่งเทียนกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง หูคล้ายยังมีเสียงสะท้อน อื้ออึง เขาพยายามลุกขึ้น แต่ขาหลี่อิ้งทับหน้าท้องอยู่

หลี่อิ้งสำลักฝุ่นควัน ไอสองสามที “รองอธิบดีอู๋ เหมือนขาผมจะ ถูกแรงอัดจนหักไปแล้ว”

อู๋ปิ่งเทียนเผยรอยยิ้มซีดเซียว “ไม่เป็นไร ฉันยังเสียแขนไปข้างหนึ่ง เลย ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างคุยกันได้!”

อวี๋ปู้หุ่ยลากถังจิ้งเข้ามาด้วย ตอนแรกฝ่ายหลังบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ตอนนี้อยู่ในสภาพกึ่งหมดสติ แต่กำปั้นเขายังคงกำแน่น ใครก็แงะไม่ออก

ในนั้นเป็นเศษวิญญาณของติงหลานที่หมิงเสียนมอบให้เขา

อู๋ปิ่งเทียนเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ “ไม่ต้องฝืนแงะแล้ว พาเขาออก ไปก่อนค่อยจัดการ”

เขม่าควันจางหายไปหมด พวกเขานั่งบ้างยืนบ้าง มองไปทางลานบ้าน ซึ่งแต่เดิมเป็นเขตอาคม บัดนี้ได้ถูกทำลายราบคาบไปแล้ว

เมื่อไม่มีสิ่งปลูกสร้างกีดขวาง สายตาจึงเปิดกว้างขึ้น พวกเขาเห็น คิตาอิเคะ เอโกะ นอนอยู่บนพื้นไม่ไกล หล่อนเสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน

ตั้งแต่วินาทีที่พลังปีศาจสิงร่าง หล่อนก็ไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว เมื่อครู่ หล่อนถูกแสงกระบี่ดูดพลังปีศาจทั้งหมดออกมา และเสียชีวิตไปจากการ ระเบิด ฟุจิคาวะทุ่มเทกำลังอย่างสุดความสามารถ และต้องมาตายเพื่อ ให้หล่อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจทำความฝันที่ต้องการ ฟื้นฟูสำนักของตัวเองให้เป็นจริงขึ้นมาได้

สิ่งที่ไม่ควรเป็นของเขา ไม่มีวันเป็นของเขา

และอาซากะ ยาซูฮิโกะ

ก็ได้ชดใช้หนี้ชีวิตในที่สุด

ฆาตกรสังหารหมู่ในหนานจิงผู้นี้ได้คิดหาวิธีหลบหนีการพิจารณาคดี ทางกฎหมายไป ไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนที่สาสมสำหรับชีวิตคนนับแสน ถึงขนาดที่กายหยาบกลายเป็นปีศาจ แค่เปลี่ยนตัวตนใหม่ก็มีทั้งเงินทอง และลาภยศ ลอยนวลอยู่ในโลกต่อไปได้

วิญญาณผู้วายชนม์ด้วยความอยุติธรรมไม่จากไปไหน ร่ำไห้ คร่ำครวญว่าฟ้าดินไม่ยุติธรรม ผลกรรมไม่คืนสนอง ณ เมืองหนานจิงอยู่ ทุกคืนวัน หน้าป้ายหลุมศพ ดอกไม้สดมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้ภาพ เนินศพกับทะเลโลหิตในอดีตที่ยังปรากฏชัดแจ้งสงบลง ไม่อาจปลอบประโลม วิญญาณที่ตายตาไม่หลับในปรโลกได้

ทว่าตอนนี้ปีศาจชั่วช้าตนนี้ได้รับผลกรรมที่ตนพึงได้รับอย่างสมบูรณ์ แล้ว ร่างกายเขาแหลกสลาย วิญญาณกลายเป็นเถ้าถ่าน หายไปจากโลก ในแบบที่เขาหวาดกลัวที่สุด ตั้งแต่นี้ไป ไม่ว่าบนสวรรค์หรือใต้พิภพ หรือ แม้กระทั่งนรกอเวจีที่เขาโหยหามากที่สุด จะไม่มีดวงจิตของเขาดำรงอยู่อีก

ลมหนาวกลางดึกพัดโชยมา กรีดผ่านใบหน้าพวกเขาไป แต่ความ เงียบสงบหลังศึกใหญ่ดูราวกับการตั้งเค้าของพายุฝน

หลงเซินยืนเงียบ ๆ ปราศจากสีหน้าแห่งความยินดี

“พวกคุณได้ยินสิ่งที่เขาพูดก่อนตายแล้วใช่ไหม”

“ผมได้ยินแล้ว” อู๋ปิ่งเทียนใช้มือปาดหน้า คล้ายต้องการปาดเอา เศษดินและความเหนื่อยล้าบนใบหน้าออกไปพร้อมกัน

“ผมก็ได้ยิน” อวี๋ปู้หุ่ยบอกพลางขมวดคิ้ว “เขาหมายความว่าเขา ตั้งใจล่อพวกเรามาที่ญี่ปุ่น แต่ความจริงได้เตรียมการอย่างอื่นกับค่าย ยันต์สะกดปีศาจไว้แล้ว?”

“ผมว่ามันก็แค่คำลวงโลกที่เขาเพ้อเจ้อไปอย่างนั้นเอง คนกำลัง จะตาย ต้องอยากคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้อยู่แล้ว!” อู๋ปิ่งเทียนถ่มน้ำลาย “ไอ้สารเลวนี่ต้องยินดีกับตัวเองนะที่ไม่เหลือศพทิ้งไว้ ไม่อย่างนั้นผมจะเอา เถ้ากระดูกมันกลับไปทำพิธีที่เขาชิงเฉิงทุกวัน เอาให้มันไม่ได้เป็นสุขทุกภพ ทุกชาติเลย!”

นาน ๆ ครั้งจะได้ยินรองอธิบดีอู๋ผู้ที่วัน ๆ เอาแต่ใช้คำพูดเป็นงานเป็นการ รู้จักด่าสาดเสียเทเสียคนอื่นโดยไม่หลงเหลือภาพลักษณ์บ้าง หลี่อิ้ง อยากขำ

ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่ไม่รู้สึกถึงความปวดแปลบ แต่สิ่งที่ทำให้ เขากังวลใจไม่ใช่อาการบาดเจ็บของตน

เขาเงยหน้าขึ้นอย่างอดไม่ได้

ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงัด หมอกหนาจางหายไปแล้ว แต่ยังเร็ว เกินไปกว่ารุ่งอรุณจะมาถึง

ไกลออกไป ณ เขาคุนหลุน

ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางฟ้า สะท้อนหิมะบนยอดเขาจนสว่างไสว ราวกลางวัน

จงหลิงกับเชอไป๋เดินไปตามเส้นทางภูเขาสูงชัน ทิ้งรอยเท้าเป็น ทางยาวไว้เบื้องหลัง

นี่เป็นเส้นทางที่ไม่เคยมีมนุษย์บุกเบิกมาก่อน สันเขาเกือบตัดตรง แต่ฝีเท้าของจงหลิงกับเชอไป๋เรียบเรื่อยมาตั้งแต่ต้น ประหนึ่งเดินเล่นอยู่ ในสวน

พวกเขามาที่เขาคุนหลุนได้หลายวันแล้ว แทบจะเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งกลางวัน และกลางคืน แต่เทือกเขาแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปจริง ๆ ต่อให้เป็นพวกเขา ก็ไม่มีทางเดินไปทั่วทุกซอกทุกมุมได้ จนถึงวันนี้เพิ่งเดินครบไปสองยอดเขา กำลังจะก้าวไปบนพื้นที่สูงของเขาลูกที่สามนี้

“ไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว”

เชอไป๋หยุดเดิน มองลงไปยังเค้าโครงกลุ่มยอดเขาด้านล่างที่แสงจันทร์ สาดส่องให้เห็น น้ำเสียงแฝงแววรำพึงรำพันเล็กน้อย

“ฉันเคยคิดว่าอยากมาเดินเขาคุนหลุนอีกสักรอบก่อนตาย ไม่นึกเลย ว่าตอนนี้คำขอจะเป็นจริงล่วงหน้า”

ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ต่างยิ้มให้กับเรื่องราวในอดีตและ ความทรงจำอันมีค่าของพวกเขา

มนุษย์มักโกรธเกลียดที่เวลาของตนน้อยเกินไป อยากย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อชดเชยความเสียใจทั้งหมด แต่อย่างพวกเขา ไหนเลย จะไม่เคยรู้สึกเสียใจ เพราะชีวิตที่ยืนยาว ความเสียใจบางอย่างนอกจาก ไม่จางหายไปตามกาลเวลาแล้ว ยังแจ่มชัดขึ้นจนกระทั่งตราตรึงอยู่ใน ส่วนลึกของหัวใจอีกด้วย

เพราะแบบนั้น ทีแรกที่เห็นหลงเซินลังเล จงหลิงเลยอดเตือน อีกฝ่ายไม่ได้ ไม่อยากให้เขาก้าวซ้ำรอยของตนเอง ทิ้งความเสียใจไว้กับ ชีวิตในวันข้างหน้าโดยเปล่าประโยชน์

“อายุขัยของผมใกล้ถึงกำหนดแล้ว ผมคิดไว้ว่า พอใกล้ถึงวันนั้น… จะกลับไป”

น้ำเสียงของเชอไป๋สงบนิ่ง แฝงไว้ด้วยความคาดหวังเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ จุดจบในชีวิตสำหรับพวกเขาไม่ใช่ความน่าเสียดาย แต่เป็นจุดจบที่ไม่อาจ หลีกเลี่ยง การได้บำเพ็ญเพียรจนเป็นมนุษย์ มีชีวิตอยู่มานับพันปี เป็น ประจักษ์พยานในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกมานับครั้งไม่ถ้วน ก็นับว่าโชคดีกว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในโลกมากแล้ว

เขาพูดไม่ทันขาดคำ ความสงสัยก็ปรากฏออกมาทางสีหน้ากะทันหัน

ไม่ใช่แค่เขา จงหลิงเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ทั้งสองเอี้ยวตัวหันหน้า ไปทางยอดเขาทางทิศใต้พร้อมกัน

แสงสว่างดวงหนึ่งลอยขึ้นจากตรงนั้น ตามด้วยเสียง

เสียงระเบิดดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งหุบเขา ทำให้เกิดเสียง สะท้อนนับไม่ถ้วนดังมาจากที่ไกล ๆ

ความรุนแรงของคลื่นเสียงทำให้ยอดเขาใต้เท้าพวกเขาสั่นสะเทือน เล็กน้อยตามไปด้วย

แผ่ นดิ นไหวไม่ มี ทางเกิ ดเสี ยงลั กษณะนี้ สี หน้าของทั้ งสองแปรเปลี่ ยน ฉับพลัน นึกโยงไปถึงเรื่องร้ายทันที

“ตรงนั้นคือที่ไหน” เชอไป๋ถาม

จงหลิงสูดหายใจเข้าลึกและพูดช้า ๆ “ถ้าฉันจำไม่ผิด น่าจะเป็น หุบเขาน่าเหลิงเก๋อเล่อ”

ไม่รู้ดวงจันทร์ถูกเมฆดำทะมึนบดบังตั้งแต่เมื่อไหร่ บนขอบฟ้ามีเมฆฝนฟ้าคะนองม้วนเป็นริ้วคลื่นสว่างวาบไปทั่วทั้งผืนในบัดดล ทว่าไร้ซึ่ง พายุฝน มีเพียงฟ้าแลบแปลบปลาบอย่างต่อเนื่อง สายฟ้าไม่ลำเอียง ทุกครั้งผ่าไปยังบริเวณที่เพิ่งเกิดระเบิด

“แย่แล้ว” จงหลิงมองไปยังบริเวณนั้น ก่อนพึมพำว่า “ก่อนหน้านี้ ใครเป็นคนรับผิดชอบตรวจสอบบริเวณนั้น ปล่อยให้รอดหูรอดตาไปได้ ยังไง”

เชอไป๋ยิ้มเจื่อน “เดี๋ยวผมเข้าไปดูก่อน!”

พูดจบเขาก็ไม่ได้เดินลงเขาไปทีละก้าวตามเส้นทางขามา แต่กระโดด พรวดแล้วหายวับไปท่ามกลางเงาดำของขุนเขาทันที

ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน ดูเหมือนจงหลิงถอนหายใจเบา ๆ เสียง ถอนหายใจสอดประสานเข้ากับสายลม ก่อนสลายหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นหล่อนก็กระโดดตามลงไปด้วย

 

วงล้อดวงอาทิตย์สุกสกาวค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนือผิวทะเล น้ำทะเลสีมอคราม เกือบดำอาบย้อมด้วยสะเก็ดผงสีเหลืองทอง เห็นแวบแรกดุจทองคำที่ โปรยปรายลงมา

ตงจื้อกำลังเล่นแอ๊ปเปิ้ลทองคำลูกกระจุ๋มกระจิ๋มในมือ ชูขึ้นสูง ปล่อยให้แสงแดดสะท้อนจนเกิดเป็นรัศมี

ใต้ก้นมีเก้าอี้ปรับเอน มีเบาะนุ่มรอง บนหัวยังมีร่มบังแดด บน หน้าผากคาดแว่นกันแดด ถ้าไม่ใช่เพราะแผลเก่าที่ตัวยังกำเริบอยู่เนือง ๆ เขาคงนึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อันได้แก่ซอมบี้บนเกาะไดอาน่า ปีศาจหมึกยักษ์ในเขาวงกต รวมถึงเกาะที่เป็นงูทะเลดึกดำบรรพ์ตัวนั้น เป็นเพียงฝันกลางวันขณะตนพักร้อนอยู่บนเรือเป็นแน่

“ดูท่าทางนายไม่มีความสุขเท่าไหร่” หนวดเส้นหนึ่งวางทาบบนปลาย เก้าอี้ปรับเอน หัวของหมึกยักษ์ไมก้าค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา

ลูกตาของมันที่โดนตงจื้อแทงดีขึ้นแล้ว มันหุ้มด้วยเนื้อเยื่อสีชมพู ชั้นหนึ่ง ได้ยินว่าผ่านไปอีกสักระยะ รอให้เนื้อเยื่อหลุดลอก ตาก็จะงอกขึ้นมาใหม่

ตงจื้อยิ้มเจื่อน “ครั้งหน้าถ้านายจะโผล่มาก็บอกกันก่อนได้ไหม โผล่มาปุบปับแบบนี้ทำคนตกใจตายได้เลยนะ!”

ช่วงนี้หมึกยักษ์กำลังเรียนภาษาจีนอยู่ หลิวชิงปัวกับจางซงความ อดทนต่ำ เป็นอาจารย์ที่สอนด้วยความใจเย็นไม่ได้ หน้าที่นี้จึงตกไปเป็น ของหลิ่วซื่อ หลี่หานเอ๋อร์กับหยางโส่วอีไปช่วยบ้างเป็นบางครั้ง จากที่ พวกเขาบอกมา ความสามารถในการเรียนรู้ภาษาของหมึกยักษ์ดีกว่า คนทั่วไปเสียอีก หลังเรียนพินอินภาษาจีนแล้ว มันฟังคำศัพท์พื้นฐาน กับประโยคสั้น ๆ รอบเดียวก็จำได้ ตอนนี้เริ่มใช้หนวดจับปากกาฝึกเขียน อักษรจีน ‘ฟ้า ดิน คน’ แล้ว

ตงจื้อคิดว่าอีกไม่นานหมึกยักษ์คงฝึกได้แม้กระทั่งการวาดยันต์ ถึงตอนนั้นคงได้แนะนำให้มันไปเป็นลูกศิษย์ในนามของสำนักเก๋อเจ้าด้วย ให้ชื่อเสียงของสำนักเก๋อเจ้าเป็นที่โจษขานยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนปีศาจน้ำแข็งเอลิซาเบธ เธอไม่มีความสนใจที่จะแสวงหาความรู้ แบบหมึกยักษ์ เมื่อได้ยินว่าไมก้าจะตามพวกตงจื้อไปจีนก็โบกมือบาย กลับมหาสมุทรอาร์กติกของเธอทันที แน่นอนว่าก่อนจากไปยังไม่ลืมข่มขู่ คณะกรรมการจัดงานให้พวกเขาส่งค่าตอบแทนของเธอทางไปรษณีย์ ไปที่มหาสมุทรอาร์กติกโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นหากเลยกำหนดเวลาเมื่อไหร่ เธอจะมารับถึงที่เลย

คงเพราะพวกปีศาจมีอายุขัยยาวนานเกินไป ไมก้ากับเอลิซาเบธจึง ไม่มีความโศกเศร้าที่ต้องแยกจากกัน บางทีคงต้องรอให้ไมก้าบำเพ็ญเพียร เป็นมนุษย์จริง ๆ ก่อน ถึงจะมีความรู้สึกนึกคิดเช่นมนุษย์อย่างค่อยเป็น ค่อยไปได้

“ปุบ…ปับ” หมึกยักษ์เลียนแบบน้ำเสียงเขา ใฝ่รู้อย่างไม่รู้จัก เหน็ดเหนื่อย “มันหมายความว่าอะไรเหรอ”

“หมายถึงกระทำอย่างกะทันหัน ทันทีทันใด”

หมึกยักษ์ “แล้วทันทีทันใดหมายความว่าอะไรอีกล่ะ”

ตงจื้อ “…นายเป็นเจ้าหนูจำไมหรือไง”

หมึกยักษ์ “เจ้าหนูจำไมคืออะไร”

มุมปากตงจื้อกระตุก “เอาละ เราอย่ามาถกปัญหานี้กันเลย ตกลง นายมาหาฉันมีเรื่องอะไร”

หมึกยักษ์ “เปล่า ฉันขึ้นมาอาบแดด เห็นนายเหม่อมองแอ๊ปเปิ้ล ทองคำอยู่ พวกนายได้แชมป์แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังไม่ดีใจอีกล่ะ”

ตงจื้อบอก “ฉันไม่ได้ไม่ดีใจ แค่คิดถึงบ้านน่ะ”

ที่ที่มีหลงเซินอยู่คือบ้านของเขา

เขาคิดถึงหลงเซินแล้ว

หมึกยักษ์เอียงหน้ามองเขา อึดใจต่อมาก็ทอดถอนใจกะทันหัน “มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนจริง ๆ”

ตงจื้อพูด “ตอนนี้นายโหยหาสังคมมนุษย์ อารมณ์ขี้สงสัยแบบนี้ จริง ๆ ก็ใกล้เคียงมนุษย์แล้วละนะ เจ็ดอารมณ์ หกปรารถนาไม่ได้มีแค่ ในมนุษย์ พวกนายเองก็มีด้วย แต่เพราะสภาพแวดล้อมของนายค่อนข้าง เรียบง่าย สภาวะอารมณ์ก่อนหน้านี้เลยไม่ได้ผันผวนเกินไปเท่านั้นเอง”

พูดถึงตรงนี้ เขาพลันรู้ตัวว่าความจริงสิ่งที่ตนเพิ่งอธิบายไปสอดคล้อง กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของหลงเซินพอดี จึงหลุดยิ้มเงียบ ๆ

หมึกยักษ์กะพริบตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว “นายพูดให้ช้าลง หน่อยได้ไหม ฉันฟังไม่เข้าใจ”

ตงจื้อกำลังจะบอกมันว่าเดี๋ยวต่อไปนายก็เข้าใจเอง เขาก็เห็นวิลเลียม ชาวอเมริกันเดินเข้ามาจากอีกด้าน

“ขอโทษที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของนาย คณะกรรมการจัดงาน ส่งคนไปตรวจสอบมาแล้ว ตอนนี้ยังไม่เจอซอมบี้ที่หลบหนีไป พวกเขา จะเพิ่มกำลังคนเร่งค้นหาต่อ” วิลเลียมนั่งลงบนเก้าอี้ปรับเอนข้าง ๆ เขา และเอนตัวนอน ก่อนปล่อยเสียงครางออกมาด้วยความสบาย

“ฉันอิจฉาคนจีนอย่างพวกนายที่สุดเลย พอได้แชมป์แล้วก็ไม่ต้อง สนใจอะไรทั้งนั้น แค่กินดื่ม เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาพักร้อนตลอดทาง กลับ พวกเราเสียอีกที่ต้องทำงานต่อ!”

ตงจื้อยักไหล่ “ใครใช้ให้พวกนายเป็นเจ้าภาพแล้วเลือกสถานที่ แบบนั้นมาเป็นสถานที่จัดการแข่งขันล่ะ ขนาดเกาะนั่นเป็นงูยักษ์ที่กำลังหลับใหลอยู่ยังไม่รู้เลย ตัวเองเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง แล้วชาวรัสเซีย เป็นยังไงบ้าง”

วิลเลียมบอกอย่างช่วยไม่ได้ “ค้นหาอยู่นานก็ยังไม่เจอผู้รอดชีวิต แอนนาโชคดีจริง ๆ!”

การแข่งขันปีนี้จบลงด้วยการที่ไม่มีใครรอดพ้นไปจากการถูกดึงเข้าสู่ ความวุ่นวายของเหตุการณ์ไม่คาดคิด การสังหารงูทะเลไม่ได้แปลว่า ทุกอย่างจบสิ้น สำหรับคณะกรรมการจัดงาน เรื่องน่าปวดหัวกว่านั้นยังรอ พวกเขาอยู่

เริ่มจากซอมบี้บนเกาะไดอาน่า ถึงแม้ซอมบี้เหล่านั้นจะถูกพวกตงจื้อ ฆ่าไปเกือบหมดแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าตอนที่งูทะเลก่อคลื่นยักษ์ขึ้นมา จนน้ำท่วมหมู่เกาะ มีซอมบี้พลัดตกลงไปในทะเลด้วยหรือเปล่า ซอมบี้ พวกนั้ นติ ดเชื้ อจากพลั งปี ศาจกั บไวรั สการโจมตี ทั่ วๆ ไปสั งหารพวกมั นไม่ ได้ หากพวกมันไปกัดสิ่งมีชีวิตอะไรในทะเลเข้า มหาสมุทรแต่ละแห่งในโลก ก็เชื่อมถึงกันหมด ถึงตอนนั้นคงก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่กว่าเดิม

ทั้งหมดนี้เริ่มมาจากคณะกรรมการจัดงาน เป็นธรรมดาที่พวกเขา ต้องเข้ามาสะสางความวุ่นวาย ได้ยินว่าคนอเมริกันได้ปิดกั้นน่านน้ำใกล้เคียง กับที่เกิดเหตุไว้เกือบหมด และทำการงมหาแบบปูพรม คาดว่าคงใช้เวลา สองสามปีกว่างานจะสำเร็จลุล่วง

หลังพวกตงจื้อนำข่าวการบุกรุกของพลังปีศาจมาแจ้งล่วงหน้า คณะกรรมการจัดงานไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก ตรงกันข้ามกลับมองว่าเป็นประสบการณ์ระหว่างกระบวนการแข่งขัน ใครจะรู้ว่าเศษ วิญญาณปีศาจฟ้าอาศัยช่องโหว่ขึ้นมาบนเรือโดยสารของพวกเขาที่มุ่งหน้าไป ยังหมู่เกาะซันโรก่อนแล้ว และกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในการแข่งขันไป ถ้าไม่ใช่เพราะตงจื้อพยายามสุดความสามารถเพื่อเรียกอสนีสวรรค์มาฆ่า งูทะเล ป่านนี้พวกเขาทุกคนคงกลายเป็นอาหารในท้องมันไปแล้ว ไม่ต้อง พูดเรื่องมีชีวิตรอดมานอนอาบแดดอยู่ตรงนี้เลย

ถึงกระนั้นทุกทีมก็ยังคงเสียหายใหญ่หลวง จีนกับอเมริกาถึงแม้ ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บก็จริง แต่ยังโชคดีที่มีชีวิตรอดกลับมาทีมอื่น ๆ  ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ชาวรัสเซียพลาดท่าที่เกาะโรสเพราะอันตอนโดนปีศาจ เข้าสิง ถูกฆ่าไปเกือบยกทีม สุดท้ายมีแค่แอนนาที่นั่งเรือสปีดโบ๊ตหนี ออกมาพร้อมบาดแผลและรอดชีวิตมาได้ในที่สุด

ได้ยินว่าเนื่องจากครั้งนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิดติด ๆ กัน องค์กรที่ เกี่ยวข้องจากแต่ละประเทศและภูมิภาค จึงพากันยื่นเรื่องร้องเรียน คณะกรรมการจัดงาน คาดว่าจำนวนผู้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งหน้าคงลดลง ไปมาก แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิงคือชื่อเสียงของตงจื้อ ที่เลื่องลือไปไกล

แม้ตงจื้อเองจะรู้ดีว่าที่เขาใช้อสนีสวรรค์กำจัดงูทะเลได้ในตอนท้าย จะขาดความพยายามก่อนหน้าของทุกคน รวมถึงความร่วมมือจากการใช้ วิชาต้องห้ามของจางซงไปไม่ได้ เพราะแบบนั้นตอนนี้อีกฝ่ายเลยยังนอน พักฟื้นอยู่กับเตียง แต่คนอื่นไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมาก ในสายตา พวกเขา ตอนที่เกือบถูกกวาดล้างกลางคลื่นทะเล ตอนที่ใช้พลังทั้งหมดไป จนหมดสิ้น เกือบจะหมดหวังอยู่แล้วนั้น ฟ้าได้ประทานชาวตะวันออกผู้นี้ ชักนำสายฟ้าออกมาช่วยชีวิตของพวกเขาทุกคนไว้ได้ในที่สุด

หลังเหตุการณ์ ไม่ใช่แค่ชาวอังกฤษกับชาวฝรั่งเศสที่ไม่กล้าหาเรื่อง พวกตงจื้ออีก แม้กระทั่งในระหว่างการเดินทางกลับช่วงไม่กี่วันมานี้ก็มี คนเข้ามาขอบคุณตงจื้อหลายครั้ง ไม่ก็เชิญเขาไปเที่ยวที่บ้านเกิดตัวเอง ตัดปัจจัยเรื่องบุญคุณออกไป คนเก่งเอาชนะใจคู่ต่อสู้ได้โดยอาศัยความ สามารถล้วน ๆ ไม่ว่าใครก็อยากมีเพื่อนที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทั้งนั้น ไม่ใช่ ศัตรูหรือคู่ต่อสู้

“ตง บอกตามตรงนะ ฉันโชคดีมากที่ได้รู้จักนาย” อยู่ ๆ วิลเลียม ก็พูดขึ้นพลางทอดถอนใจ เขยิบตัวเข้ามาแบบมีเลศนัย

ตงจื้อเบี่ยงตัวหลบก่อนอีกฝ่ายจะทันได้ซบไหล่ตน บอกด้วยความ ขนพองสยองเกล้า “อาการทอดถอนใจของนายทำให้ฉันรู้สึกว่ามีเรื่องไม่ดี เกิดขึ้น”

วิลเลียมท้วง “ทำไมกิริยาท่าทางอันสูงส่งของฉันถึงได้ดูเปราะบางในสายตานายขนาดนี้!”

ตงจื้อ “มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา!”

วิลเลียมเปลี่ยนมายิ้มร่าทันที “ฉันแค่อยากขอร้องนาย จนกว่า ฉันจะไปจีน ช่วยพูดชมฉันให้หานเอ๋อร์ฟังเยอะ ๆ หน่อย!”

ตงจื้อแปลกใจ “นายเอาจริงดิ”

วิลเลียมไม่พอใจ “ตรงไหนที่ทำให้นายคิดว่าฉันไม่เอาจริง”

ตงจื้อกระแอมหนึ่งที “ฉันนึกว่านายล้อเล่น”

“ไม่ใช่อยู่แล้ว!” วิลเลียมพูดเสียงดัง “ฉันกรีดหัวใจออกมาให้นาย ดูได้นะ!”

พูดจบเขาก็เพิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ รอบ ๆ ดาดฟ้าเรือมีคนอยู่ ไม่น้อย พอได้ยินประโยคนี้ก็พากันมองมา ส่งสายตาแปลก ๆ ให้พวกเขา

“วิลเลียม ขนาดอากาศเหนือทะเลยังเปลี่ยนได้ไม่เร็วเท่านายเลย เมื่อวานนายยังพูดอยู่เลยแท้ ๆ ว่าชอบมิสหลี่” ลิลิธกล่าวพลางเลิกคิ้ว

ข้าง ๆ หล่อนคือหลี่หานเอ๋อร์ที่ขึ้นมาสูดอากาศบนดาดฟ้าเรือด้วยกัน ฝ่ายหลังแสดงสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิงให้วิลเลียม

วิลเลียมตกใจหน้าซีด “ไม่ ๆ ๆ หานเอ๋อร์ เธอฟังฉันอธิบายก่อน ประโยคเมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดกับเขานะหานเอ๋อร์!”

 

 

[1] เรียกอีกอย่างว่าสี่ผู้พิทักษ์ สี่เทพ หรือสัตว์มงคลทั้งสี่  ในสมัยโบราณใช้เป็นสัญลักษณ์แทนกลุ่มดาวประจำทิศทั้งสี่ มังกรเขียวประจำทิศตะวันออก พยัคฆ์ขาวแทนทิศตะวันตก หงส์แดงแทนทิศใต้ และเต่าดำแทนทิศเหนือ

[2] หนึ่งในกลศึกสามก๊ก เป็นการหลอกล่อศัตรูให้หลงทิศกับการบุกโจมตีจนนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดจุด

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า