[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 2 ตอนที่ 35

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

ตอนที่ 35

 

เสร็จสิ้นขั้นตอนการสอบสัมภาษณ์ ตงจื้อกล่าวลากรรมการสอบสัมภาษณ์ทุกคนก่อนจากมา

ทันทีที่ก้าวออกจากห้องสอบ เขารู้สึกว่าสายตาของทุกคนมารวมอยู่ที่ตัวเขาหมด เมื่อครู่ตอนเข้าห้องสอบ ถ้าบอกว่าระดับความสนใจต่อผู้ที่สอบได้คะแนนข้อเขียนอันดับหนึ่งเปรียบดั่งหลอดไฟขนาดสามสิบวัตต์แล้วละก็ ตอนนี้คงสักหนึ่งร้อยวัตต์เป็นอย่างต่ำ

เขาแปลกใจนิดหน่อย คิดในใจว่าคนอื่นไม่มีทางรู้เรื่องที่เขากับนักพรตหลี่มีเรื่องโต้เถียงกันข้างในหรอกมั้ง

รอจนได้พบปาซาง อีกฝ่ายก็ถามว่า “ทำไมนายเข้าไปนานจัง คุยอะไรกันไปบ้าง”

ตงจื้อถามด้วยความสงสัย “นานมากเลยเหรอ”

เขาอยู่ในนั้น ตอบคำถามทีละข้อ ไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปเลย

ปาซางบอก “แหงละ คนอื่น ๆ สิบห้านาที แต่นายปาเข้าไปเกือบสี่สิบนาทีแล้ว เพราะคะแนนสอบข้อเขียนสูงเกินไป กรรมการสอบสัมภาษณ์เลยผลัดกันชมนายทีละคนหรือไง”

ตงจื้อยิ้มเจื่อน “นายให้เกียรติฉันเกินไป ทดสอบฉันทีละคนสิไม่ว่า แถมฉันยังเถียงกับกรรมการสอบสัมภาษณ์คนหนึ่งในนั้นด้วย เกือบได้ทะเลาะกันแล้ว”

ปากของปาซางเกือบกลายเป็นรูปตัวโออยู่รอมร่อ “นายทะเลาะกับกรรมการสอบสัมภาษณ์อ่านะ”

กู้เหม่ยเหรินตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึงเช่นกัน เป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะจินตนาการภาพตงจื้อไปทุ่มเถียงกับใครหน้าดำหน้าแดง

ตงจื้อแบมือ “เอาเป็นว่า ผลสอบรอบนี้อาจจะต่างจากรอบที่แล้วลิบลับเลยละ ฉันเตรียมใจไว้แล้ว ปีหน้าค่อยมาสอบใหม่”

ปาซางตบแขนเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี แต่ตงจื้อกลับเป็นฝ่ายปลอบใจพวกเขา “ไม่ต้องห่วง คำถามไม่ยาก ตั้งใจตอบให้ดีก็พอแล้ว”

ครู่เดียวก็ถึงคิวปาซางที่ต้องเข้าไป ตงจื้อไม่ได้รีบกลับ รอจนกู้เหม่ยเหรินกับปาซางสอบเสร็จค่อยออกไปพร้อมกับพวกเขา

กู้เหม่ยเหรินมีญาติอยู่ที่ปักกิ่งจึงอาศัยอยู่ที่บ้านญาติเป็นการชั่วคราว นอกจากนี้เวลาเธอว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ ยังแวะไปนั่งสังเกตการณ์ในชั้นเรียนที่มหาวิทยาลัยแถวนั้นเป็นประจำด้วย ในชีวิตจริงสาวน้อยคนนี้เป็นคนสุภาพถ่อมตน ถ้าเธอไม่บอกก็คงไม่มีใครมองออกว่าเธอเป็นผู้บำเพ็ญเพียร

ที่บ้านปาซางมีธุระนิดหน่อยจึงเตรียมตัวกลับไปบ่ายวันนั้นเลย ตั้งใจว่าพอได้รับผลการแจ้งฝึกอบรมแล้วค่อยมาใหม่

ทั้งสามพบกันโดยบังเอิญแถมยังรู้สึกเหมือนสนิทสนมกันมานมนาน นับว่าเป็นพรหมลิขิต ตงจื้อเลี้ยงข้าวพวกเขาแล้วต่างคนต่างค่อยแยกย้ายกันไป

ส่งปาซางกับกู้เหม่ยเหรินแล้ว ตงจื้อก็กลับมาที่หอพักบนตึก

ภาพเหตุการณ์ขณะสอบสัมภาษณ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนหัดเกินไป การยืนกรานในความคิดของตนไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องดูกาลเทศะด้วย ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นผู้อาวุโสจงจะทำให้เรื่องลงเอยด้วยดี แต่ตอนแรกหากดูจากแนวโน้มของหลี่รุ่ยแล้ว ถ้าเขาตอบคำถามด้วยความสุขุมเยือกเย็น คำพูดและการกระทำสอดคล้องกับมารยาทแล้ว จะได้เปรียบกว่านี้อีกหน่อยหรือเปล่า

บนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียดาย ความจริงหลาย ๆ เรื่องถึงแม้จะรู้บทสรุปสุดท้ายอยู่แล้ว แต่ต่อให้เผชิญเหตุการณ์เดิมซ้ำสองก็ยังจะทำแบบนั้นอยู่ดี

เพียงแต่ ตงจื้อคิดว่าตัวเองควรเริ่มคำนึงถึงเรื่องการหาบ้านได้แล้ว ถึงจะบอกว่าเขามีเงินเก็บเยอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ถ้าตกรอบสอบสัมภาษณ์ขึ้นมาจริง ๆ คงรู้สึกไม่ดีแน่ถ้าจะยังอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไม่ยอมไป บางทีเขาอาจจะเช่าบ้านสักหลังในปักกิ่งอยู่ไปก่อน เวลาว่าง ๆ ก็รับงานวาดภาพอิสระ ทบทวนบทเรียนไปด้วย เตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาในปีหน้า

ตงจื้อฟุบหน้าลงกับเตียงพลางใช้ความคิด

แม้จะวางแผนรับมือกับสถานการณ์ขั้นเลวร้ายที่สุดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงความกลัดกลุ้มไม่ได้อยู่ดี

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขากอดหมอนนุ่มพลางเดินอืดอาดไปเปิดประตู คิดในใจว่าเหออวี้กับคั่นเฉาเซิงไปทำงานข้างนอกกันหมด ยังจะมีใครมาหาเขาได้อีก หรือจะเป็นจงอวี๋อี

เปิดประตูออกไป แขกผู้มาเยือนซึ่งอยู่นอกเหนือการคาดเดาทำให้เขานิ่งอึ้ง

“ระ…รองอธิบดีหลง”

หลงเซินยืนอยู่ที่ประตู “ทำอะไรอยู่”

ได้พบเทพบุตรที่มาเยี่ยมเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว เลยยังปรับสภาพจิตใจไม่ทัน ตงจื้อตอบสนองค่อนข้างช้า ผ่านไปอึดใจกว่าจะรู้ตัว “ไปกินข้าวกับพวกปาซางเพิ่งกลับมาน่ะครับ คุณกินข้าวหรือยัง”

หลงเซินไม่ได้ตอบคำถามนี้ ยื่นมือส่งการ์ดใบหนึ่งให้เขา “รับไว้ คีย์การ์ดชั้นดาดฟ้า ต่อไปเวลาขึ้นไปฝึกจะได้ไม่ต้องหาคนไปเป็นเพื่อนนายอีก”

ตงจื้อรับมา ก่อนถามอย่างสงสัย “แต่ว่าผมสอบสัมภาษณ์…”

หลงเซิน “ถ้าสอบไม่ติด นายก็จะไม่ฝึกแล้ว?”

ตงจื้อตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ใช่อยู่แล้วครับ!”

หลงเซินพยักหน้าให้กับคำตอบที่ไร้ความลังเลของเขา “คีย์การ์ดเป็นแบบชั่วคราว สอบไม่ติดค่อยเอามาคืนฉันก็ได้”

ในใจตงจื้อหวังว่าตัวเองจะบังเอิญฟลุ้ค คิดว่าคะแนนสอบข้อเขียนของเขาสูงถึงขนาดนั้น อีกทั้งยังเคยออกไปปฏิบัติภารกิจกับเหออวี้มาแล้วสองสามหน บางทีหลงเซินอาจจะยอมใช้เส้นสายให้เขา ทว่าตอนนี้มาได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นก็อดรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ได้

แต่มีคีย์การ์ดก็ยังดีกว่าไม่มี ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ใช่ว่าจะได้รับสิทธิพิเศษนี้

“ขอบคุณครับรองอธิบดีหลง ผมจะขึ้นไปทุกวัน คุณจะเข้ามานั่งข้างในก่อนไหมครับ”

หลงเซินบอก “ไม่ละ นายพักผ่อนเถอะ”

เขาหมุนตัวจะผละไป ตงจื้อถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “รองอธิบดีหลง หยกน้ำค้างยังไม่ตายใช่ไหมครับ”

หลงเซินบอก “ยังอยู่ นายจะเข้ามาดูไหม”

ตงจื้ออยากตามเข้าไปมาก ต่อให้เป็นการคุยเล่นไร้สาระก็ยังถือเป็นความคืบหน้าก้าวใหญ่ แต่เมื่อเห็นแววอ่อนเพลียบาง ๆ ที่หว่างคิ้วอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ขจัดความคิดทิ้งไป

“ไม่ละครับ คุณพักผ่อนเถอะ มีอะไรก็เรียกผมได้เลย”

หลงเซินพยักหน้าก่อนกลับเข้าไปในห้องพัก

หลงเซินไม่ได้กลับมาที่นี่บ่อยนัก ล่าสุดคือเมื่อสามวันก่อน ห้องนอนเงียบเหงาเช่นเคย เขาไม่เก็บมาใส่ใจ ขณะกำลังจะล้างหน้าแปรงฟันเพื่อพักผ่อน จังหวะที่เขาเดินผ่านห้องรับแขกไปนั้น จู่ ๆ ก็ชะงักและเลี้ยวไปอีกทาง

ไม้อวบน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกระถางนั้นเหี่ยวเฉา ปราศจากความสดใสเฉกเช่นตอนเพิ่งมา ใบอวบอิ่มเริ่มออกสีเหลือง ร่วงหล่นทีละใบ บ่งบอกว่าชีวิตของมันกำลังจะล่วงเลยไปในไม่ช้า

เดิมทีหลงเซินอยากจะรดน้ำให้มันสักหน่อย แต่นึกขึ้นได้ว่าตงจื้อเคยบอกว่าพืชชนิดนี้ไม่ชอบน้ำ หัวคิ้วจึงอดขมวดเข้าหากันไม่ได้

รองอธิบดีหลงผู้เก่งกาจไปเสียทุกอย่าง กำลังมองบอนไซจิ๋วตรงหน้าเสมือนกำลังมองปีศาจมนุษย์ จมดิ่งสู่ภาวะนิ่งงันไปชั่วขณะ

อึดใจต่อมาเขาก็เปิดโทรศัพท์ กรอกคำว่า “หยกน้ำค้างกำลังจะตาย ทำยังไงดี” ลงไปในนั้น

คำตอบมีมากมายร้อยแปดพันเก้า ดู ๆ ไปแล้วที่พอจะน่าเชื่อถือได้คือ รากมันอาจจะอึดอัด ลองเปลี่ยนกระถางก้นลึกกว่าเดิมให้มัน แล้วเปลี่ยนเป็นดินแห้ง ๆ ใหม่ดู

อย่างไรเสียมันก็คือชีวิตหนึ่ง หลงเซินที่ตอนแรกคิดจะไปทางห้องน้ำ ต้องหยิบกระถางดอกไม้เดินออกไปข้างนอกเพื่อไปร้านดอกไม้ หาคนช่วยชีวิตมันอย่างไม่มีทางเลือก

ก่อนออกจากห้อง ในหัวเขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น

ยุ่งยากชะมัด ครั้งต่อไปอย่ารับของขวัญอะไรเลยจะดีกว่า

ตงจื้อไม่รู้ว่าพืชต้นเล็ก ๆ หนึ่งกระถางที่ตนให้ไปจะทำให้อีกฝ่ายปวดหัวเช่นนี้ เขาเพิ่งเปิดคอมพิวเตอร์ ก็ได้รับสายจากกู้เหม่ยเหริน

กู้เหม่ยเหรินบอกว่ารุ่นพวกเขามีผู้เข้าสอบคนหนึ่งชื่อหลี่อิ้ง อยากจะเลี้ยงข้าวทุกคนเพื่อทำความรู้จักกัน เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่ยุ่งกับการเตรียมสอบ หลาย ๆ คนจึงยังไม่รู้จักกัน

อีกฝ่ายมีเพียงเบอร์ติดต่อของกู้เหม่ยเหริน ไม่มีเบอร์ของตงจื้อ จึงให้กู้เหม่ยเหรินเรียกตงจื้อไปด้วย กู้เหม่ยเหรินไม่ค่อยชอบกิจกรรมรวมตัวสังสรรค์ทำนองนี้ แต่ถ้าตงจื้อไป มีคนสนิทไปเป็นเพื่อน หล่อนก็จะไปด้วย

ตงจื้อได้ยินความลังเลของหล่อนจึงตอบตกลง

ในแต่ละกลุ่มมักจะมีเพื่อนคนหนึ่งที่ออกหน้าจัดงานรวมตัวเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก ยังไงต่อจากนี้ไปก็มีความเป็นไปได้ว่าทุกคนอาจกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ต่อให้ปีนี้จะมีบางคนตกรอบ และอาจไม่ได้กลับมาสอบใหม่ในปีหน้า แต่คนเราเมื่อมาบรรจบพบเจอกันแล้ว ย่อมมีโอกาสให้พึ่งพากันเสมอ มีเพื่อนเพิ่มขึ้นหนึ่งคนก็เท่ากับมีเส้นสายเพิ่มขึ้นหนึ่งทาง

เวลานัดกินข้าวคือช่วงพลบค่ำ ตงจื้อวาดการ์ตูนอยู่พักหนึ่ง ตาเหลือบเห็นว่าได้เวลาแล้ว จึงออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับกู้เหม่ยเหรินไว้

ครั้งนี้กู้เหม่ยเหรินเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีน ดูเผิน ๆ ยิ่งเหมือนเด็กนักเรียนเข้าไปใหญ่

เขาเห็นตัวคนแต่ไกลจึงรีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหา “ขอโทษที ฉันมาสาย”

กู้เหม่ยเหรินยิ้มบาง” ไม่เป็นไร ฉันมาเร็วเอง”

สถานที่กินข้าวคือร้านอาหารที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งสองเดินผ่านถนนย่านการค้า มุ่งหน้าไปยังจุดหมาย ตงจื้อแซวว่า “เสียดายที่ปาซางออกเดินทางไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้มากินข้าวฟรีหนึ่งมื้อ”

กู้เหม่ยเหรินบอก “ฉันไม่สนิทกับพวกเขาเหมือนกัน ไปถึงยังไงก็หารกันเถอะ จะได้ไม่อึดอัด”

ตงจื้อคิดพักหนึ่งก่อนบอก “ฝ่ายนั้นบอกแล้วว่าจะเลี้ยงข้าว หารกันคงไม่ได้ เดี๋ยวพวกเราซื้อติ่มซำพื้นเมืองหน้าร้านเข้าไปแบ่งทุกคนแล้วกัน”

กู้เหม่ยเหรินเห็นด้วยอย่างยิ่ง “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

หล่อนไม่ยอมเอาเปรียบผู้อื่น ซ้ำยังไม่แสร้งวางมาดเป็นผู้ดี เลือกปฏิบัติต่อคนใกล้ชิดและคนไม่สนิทต่างกัน เพื่อนแบบนี้คบด้วยแล้วสบายใจมาก

ตงจื้อถาม “หลี่อิ้งเป็นคนที่นี่เหรอ ครั้งนี้นอกจากพวกเราที่มาแล้วยังมีใครอีกบ้าง”

กู้เหม่ยเหรินเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “พ่อเขาชื่อหลี่รุ่ย รู้สึกจะเป็นหนึ่งในกรรมการสอบสัมภาษณ์พวกเราครั้งนี้นี่แหละ นายรู้จักไหม”

ตงจื้อ “…”

ไม่ได้รู้จักเฉย ๆ แต่เพิ่งโดนด่ามายกหนึ่งด้วย

ตอนเช้าทำให้คนพ่อไม่พอใจ ตอนค่ำลูกชายนัดออกมากินข้าว ถามหน่อยว่าต้องรู้สึกยังไงดี

จู่ ๆ เขาก็เกิดความคิดชั่ววูบ อยากหันหัวกลับขึ้นมา

ตงจื้อฝืนยิ้ม “รู้จักจริง ๆ นั่นแหละ”

เขาเล่าเหตุการณ์ตอนสอบสัมภาษณ์ให้ฟังคร่าว ๆ กู้เหม่ยเหรินตกตะลึงตาค้างไปด้วย “ถ้างั้นพวกเราไม่ไปดีไหม”

ที่หล่อนพูดคือ “พวกเรา” ไม่ใช่ “ฉัน” ตงจื้อซาบซึ้งใจ “ไม่ต้องหรอก นัดกันไว้แล้วอย่ากลับคำเลย”

ทั้งสองเดินเข้าไปในร้าน บอกชื่อหลี่อิ้ง จากนั้นพนักงานก็นำทางไปที่ห้องส่วนตัวซึ่งจองไว้เรียบร้อยแล้ว

ภายในห้องมีคนนั่งอยู่แล้วเจ็ดแปดคน ทั้งบุรุษและสตรี หนึ่งในนั้นมีหลิวชิงปัวที่ตงจื้อรู้จักอยู่ด้วย

เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา ชายคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “พวกนายมาช้าสุดเลย เดี๋ยวต้องโดนกินเหล้าทำโทษนะ”

ว่าพลางลุกขึ้น ยื่นมือมาทางตงจื้อ “ฉันชื่อหลี่อิ้ง นายคงเป็นตงจื้อสินะ ที่หนึ่งของการสอบข้อเขียน ได้ยินชื่อมานานแล้ว ช่วยชี้แนะด้วย”

เขาแสดงความใจกว้าง ดูเหมือนไม่รู้เรื่องระหว่างตงจื้อกับบิดาของตน ตงจื้อจับมืออีกฝ่าย บอกด้วยรอยยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จัก อย่าพูดเรื่องสอบข้อเขียนได้ที่หนึ่งเลย แค่โชคดีที่มีเวลาท่องหนังสือหลายวันเท่านั้น”

หลี่อิ้งหลุดหัวเราะ “ก็ได้ จริง ๆ วันนี้คนยังไม่ครบเท่าไหร่ มีบางคนที่ยังมาไม่ได้ มีแค่พวกเราไม่กี่คนนี่แหละ แต่ทุกคนสอบด้วยกัน เดิมทีก็มีวาสนาต่อกันอยู่แล้ว ไม่ต้องสนว่าต่อจากนี้ไปจะได้เป็นเพื่อนร่วมงานกันหรือเปล่า หวังว่าต่อไปอย่าขาดการติดต่อกันก็พอ ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่วันนี้ให้เกียรติฉัน ตกลงกันแล้วนะว่ามื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง เดี๋ยวอย่าได้แย่งกันขอบิลเชียว ฉันมือสั้น แย่งพวกนายไม่ทันหรอก!”

เป็นประโยคที่กล่าวได้อย่างตลกขบขัน ทุกคนหัวเราะ บรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาก

แม้จะมีโอกาสพบหน้ากันมาแล้วสองสามหน แต่ก็ยังเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอยู่ จากการแนะนำตัว ในที่สุดตงจื้อก็จับคู่ใบหน้าและชื่อของทุกคนที่อยู่ตรงหน้าได้ทั้งหมด

เพิ่งสอบเสร็จกันมา แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาย่อมวนเวียนอยู่กับเรื่องสอบ การสอบข้อเขียนเป็นการออกคำถามชุดเดียวกัน ที่ค่อนข้างน่าสนใจและเป็นจุดที่ถูกวางยาก็คือการสอบสัมภาษณ์ ทุกคนทยอยเล่าประสบการณ์อันน่าอนาถด้วยตัวเอง

มีคนเล่าว่าตัวเองโดนถามว่า หากในอนาคตตอนไปเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนระดับโลกแล้วไปเจอผู้บำเพ็ญเพียรที่แสดงความไม่เป็นมิตรต่อประเทศจีน ควรจะตอบสนองอย่างไร มีคนบอกว่าตัวเองเป็นผู้สื่อสารกับวิญญาณ แต่กลับโดนขอให้บรรยายความแตกต่างระหว่างไสยศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับวิชากู่ของแถบเหมียวเจียงอย่างละเอียด ตอนนั้นถึงกับทำหน้างง ถึงขั้นอยากลาตายเลยด้วยซ้ำ

ได้ยินคำค่อนแคะอย่างหน้าไม่อายของทุกคนแล้ว ตงจื้อรู้สึกว่าจิตใจได้รับการปลอบประโลมครั้งใหญ่ การเศร้าเสียใจคนเดียว มิสู้มาเศร้าเสียใจไปพร้อมกับทุกคนจริง ๆ ผู้เข้าสอบทั่วโลกคงเป็นเหมือนกันหมด

เมื่อทุกคนดื่มเหล้าไปไม่ต่ำกว่าคนละสามแก้ว ต่างคนต่างก็สนิทสนมกันยิ่งขึ้น กู้เหม่ยเหรินไม่ได้เงียบขรึมเหมือนช่วงเริ่มต้นแล้ว พูดคุยถูกคอกับเด็กสาวรูปร่างหน้าตาสวยหวานข้าง ๆ

ส่วนตงจื้อคุยกับชายวัยรุ่นที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้สื่อวิญญาณเมื่อครู่นี้

อีกฝ่ายชื่อเฉิงหยวน น่าจะด้วยเหตุผลทางด้านอาชีพ บุคลิกลักษณะของเจ้าตัวจึงค่อนไปทางหม่นหมอง แต่พอสนิทกันแล้วเป็นคนช่างเจรจาทีเดียว

ตงจื้อได้รู้จากปากอีกฝ่ายว่าจริง ๆ แล้วผู้สื่อวิญญาณเป็นแค่ชื่อเรียกที่ค่อนข้างสวยหรู ปกติชาวบ้านจะเรียกว่าแม่หมอพ่อหมอ จัดเป็น “ลัทธินอกรีต” ในสายตาของสำนักธรรมมีชื่อ ถึงแม้พวกหลี่อิ้งและหลิวชิงปัวจะไม่ได้แสดงท่าทีดูถูกเฉิงหยวน แต่เฉิงหยวนยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ทว่าเขากลับพูดคุยกับตงจื้อได้อย่างถูกคอ

ขณะที่กำลังคุยกันนั้น ตงจื้อได้ยินหลี่อิ้งอุทานเสียงสูง “คนอยู่ที่นี่เยอะแยะ สู้พูดออกมาให้ทุกคนช่วยกันออกความเห็นดีกว่า”

ทุกคนต่างหยุดเรื่องที่สนทนา หันมองไปตามเสียง

ประโยคดังกล่าวของหลี่อิ้งเป็นการเอ่ยกับเด็กสาวหน้าตาสวยหวานคนนั้น

ชื่อของเธอมีความแปลกเฉพาะตัว ฉือปั้นเซี่ย ปั้นเซี่ยเป็นชื่อยาจีนขนานหนึ่ง หลายคนจึงจำได้ในทันที

กู้เหม่ยเหรินนั่งอยู่ข้าง ๆ ฉือปั้นเซี่ย เอ่ยขึ้นเช่นกันว่า “นั่นสิ คนมากพลังมาก บางทีอาจจะหาทางออกได้”

ฉือปั้นเซี่ยรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย จำต้องบอกกับทุกคนว่า “จริง ๆ เพื่อนคนหนึ่งของฉัน เธอทำงานอยู่ในวงการบันเทิง ช่วงนี้เจอเรื่องแปลก ๆ บางอย่าง กินนอนไม่ได้ เคยเชิญผู้มีฝีมือไปดูแล้วแต่ก็ไม่เป็นผลอะไรเลย ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เลยต้องมาขอความเห็นจากทุกคน”

หลิวชิงปัวถาม “เรื่องแปลกยังไง”

ฉือปั้นเซี่ยบอก “เธอมักฝันร้ายเป็นประจำ นอนก็นอนไม่ค่อยหลับ ปกติต่อให้เป็นตอนกลางวันแสก ๆ อยู่ในบ้านคนเดียว เธอยังรู้สึกเหมือนมีคนตามเธอ อีกอย่างช่วงนี้มักเกิดเรื่องกับผู้ช่วยของเธอด้วย ไม่ตกจากบันไดก็เกือบโดนรถชนตายตอนข้ามถนน ในเวลาหนึ่งเดือนสั้น ๆ เปลี่ยนผู้ช่วยไปแล้วสองคน”

หลิวชิงปัวกล่าวอย่างครุ่นคิด “เท่าที่ฟังมา ดูเหมือนจะโดนของสกปรกตามรังควาน เคยลองให้คนไปสะเดาะเคราะห์หรือยัง”

ฉือปั้นเซี่ยเอ่ย “ลองมาหมดแล้ว เธอยกห้องหนึ่งมาทำเป็นห้องพระในบ้านโดยเฉพาะ อัญเชิญพระโพธิสัตว์มาเลยด้วย แต่แค่เธอออกจากห้องพระก็จะรู้สึกไม่สบายตัวทันที เชิญของปลุกเสกเบิกเนตรมาใส่ไว้กับตัวก็ไม่ช่วยอะไร”

ได้ยินคำบอกเล่าของหล่อนแล้ว ทุกคนต่างมองหน้าสบตากัน

ถ้าอีกฝ่ายโดนสิ่งใดตามรังควานจริง ๆ งั้นนี่ก็ผิดปกติไปแล้ว!

ฉือปั้นเซี่ยกล่าว “ฉันไม่ถนัดด้านการสะเดาะเคราะห์ แต่มั่นใจว่าเธอไม่ได้โดนคุณไสย สติสัมปชัญญะก็ปกติดี”

เมื่อครู่ตอนที่แนะนำตัว หล่อนบอกว่าตัวเองมาจากตระกูลฉือแห่งไหหลำ ตงจื้อยังรู้สึกสนเท่ห์อยู่บ้าง พอได้ฟังตอนนี้ก็รู้ทันที ตระกูลฉือแห่งไหหลำ คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับวิชาไสยศาสตร์

วิชาไสยศาสตร์แพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่ากันว่าได้รับการสืบทอดมาจากสำนักเดียวกันกับวิชากู่ของแถบเหมียวเจียง ไม่สามารถตรวจสอบแหล่งกำเนิดได้

ตามตำนานพื้นบ้าน ประมาณยุคราชวงศ์ถัง พระถังซำจั๋งกลับจากการอัญเชิญพระไตรปิฎกจากอินเดีย ระหว่างทางได้ผ่านแม่น้ำทงเทียน และไม่ทันระวังทำพระไตรปิฎกตกลงไปกลางแม่น้ำ โชคดีที่ช้อนเอาส่วนใหญ่ขึ้นจากน้ำมาได้ ในบรรดาส่วนที่สูญหายไปก็คือ “คำพยากรณ์” ในพุทธศาสนานิกายหินยาน คำพยากรณ์คือวิชาสาปแช่ง หรือก็คือต้นกำเนิดของวิชาไสยศาสตร์นั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีอีกตำนานหนึ่งเล่าว่าวิชาไสยศาสตร์มีต้นกำเนิดมาจากวิชาเต๋าของเหมาซาน สรุปก็คือวิชาไสยศาสตร์ได้รับการแพร่หลายอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนธรรมดาจำนวนมากจำต้องเคารพนบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใช้คุณไสย เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ แม้แต่การตายก็คลุมเครือไม่ชัดเจน

สมัยหมิงชิง ในเขตฮกเกี้ยน กวางตุ้ง ไหหลำ มีคนจำนวนมากที่ลงไปทำการค้าขายทางทะเลใต้ และได้ทำความรู้จักกับวิชาสาปแช่งในต่างแดนอันลึกลับแบบเดียวกันนี้ ในบรรดาคนพวกนั้นมีผู้ที่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์กับอาจารย์ทำคุณไสยในต่างแดน ต่อมาก็กลับมาเปิดสำนักสอนวิชาในประเทศ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาเหล่านั้นก็คือตระกูลฉือแห่งไหหลำ

ว่ากันว่าขณะที่พ่อค้าบางคนทำการค้าอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ไปล่วงเกินคู่แข่งเข้า อีกฝ่ายได้เชิญอาจารย์คุณไสยมาทำของใส่ ต่างก็มาขอความช่วยเหลือจากตระกูลฉือกันทั้งนั้น เนิ่นนานผ่านไป ตระกูลฉือจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือ

แต่ว่าเรื่องพวกนี้ ตงจื้อเพิ่งมารู้ทั้งหมดหลังจากได้ยินกู้เหม่ยเหรินเล่าให้ฟังในภายหลังทั้งสิ้น

ในเวลานี้ ทันทีที่ฉือปั้นเซี่ยพูดออกไป ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นอยากรู้อยากลองขึ้นมา

พูดตามตรง ทุกคนในนี้ล้วนแต่เป็นวัยรุ่น ถ้าไม่เพิ่งออกจากบ้านมาหาประสบการณ์ก็มีรัศมีเรืองรองรอบตัวมาตั้งแต่เด็ก ได้มาเจอเรื่องแบบนี้ย่อมมีใจอยากคิดหาคำตอบหรือแสดงความสามารถของตนออกมาให้เต็มที่เป็นธรรมดา

ฉือปั้นเซี่ยเห็นดังนั้นจึงบอกว่า “เพื่อนฉันคนนั้นเสนอเงินรางวัลควานหาคนมีฝีมือไปทั่ว ถ้าเกิดทุกคนว่าง ลองไปดูกับฉันหน่อยเป็นไง”

หลี่อิ้งพยักหน้า “งั้นฉันไปกับเธอแล้วกัน”

เขากวาดตามองทุกคนก่อนเอ่ยยิ้ม ๆ “ต่อให้พวกเราสัมภาษณ์ผ่าน หลังจากนี้ก็ยังมีการสอบอบรมอีก ได้ยินว่าภาคปฏิบัติจริงมีความยากระดับหนึ่งเลย ตอนนี้โอกาสไม่ได้หามาง่าย ๆ ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝนแลกเปลี่ยนความรู้ก็แล้วกันนะ”

คนที่ตอนแรกยังไม่ได้ตัดสินใจ ได้ยินเขาพูดแบบนั้นจึงตัดสินใจว่าจะไปดูด้วยกันทั้งหมดนี่

ฉือปั้นเซี่ยเอ่ยยิ้ม ๆ “งั้นฉันต้องขอบคุณพวกเธอแทนเพื่อนด้วย ไม่ต้องห่วงนะ เธอจะไม่ปล่อยให้ทุกคนไปเสียเที่ยวแน่นอน”

กินอาหารกันเกือบเสร็จแล้ว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แทนที่จะนั่งพูดคุยไร้สาระกันอยู่ที่นี่ สู้ลงมือตอนนี้เลยดีกว่า

ทุกคนไม่เรียกรถก็ขับรถไปกันเอง ฉือปั้นเซี่ยบอกที่อยู่ให้ ไม่นานทุกคนก็ไปเจอกันที่โรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง

ฉือปั้นเซี่ยอธิบาย “ช่วงนี้เพื่อนฉันไม่กล้ากลับไปอยู่บ้านเลยมาอยู่ที่โรงแรมก่อน มาเจอกันที่นี่ก็สะดวกกว่าด้วย ฉันขอโทรศัพท์ก่อน ให้เธอลงมารับพวกเรา”

หล่อนต่อสายไปไม่นานก็มีหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งลงมา ท่าทางรีบเร่ง ดู ๆ ไปแล้วไม่เหมือนคนที่กำลังประสบปัญหา

ทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยปาก ทุกคนถึงรู้ว่าเธอคือผู้ช่วยของนักแสดงคนนั้นซึ่งเป็นเพื่อนกับฉือปั้นเซี่ย

ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นแต่กลับวางมาดเสียใหญ่โต ไม่ยอมโผล่มาแม้แต่หน้า ซ้ำยังบอกให้ทุกคนขึ้นไปหา จึงมีบางคนออกอาการไม่พอใจทันที

เมื่อมาถึงห้องชุดเพรสซิเดนท์เชียลสวีทชั้นบนสุด และอีกฝ่ายออกมาเปิดประตูด้วยตัวเอง พวกเขาถึงได้รู้ว่าเหตุใดหล่อนจึงทำตัวลึกลับเช่นนี้

เพราะเพื่อนของฉือปั้นเซี่ยคือฮุ่ยอี๋กวง

ฮุ่ยอี๋กวงเข้าวงการมาได้สองสามปีแล้ว ซีรี่ส์ที่เธอร่วมแสดงมีตั้งแต่บทตัวประกอบหญิงไปจนถึงบทนางเอก ชื่อเสียงไต่ระดับอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดาราที่กำลังมีชื่ออยู่ในขณะนี้ มีแฟนคลับจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีปาปารัซซี่จำนวนไม่น้อยที่คอยจับตาดูทุกพฤติกรรมวาจาของเธอ หากมีคนรู้ว่าช่วงนี้เธอถูกสิ่งชั่วร้ายตามติด คงเกิดเป็นข่าวซุบซิบทั่วบ้านทั่วเมืองทันที และภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือโฆษณาที่จะเรียกตัวเธอไปถ่ายทำต้องลดจำนวนลงขนานใหญ่แน่นอน

ฮุ่ยอี๋กวงนอกจอยังสวยจับใจเหมือนเดิม เพียงแต่ใต้ตามีรอยคล้ำเล็กน้อย บ่งบอกว่านอนหลับไม่เพียงพอ เป็นอาการของผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน

หล่อนคิดไม่ถึงว่าฉือปั้นเซี่ยจะพาคนมาหามากมายขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าหล่อนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งตอนเปิดประตู

ฉือปั้นเซี่ยบอก “อี๋กวง พวกเขาทุกคนเป็นเพื่อนฉันเอง ต่างคนต่างก็มีความถนัดคนละด้าน ฉันมองไม่ออกว่าปัญหาที่ตัวเธอคืออะไรเลยเชิญพวกเขามาด้วย ระดมสมองกันหลายคน ช่วยกันขบคิด บางทีอาจจะเจอคำตอบก็ได้”

ฮุ่ยอี๋กวงรู้ว่าฉือปั้นเซี่ยทำงานอะไร ย่อมเข้าใจว่าหล่อนหมายถึงอะไร ได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนตื้นตันทันที “ขอบใจเธอมากนะ ปั้นเซี่ย ขอบคุณทุกคนค่ะ รีบเข้ามาสิ เชิญนั่งตามสบาย”

ห้องรับแขกในห้องชุดเพรสซิเดนท์เชียลสวีทกว้างขวางมาก ทุกคนแยกย้ายกันไปนั่ง ฮุ่ยอี๋กวงให้ผู้ช่วยนำเครื่องดื่มกับขนมเข้ามา ไม่มีขาดตกบกพร่อง

ฮุ่ยอี๋กวงเอ่ย “ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะวางท่า ไม่ยอมลงไปรับทุกคนด้วยตัวเอง ชีวิตส่วนตัวของฉันทุกนาทีอยู่ภายใต้การจับจ้องของเลนส์กล้องนักข่าวตลอดเวลา ถ้าเมื่อกี้ฉันลงไป พรุ่งนี้พวกคุณคงได้ขึ้นไปอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์กับฉัน”

ฉือปั้นเซี่ยแนะนำ “อี๋กวงเป็นเพื่อนที่โรงเรียนของพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องฉัน แล้วก็เป็นเพื่อนและคนบ้านเดียวกับฉันด้วย ครั้งนี้ต้องรบกวนทุกคนแล้ว”

หลี่อิ้งบอกฮุ่ยอี๋กวง “ลองเล่าปัญหาของคุณมาก่อนเถอะ”

พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฮุ่ยอี๋กวงก็ฉายแววหมองคล้ำ

คำบอกเล่าของเธอใกล้เคียงกับที่ฉือปั้นเซี่ยเล่ามาทั้งหมด ที่ต่างออกไปมีเพียงแค่เธอเล่าได้ละเอียดกว่าเท่านั้น

จากความทรงจำของฮุ่ยอี๋กวง เรื่องประหลาดเกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน ตอนกลางวันเธอมักได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังพูดอยู่ข้างหู แต่เมื่อลองตั้งใจฟังให้ดีกลับได้ยินไม่ชัด ตอนแรกเธอยังนึกว่าตัวเองถ่ายละครเหนื่อยเกินไปจึงหลอนไปเอง แต่หลังจากพักผ่อนสองสามวันก็แล้ว ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก็แล้ว กลับไม่ดีขึ้นเลย พอนานวันเข้า แม้กระทั่งการนอนก็มักจะมีปัญหานอนไม่หลับบ่อย ๆ รู้สึกตลอดเวลาว่ามีคนกำลังมองเธออยู่ข้างเตียง เพราะเหตุนี้เธอจึงสะดุ้งตื่นกลางดึกเป็นประจำ เมื่อกลางคืนนอนไม่หลับจึงส่งผลให้ไม่มีสมาธิทำงาน ครั้งที่แล้วเกือบกลิ้งตกจากบันไดในสถานที่ถ่ายทำ

ฮุ่ยอี๋กวงถลกแขนเสื้อขึ้น ทุกคนมองเห็นรอยนิ้วมือห้านิ้วสีเขียวช้ำปรากฏขึ้นบนแขนขาวนวลของเธอ สะดุดตาเป็นอย่างมาก

“รอยนี้เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน ตอนที่ฉันพักอยู่ในโรงแรมข้างสถานที่ถ่ายทำ ตอนนั้นฉันเรียกผู้ช่วยให้มานอนห้องเดียวกับฉันด้วย แต่เธอไม่รู้สึกอะไรเลย” ใบหน้าของฮุ่ยอี๋กวงเผยความหวาดกลัวชัดเจน ถึงแม้ตอนนี้จะมีหลายคนอยู่ด้วย แต่ก็ควบคุมร่างกายให้หยุดสั่นเทิ้มไม่ได้

“ที่พิลึกที่สุดคือภายในเดือนเดียวกัน ผู้ช่วยสองคนก่อนของฉันมักจะได้รับบาดเจ็บโดยไม่มีสาเหตุ มีอยู่คนหนึ่งที่เกือบโดนรถชน เสี่ยวหานที่อยู่ด้วยตอนนี้คือคนที่บริษัทเพิ่งส่งมาให้ฉันตอนถ่ายละครใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”

หลี่อิ้งได้ยินดังนั้นก็มองไปที่ผู้ช่วยคนใหม่ “ถ้างั้นหลังจากที่คุณมาคอยช่วยคุณฮุ่ยแล้ว ได้เจอเรื่องแปลก ๆ บ้างไหม”

เสี่ยวหานส่ายหน้า บ่งบอกว่ายังไม่เคยเจอจนถึงบัดนี้

หลี่อิ้งถามฮุ่ยอี๋กวงต่อ “ถ้างั้นตอนคุณอยู่ในโรงแรมห้องนี้ ได้เจอเรื่องแปลก ๆ ไหม”

ฮุ่ยอี๋กวงบอก “ซีนของฉันยังถ่ายไม่เสร็จ แต่ฉันทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ตอนกลางคืนไม่เป็นอันพักผ่อน ตอนกลางวันก็เทคแล้วเทคอีก ฉันลาหยุดกับผู้กำกับสองวัน มาถึงที่นี่เมื่อวาน จนถึงตอนนี้ยังนับว่าสงบดีค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าคืนนี้ยังจะมาอีกไหม ฉันกลัวมากจริง ๆ พวกคุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ”

ดวงตาของเธอเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ ท่าทางน่าสงสารทำให้ทุกคนที่เห็นอดรนทนไม่ได้

หลี่อิ้งปลอบ “คุณใจเย็นก่อนนะ ขอพวกเราลองดูก่อน”

ฉือปั้นเซี่ยบอกด้วยว่า “เธอวางใจเถอะ เพื่อนฉันพวกนี้เก่งกันมาก ๆ”

ฮุ่ยอี๋กวงพยักหน้าติด ๆ กันด้วยความซาบซึ้ง “รบกวนพวกคุณด้วย ถ้ามีความจำเป็นอะไรให้ช่วย บอกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะคะ”

ไม่นานทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหว

บางคนหยิบเข็มทิศออกมา บางคนสำรวจรอบ ๆ ห้องชุด ตงจื้อยังไม่ได้พกเข็มทิศติดตัวจนเป็นนิสัย จึงได้แต่มองความวุ่นวายอยู่ด้านหลังคนอื่น

เมื่อครู่ที่เขาได้ฟังคำพูดของฮุ่ยอี๋กวง เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะโดนผีร้ายหรือสิ่งชั่วร้ายอะไรบางอย่างตามติดจริง ๆ ตามหลักแล้วคนที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ที่สุดน่าจะเป็นเฉิงหยวนซึ่งเป็นผู้สื่อสารกับวิญญาณมากกว่า แต่อีกฝ่ายเดินวนรอบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า บอกว่าภายในห้องชุดสะอาดดี ไม่เจออะไร

ฮุ่ยอี๋กวงทำตามคำขอ เปิดกระเป๋าเดินทางของตนให้พวกเขาตรวจสอบ สุดท้ายไม่มีใครพบความผิดปกติ

ฉือปั้นเซี่ยจึงบอกว่า “เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าที่บ้านเธอก็มีปัญหา ให้พวกเราลองไปดูที่บ้านเธอด้วยได้ไหม”

พูดถึงที่นั่นแล้ว ฮุ่ยอี๋กวงก็อดแสดงสีหน้าหวาดหวั่นไม่ได้ “ได้อยู่แล้ว ให้ผู้ช่วยฉันพาพวกเธอไปแล้วกัน ฉันเคยเจอเรื่องแปลก ๆ ในโรงแรมของสถานที่ถ่ายทำด้วย แต่ตอนนี้คืนห้องไปแล้ว ถ้าจะไปใหม่คงไม่สะดวก”

หลี่อิ้งพยักหน้า “ไม่ต้องไปโรงแรม ไปบ้านคุณนั่นแหละ”

ผู้ช่วยเสี่ยวหานพาพวกเขาลงไปใต้ตึก รวมฉือปั้นเซี่ยด้วยแล้วมีทั้งหมดสิบคน แยกย้ายกันนั่งรถสามคัน ตงจื้อ เฉิงหยวน กับกู้เหม่ยเหรินนั่งคันเดียวกัน

เฉิงหยวนกล่าวขณะอยู่บนรถ “ฉันไม่เห็นร่องรอยที่สื่อว่ามีสปิริตตามติดบนตัวเธอเลย”

สปิริตที่เขาพูดถึงก็คือผี แต่เพื่อไม่ให้คนขับตกใจกลัว จึงเปลี่ยนมาใช้คำศัพท์ที่ค่อนข้างกำกวมแทน

กู้เหม่ยเหรินบอก “ฉันก็ไม่เจออะไรเลยเหมือนกัน”

ตงจื้อบอกอย่างละอายใจ “พวกนายไม่เจออะไรเลย ฉันยิ่งแล้วใหญ่ แต่ฉันคิดว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่น่าสงสัย”

ทั้งสองมองมาที่เขา ตงจื้อเหลือบมองคนขับแวบหนึ่ง “ไว้ลงจากรถแล้วค่อยคุย”

ขณะที่พูด รถก็มาถึงที่หมายพอดี หมู่บ้านหรูขนาดย่อมที่มีสภาพแวดล้อมสวยงามแห่งหนึ่ง

ในกรุงปักกิ่ง ช่วงถนนแบบนี้ บ้านแบบนี้ ราคาไม่ใช่ถูก ๆ แน่ แต่จากฐานะของฮุ่ยอี๋กวง ย่อมมีปัญญาซื้อ

ผู้ช่วยนำคีย์การ์ดกับกุญแจมาด้วย แต่เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของบ้านจึงถูกขอให้ลงชื่อยืนยันตัวตนไว้ถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้า เข้มงวดถึงขั้นนี้ ยากที่จะจินตนาการว่าจะมีพวกโจรย่องเบาเข้ามาฉกฉวยโอกาสในช่วงเวลาชุลมุน

แต่บนโลกใบนี้ หลาย ๆ เรื่องไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายให้เข้าใจด้วยหลักการทั่วไปได้เสมอ

หนึ่งสัปดาห์ที่ไม่ได้ทำความสะอาด พอเปิดประตูเข้าไปจึงมีกลิ่นอับโชยปะทะหน้าทันที

ผู้ช่วยเปิดไฟ ก่อนพาทุกคนเข้าไป

บ้านมีขนาดใหญ่โต ตกแต่งสวยงาม สไตล์เมดิเตอร์เรเนียน แต่ในมุมของตงจื้อ เขาคิดว่าบ้านไม่จำเป็นต้องหลังใหญ่ แค่ให้อยู่ได้ก็เพียงพอแล้ว

ครั้งหนึ่งที่เขาคุยกับคั่นเฉาเซิง ได้ยินอีกฝ่ายบอกมาว่า คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้าน ต่างก็คิดว่ายิ่งบ้านหลังใหญ่เท่าไหร่ยิ่งดี แต่ถ้าบ้านหลังใหญ่เกินไปแต่มีคนอยู่น้อยก็จะเห็นชัดถึงความว่างเปล่าได้ง่าย ขาดการไหลเวียนถ่ายเทของพลังชีวิต พลังหยางไม่เพียงพอ และจะก่อให้เกิดปัญหาง่าย ตอนนั้นเขายังสงสัยอยู่ ถามไปว่าสมัยโบราณครอบครัวใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่กันหมดไม่ใช่เหรอ คั่นเฉาเซิงทำปากมุ่ย บอกว่านายก็รู้นี่ว่าเป็นครอบครัวใหญ่ คนเขามีทาส มีขี้ข้ากองเบ้อเริ่ม จะให้นับว่าพลังชีวิตไม่พอได้ยังไง

ขณะนี้ตัวอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของฮุ่ยอี๋กวง อยู่ดี ๆ ตงจื้อก็นึกถึงคำพูดของคั่นเฉาเซิงขึ้นมา

ห้องนอนมีขนาดใหญ่มากเช่นกัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ประตูเปิดไปทางทิศตะวันออก มีหน้าต่างบานเปิดขนาดใหญ่ด้านหนึ่ง คงเป็นห้องแรกที่รับแสงยามรุ่งอรุณ

ภายในเต็มไปด้วยข้าวของของหญิงสาว เครื่องสำอางวางเต็มโต๊ะ บนเตียงมีชุดกระโปรงที่ยังไม่ทันเก็บอยู่ด้วย ส่วนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามีเสื้อผ้าอยู่สองสามตู้ เห็นได้ชัดว่ามาตรฐานการครองชีพของฮุ่ยอี๋กวงดีมาก เสื้อผ้าล้วนเป็นคอลเลคชั่นใหม่ตามฤดูกาล ด้วยอาชีพของตงจื้อ ทำให้บางครั้งเขาต้องติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแฟชั่นวีคในแต่ละปีอยู่บ้าง เขาตาไว พบว่าภายในนั้นยังมีเสื้อผ้าที่สั่งตัดเป็นพิเศษของแบรนด์หรูระดับไฮเอนด์อีกสองสามชุดด้วย เห็นได้ชัดว่าราคาไม่ใช่ถูก ๆ

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเสิร์ชหาข้อมูลส่วนตัวของฮุ่ยอี๋กวงบนอินเทอร์เน็ต เฉิงหยวนกับกู้เหม่ยเหรินเดินเข้ามา

“เป็นไงบ้าง” ตงจื้อถามพวกเขา

เฉิงหยวนส่ายหัว “ไม่เจออะไร”

กู้เหม่ยเหรินเองก็บอกว่า “เหมือนกัน”

กู้เหม่ยเหรินยังไม่เท่าไหร่ แต่เฉิงหยวนบอกว่าไม่เจออะไร ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าบ้านหลังนี้สะอาดดี

ในเมื่อสะอาดเรียบร้อยดี ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงเกิดเรื่องกับฮุ่ยอี๋กวงเป็นประจำเมื่ออยู่ที่นี่

กู้เหม่ยเหรินคาดการณ์ “หรือจะเกี่ยวข้องกับตัวเธอเองหรือเปล่า เพราะเธอบอกว่าเกิดเรื่องที่โรงแรมในสถานที่ถ่ายทำด้วย”

เฉิงหยวนส่ายหน้า “ฉันไม่เจออะไรผิดปกติบนตัวเธอเลย”

เขามองมาทางตงจื้อ “เมื่อกี้ตอนอยู่บนรถนายมีเรื่องจะพูด เรื่องอะไรเหรอ”

ตงจื้อบอก “เธอบอกว่าเปลี่ยนผู้ช่วยคนที่สามมาเมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะผู้ช่วยสองคนก่อนต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากที่เธอเปลี่ยนมาเป็นผู้ช่วยคนที่สามแล้ว ตัวเองก็ยังเจอเรื่องแปลก ๆ อยู่ แต่ผู้ช่วยคนที่สามกลับปกติสุขดี พวกนายไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ”

กู้เหม่ยเหรินกับเฉิงหยวนมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงรายละเอียดจุดนี้เลย

เฉิงหยวนใคร่ครวญอย่างไม่แน่ใจ “นายหมายความว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้ช่วยสองคนก่อนของเธอเหรอ”

ตงจื้อบอก “บางทีอาจมีเรื่องอะไรที่ผู้ช่วยสองคนก่อนของเธอทำ แต่ผู้ช่วยคนที่สามไม่เคยทำ เรื่องนี้ต้องถามฮุ่ยอี๋กวงเองแล้ว”

ทุกคนเดินวนในบ้านหนึ่งรอบ แม้แต่ห้องพระเล็กก็ไปมา แต่โดยรวมแล้วไม่พบอะไรเลย

ตงจื้อเล่าจุดน่าสงสัยที่ตนพบให้คนอื่นฟัง

“ฉันคิดว่าคุณฮุ่ยอาจจะมีเรื่องอะไรบางอย่างปิดบังเราอยู่ หรือไม่เธอก็รู้สึกไม่สะดวกที่จะเล่าให้เราฟัง แต่ถ้าเธอไม่อธิบายให้แน่ชัด พวกเราก็ไม่มีวันหาเบาะแสเจอ”

ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็มีสีหน้าไม่ค่อยยินดี

ผู้ช่วยเสี่ยวหานรีบบอก “คุณฮุ่ยไม่ใช่คนแบบนั้น เธอเชิญทุกคนมาช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ!”

หลี่อิ้งไม่สนใจหล่อน บอกฉือปั้นเซี่ยไปว่า “เสี่ยวฉือ เธอก็รู้ภูมิหลังของพวกเราดีว่าเป็นมายังไง ถึงไม่เข้าขั้นอัจฉริยะ แต่อย่างน้อยก็มีความสามารถอยู่บ้าง ถ้าแม้แต่พวกเรายังมองปัญหาไม่ออกแล้ว ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยดูดวงชะตาพวกนั้นยิ่งดูไม่ออกไปกันใหญ่”

ฉือปั้นเซี่ยค่อนข้างกระดากใจ “ขอโทษด้วย ฉันรู้เท่าที่พวกเธอรู้นั่นแหละ ฝั่งฉันไม่มีอะไรที่ปิดบังไว้เลย!”

ว่ากันตามตรง เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ ทุกคนเริ่มสงสัยกันไม่มากก็น้อยแล้วว่าจริง ๆ ว่ามันเป็นภาพหลอนที่เกิดขึ้นเอง เนื่องจากฮุ่ยอี๋กวงกดดันเรื่องงานมากเกินไป ความอยากรู้อยากเห็นในตอนแรกจางหายไปเกือบหมด บวกกับรู้สึกไม่พอใจที่หล่อนมีเรื่องปกปิดด้วย จึงไม่คิดจัดการอะไรต่อไปอีก

แต่ตอนนั้นเองที่ผู้ช่วยเสี่ยวหานรับสายโทรศัพท์

เสียงร้องแหลมสูงของฮุ่ยอี๋กวงจากปลายสายแทบดังทะลุลำโพงออกมา แม้แต่พวกตงจื้อยังจับใจความได้

“มันมาอีกแล้ว! มันมาอีกแล้ว! ช่วยด้วย! รีบกลับมาช่วยฉันที!”

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า