[ทดลองอ่าน] แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ เล่ม 2 ตอนที่ 37

แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ

步天纲 (Bu Tian Gang)

 

梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน

ลลิตา ธ. แปล

 

นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

ตอนที่ 37

 

สวนสาธารณะเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง กลางดึกเงียบสงัด ไฟตามทางมืดสลัว มีคนจรจัดกับคนไร้บ้านโผล่ออกมาเป็นระยะ เสียงสวบสาบดังอยู่กลางพงไม้ ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์เล็ก ๆ ที่ผ่านมา หรือเป็นชายหญิงที่ออกมาหาความตื่นเต้นในนี้

ในมือหลี่อิ้งมีเข็มทิศอยู่อันหนึ่ง เขาเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด ก้มดูทิศทางเป็นระยะ

ตอนกลางวัน ต้นไม้เขียวชอุ่มในสวนสาธารณะให้ร่มเงา มีใบไม้ร่วงประปรายในช่วงฤดูร้อนไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง เพิ่มความโรแมนติกยิ่งกว่าเดิม ชาวเมืองจำนวนมากในพื้นที่ชอบเลือกที่นี่มาเป็นฉากถ่ายรูป แต่ตอนกลางคืนกลับแตกต่างออกไป ไม่รู้เป็นเพราะผลทางจิตวิทยาหรือเปล่า ตงจื้อกับกู้เหม่ยเหรินถึงได้รู้สึกว่าบริเวณโดยรอบอึมครึมน่ากลัว

สวนสาธารณะมีขนาดกว้างขวางมาก หลี่อิ้งเดินลัดเลาะเส้นทางหลักซึ่งมีเงาไม้ เลี้ยวเข้าไปในป่าเล็ก ๆ ด้านข้าง และเดินตัดผ่านสนามหญ้าลาดชัน สุดท้ายมาโผล่ที่ข้างทะเลสาบเทียม

หลี่อิ้งชะงักเท้า

ทุกคนมองไปยังเข็มทิศบนมือเขาตามสัญชาตญาณ เห็นเพียงเข็มบนหน้าปัดหยุดนิ่งไม่กระดิกกระเดี้ยเหมือนโดนอะไรบางอย่างยึดไว้

หลี่อิ้งหมุนตัวไปรอบ ๆ หลายทิศ ออกแรงเขย่าเข็มทิศ แต่เข็มแท่งนั้นไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย

“แปลก” เขาพึมพำ

หลายคนเงยหน้ามองออกไป ทะเลสาบเทียมแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตมาก มองไปไม่เห็นปลายทาง ที่ข้างทะเลสาบมีหลอดไฟกลางคืนอยู่ด้วย แต่ระดับความสว่างไม่มากพอจะทำให้พวกเขาเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

“ทำไงดีตอนนี้ พวกนายมีใครเอาเข็มทิศมาบ้าง” หลิวชิงปัวถาม

ตงจื้อส่ายหน้า ถึงแม้ตัวเขาจะแขวนชื่อศิษย์จากสำนักเก๋อเจ้าไว้ แต่ก็เป็นแค่ “ของลอกเลียนแบบ” ไม่เคยมีนิสัยติดใช้เข็มทิศมาก่อน

ตอนนั้นเองที่กู้เหม่ยเหรินหยิบกระบองเล็กด้ามสั้นท่อนหนึ่งออกจากกระเป๋าสะพายข้าง เดินไปที่ริมทะเลสาบ นำกระบองมาไว้ข้างปาก แล้วเริ่มเป่าเป็นจังหวะ

อาศัยแสงไฟตามทางอันมืดสลัว ตงจื้อเห็นว่าจริง ๆ แล้วกระบองนั้นเป็นขลุ่ยเลาหนึ่ง สีเขียวมรกต คล้ายขลุ่ยไม้ไผ่

เสียงขลุ่ยไม่ได้ตรงตามทำนองเพลง แต่กลับไพเราะเสนาะหู ลอยออกไปไกลในค่ำคืนอันเงียบสงบ

เสียงเคลื่อนไหวสวบสาบดังมาจากพงหญ้า คนอื่น ๆ หันมองไปตามเสียงแล้วอดสะดุ้งตกใจไม่ได้

งูขนาดเล็กตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากพงหญ้าไปทางบริเวณที่กู้เหม่ยเหรินยืนอยู่

“ระวัง!”

ทว่ากู้เหม่ยเหรินกลับไม่ขยับเขยื้อน ไม่ได้หยุดเสียงขลุ่ยลง

อสรพิษน้อยไม่ได้กระทำการจู่โจมหล่อน แต่กลับยกลำตัวช่วงบนขึ้น แลบลิ้นใส่กู้เหม่ยเหริน เกิดเสียงซิ้ด ๆ คล้ายกำลังสนทนากัน

เสียงขลุ่ยเปลี่ยนเป็นถี่กระชั้น

ครู่เดียว งูน้อยก็หมุนตัวจากไปในที่ที่มันออกมา

ส่วนกู้เหม่ยเหรินวางขลุ่ยลง บอกพวกเขาว่า “น่าจะเป็นทางนั้น ตามฉันมา!”

หลิวชิงปัวคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ถามขึ้นว่า “แม่ฉันเคยบอกว่าแถว ๆ อำเภอเหมิ่งซิ่วในนครรุ่ยลี่ [1] มีเซียนขลุ่ยท่านหนึ่งที่สามารถล่องูได้ เธอรู้จักไหม”

กู้เหม่ยเหรินบอกยิ้ม ๆ “คนที่นายพูดถึงน่าจะเป็นคุณยายฉัน แต่ว่าเธอไม่ใช่เซียนขลุ่ยอะไรหรอก นั่นเป็นแค่คำสรรเสริญของคนในอำเภอก็เท่านั้น”

ทุกคนเดินอ้อมทะเลสาบเทียมไปกว่าครึ่งทางแล้ว ในที่สุดก็เห็นร่างคนคนหนึ่งนอนฟุบอยู่ไม่ไกล

“นั่นใช่ฉือปั้นเซี่ยไหม” หลี่อิ้งเป็นคนแรกที่จำได้ก่อน

ทุกคนวิ่งเข้าไป พบว่าตั้งแต่บริเวณทรวงอกของฉือปั้นเซี่ยลงไปทั้งหมดจมมิดอยู่ในน้ำ สติสัมปชัญญะหายไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมือข้างหนึ่งตะครุบดินโคลนที่ถมไว้แน่น เกรงว่าตอนนี้คงจมไปแล้วทั้งตัว

นิ้วมือขวาทั้งห้านิ้วของหล่อนจิกลึกลงไปกลางสนามหญ้า พื้นที่โดยรอบค่อนข้างเละเทะ แม้กระทั่งรากของต้นหญ้ายังโดนถอนขึ้นมา เห็นได้ชัดถึงความรุนแรงจากการกระเสือกกระสนในตอนนั้น

ตอนที่ทุกคนช่วยเธอขึ้นมานั้น พบว่ามืออีกข้างของเธอยังคงห้อยอยู่กลางน้ำ ในมือกำพืชน้ำกองใหญ่ที่มีหินพ่วงหนักเทอะทะมาด้วย

มือของฉือปั้นเซี่ยกำพืชกองนั้นแน่น ทำอย่างไรก็แกะไม่ออก

กู้เหม่ยเหรินลองผายปอดให้เธอ แต่ไม่เป็นผล

“ทำไงดี”

“ฉันเอง” หลี่อิ้งบอก สองมือของเขากดลงบนขมับสองข้างของฉือปั้นเซี่ย ก่อนคำรามเสียงดัง “เฮ้!”

ร่างฉือปั้นเซี่ยกระตุกเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงค่อย ๆ ได้สติ

หล่อนสะลืมสะลือมองทุกคน จับต้นชนปลายไม่ถูก

“ฉือปั้นเซี่ย!” หลี่อิ้งตบแก้มหล่อน “เธอเป็นไงบ้าง ได้ยินที่พวกเราพูดไหม”

ฉือปั้นเซี่ยพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น หลังจากนั้นก็ไออย่างรุนแรง กู้เหม่ยเหรินประคองลำตัวช่วงบนของเธอขึ้นมาลูบหลังเพื่อให้หายใจได้สะดวก

“แค่ก ๆ ๆ!” หล่อนไอจนน้ำมูกน้ำตาเล็ดออกมาหมด

หลี่อิ้งถาม “ฮุ่ยอี๋กวงล่ะ พวกเธอออกมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ เธอตกน้ำไปเหมือนกันหรือเปล่า”

“ฉันไม่รู้…” ฉือปั้นเซี่ยหายใจเข้าลึก เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่พวกเธอเพิ่งประสบมา

ฮุ่ยอี๋กวงยืนกรานว่าจะออกไปซื้อมาส์กหน้ากลางดึก เดิมทีพฤติกรรมนี้ก็แปลกอยู่แล้ว แต่ฉือปั้นเซี่ยรู้จักเธอมานาน รู้ดีว่าเธอเป็นคนรักสวยรักงามมาก จึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกเกินไป ฮุ่ยอี๋กวงบอกว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวนี้ไม่มียี่ห้อที่เธออยากได้ ต้องขับรถออกไปซื้อที่อื่น ผลปรากฏว่ายิ่งขับออกไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งออกนอกเส้นทางไปเรื่อย ๆ ฉือปั้นเซี่ยรู้สึกอยู่ก่อนแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบบอกให้เธอจอดรถข้างทาง ฮุ่ยอี๋กวงก็จอดรถตามที่บอกจริง ๆ

ฉือปั้นเซี่ยบอก ‘เลิกเอาแต่ใจได้แล้ว พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ’

จากนั้นเธอก็ได้ยินฮุ่ยอี๋กวงพูดช้า ๆ ‘กลับ…กลับไปไหน’

ฉือปั้นเซี่ยนิ่งอึ้ง เหลียวหน้าไปมองอีกฝ่าย เห็นฮุ่ยอี๋กวงหันใบหน้ามาเช่นกัน ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะส่งรอยยิ้มน่าพิศวงให้เธอ

‘ฮุ่ยอี๋กวง!’ ฉือปั้นเซี่ยตะโกนเสียงดัง ตัดสินใจเด็ดขาดในยามวิกฤต เอื้อมมือออกไปหมายจะตบเธอให้สลบ แต่ใครจะคิดว่าตัวเองกลับเพลี่ยงพล้ำโดนอีกฝ่ายบีบแขนไว้แทน ฮุ่ยอี๋กวงที่ตัวผอมกะหร่องมาแต่ไหนแต่ไร จู่ ๆ เรี่ยวแรงเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ ผลักตัวฉือปั้นเซี่ยออกไปอย่างแรงด้วยมือเดียว ส่วนตัวเองเปิดประตูรถและเดินลงไป

ฉือปั้นเซี่ยไม่มีเวลามาสนใจความเจ็บที่แขน รีบไล่ตามไปทันที

“หลังจากนั้นล่ะ!” หลิวชิงปัวรีบถาม

ฉือปั้นเซี่ยไอสองที “จากนั้นฉันเห็นเธอวิ่งไปทางทะเลสาบเทียม แถมยังจะกระโดดน้ำอีกต่างหาก ก็เลยรีบพุ่งเข้าไปจับตัวเธอไว้ ใครจะรู้ว่าเธอตัวหนักขนาดนั้น ฉันออกแรงจนสุดแล้วยังเกือบโดนเธอลากลงไปด้วย ส่วนเรื่องต่อจากนั้น ฉันไม่รู้แล้ว…”

บนแขนของเธอปรากฏรอยห้านิ้วเด่นชัด ซึ่งกลายเป็นสีม่วงคล้ำออกดำไปแล้ว

เรียกได้ว่าคนที่ฝึกเหยี่ยวมาทั้งชีวิตกลับเป็นฝ่ายโดนเหยี่ยวจิกตา นักเล่นคุณไสยผู้เก่งกาจโดนตลบหลังเสียเอง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปคงขายหน้าจริงแท้ ฉือปั้นเซี่ยทั้งโกรธทั้งแค้น

“แต่ฉันลงคุณไสยสะกดรอยไว้บนตัวฮุ่ยอี๋กวง น่าจะสัมผัสได้ว่าเธออยู่ที่ไหน ตามฉันมา!”

เธอฝืนยันตัวขึ้นจากการประคับประคองซ้ายขวาของตงจื้อกับกู้เหม่ยเหริน

เดินแบบนี้ช้าเกินไป ตงจื้อจึงพูดขึ้น “ฉันแบกเธอดีกว่า เธอชี้ทาง ไปพวกเรา!”

ฉือปั้นเซี่ยไม่มีข้อโต้แย้ง เธอเพิ่งเกือบตายมาหยก ๆ หมดแรงแล้วจริง ๆ จึงคอยชี้ทางอยู่บนหลังตงจื้อ

ทุกคนเดินผ่านถนนเล็ก ๆ ข้างทะเลสาบเทียม เดินต่อไปอีกพักหนึ่ง ฉือปั้นเซี่ยก็ยังบอกให้เดินหน้าต่อไปอยู่ หลี่อิ้งจึงพูดขึ้น “ถ้าฉันจำไม่ผิด ข้างหน้าเป็นประตูด้านข้างของสวนสาธารณะ ข้าง ๆ น่าจะเป็นโรงพยาบาล”

หลิวชิงปัวหยิบโทรศัพท์ออกมาปักตำแหน่ง “โรงพยาบาลชวีตี้ซื่อ?”

ฉือปั้นเซี่ยหลับตาทำสมาธิอยู่อึดใจก่อนลืมตาขึ้น “ถูกต้อง ในโรงพยาบาลนั่นแหละ น่าจะอยู่…ชั้นห้า”

ทุกคนหมดความลังเล รีบมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลทันที

ชั้นห้าเป็นแผนกผู้ป่วยใน คนกลุ่มใหญ่เดินเข้าไปอย่างรีบร้อน ทำเอาพยาบาลที่เข้าเวรดึกตกใจ อีกฝ่ายลุกขึ้น ขมวดคิ้วบอก “พวกคุณเป็นใคร ตอนนี้ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม จะรบกวนการพักผ่อนของคนไข้ค่ะ!”

หลี่อิ้งรีบบอก “พวกเราไม่ได้มาเยี่ยมคนไข้ แต่มาตามหาคน ไม่ทราบว่าเมื่อกี้มีผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งมาที่นี่หรือเปล่าครับ หน้าตาสวย ๆ สวมเสื้อสีเทา!”

พยาบาลบอกอย่างระแวดระวัง “ถ้าพวกคุณไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันจะเรียกรปภ.แล้วนะ!”

หลี่อิ้งยิ้มเจื่อน “เธอคือฮุ่ยอี๋กวงครับ เราเป็นเพื่อนเธอ ช่วงนี้เธอเจอปัญหาในชีวิตนิดหน่อย สภาพจิตใจไม่ดี สติเลื่อนลอย พวกเรากลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเธอเลยอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดเวลา แต่เมื่อกี้เผลอหน่อยเดียวเธอก็หนีออกมาเองเฉย บอกพวกเราได้ไหมครับว่าเธอไปไหนแล้ว!”

“ที่แท้ก็ฮุ่ยอี๋กวงนี่เอง!” นางพยาบาลนึกขึ้นได้ฉับพลัน “ฉันก็ว่าทำไมถึงได้ดูคุ้น ๆ ! เธอจะไปเยี่ยมคนไข้ห้อง 5109 ค่ะ บอกว่านั่นเป็นเพื่อนเธอ”

“ใครอยู่ห้อง 5109 ครับ พวกเราเข้าไปดูได้ไหม” หลี่อิ้งเอ่ย

นางพยาบาลส่ายหน้า “เมื่อกี้ฉันไม่ได้ให้เธอเข้าไปนะคะ ตอนนี้เลยเวลาเข้าเยี่ยมแล้ว และเธอก็ไม่ใช่ญาติคนไข้ด้วย”

ตงจื้อวางฉือปั้นเซี่ยลง หล่อนหลับตา ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เสียงค่อนข้างอ่อนแรง ทว่ามุ่งมั่นเด็ดขาด “ไม่ใช่ เธอเคยไปที่นั่น!”

ตงจื้อถาม “ตอนนี้ล่ะ!”

ฉือปั้นเซี่ยขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มฉายแววทรมาน “เดี๋ยวก่อน ขอฉันดูอีกหน่อย…”

ทางฝั่งหลี่อิ้งรีบโทร.หาผู้ช่วยเสี่ยวหาน ถามเธอว่าใครอยู่ในห้อง 5109 ของโรงพยาบาลนี้ และเป็นอะไรกับฮุ่ยอี๋กวง

ตอนนี้ทุกคนคาดเดาได้ราง ๆ แล้วว่าฮุ่ยอี๋กวงปิดบังความลับไว้ อีกฝ่ายยังต้องมีเรื่องอะไรปกปิดพวกเขาอยู่แน่ ๆ

ฉือปั้นเซี่ยกุมหัว คิดอยู่อึดใจหนึ่ง ทันใดนั้นก็เอื้อมมือออกไปโบกตรงหน้านางพยาบาลเข้าเวรทั้งสองหนึ่งที จากนั้นสีหน้าท่าทางของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปถนัดตา

ฉือปั้นเซี่ยเอ่ย “เหมือนคาถาอำพรางตานั่นแหละ พวกเธอจะทำเหมือนกับพวกเราไม่มีตัวตนอยู่ ไปดูที่ห้อง 5109 กันก่อน!”

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกู้เหม่ยเหรินกับตงจื้อ นางพยาบาลทั้งสองดูราวกับมองไม่เห็นพวกเขาจริง ๆ ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป

หลิวชิงปัวถาม “นี่น่ะเหรอการสะกดจิต”

ฉือปั้นเซี่ยยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธ บอกเพียงว่า “มีผลแค่ในเวลาที่กำหนด หลังจากนั้นมนตร์สะกดจะคลายไปเอง แต่คุณไสยที่ฉันลงไว้บนตัวฮุ่ยอี๋กวงเกิดเหตุผิดคาดนิดหน่อย ฉันต้องไปดูที่ห้อง 5109 ถึงจะยืนยันทิศทางต่อไปของเธอได้”

หากไม่ใช่เพราะสีหน้าซีดขาวเกินเหตุ รอยยิ้มของหล่อนคงจะสวยหวานกินใจคนได้มากกว่านี้

ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังห้อง 5109 หลี่อิ้งก็วางสายและบอกกับพวกเขา “คนที่อยู่ที่นั่นชื่อวังฉี่ เป็นนักแสดงเหมือนกัน เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเดือนก่อนเลยกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา”

ตงจื้อถาม “เธอเป็นอะไรกับฮุ่ยอี๋กวง”

หลี่อิ้งบอก “ได้ยินมาว่าทั้งคู่เคยสนิทกัน ตอนเพิ่งเข้าวงการใหม่ ๆ เคยเช่าห้องอยู่ด้วยกันด้วย แต่หลังจากนั้นไม่รู้ทำไมถึงต่างคนต่างแยกย้าย เสี่ยวหานไม่รู้อะไรมาก แต่จากข่าวลือตามท้องตลาด แฟนเก่าของวังฉี่ก็คือแฟนหนุ่มคนปัจจุบันของฮุ่ยอี๋กวง”

หรือจะเป็นเหตุพัวพันทางด้านความรัก?

ข้อสงสัยนี้ผุดขึ้นในใจของทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลิวชิงปัวถามฉือปั้นเซี่ย “ฮุ่ยอี๋กวงไม่เคยบอกอะไรเธอเลยเหรอ”

ฉือปั้นเซี่ยยิ้มเจื่อน ๆ “ไม่เคย ฉันไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเธอด้วย เพิ่งมารวมตัวกันอีกรอบตอนมาปักกิ่งครั้งนี้เอง”

“5109 อยู่ตรงนั้น!” กู้เหม่ยเหรินบอก

ที่นั่นเป็นห้องเตียงคู่ หลี่อิ้งที่เดินนำหน้าผลักประตูเข้าไป ภายในเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง บนเตียงหลังหนึ่งที่อยู่ชิดด้านนอกมีผู้สูงอายุคนหนึ่งนอนหลับอยู่ ด้านข้างมีพยาบาลคนหนึ่งงีบหลับอยู่ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาตกใจแล้วเกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นตามมา ฉือปั้นเซี่ยจึงโบกมือเหมือนกับเมื่อครู่นี้ ใช้ “กลเล็ก ๆ” ที่ไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา ให้พวกเขาหลับนานขึ้นอีกครู่

ส่วนเตียงที่อยู่ติดด้านในมีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งนอนอยู่ เส้นผมถูกโกนหมดหัว สภาพโรยรา แต่ยังเห็นเค้าหน้างดงาม แต่ที่น่าแปลกคืออุปกรณ์การแพทย์ด้านข้างปิดการใช้งานไปแล้ว

บนมือของหล่อนสวมแหวนรูปดอกดาวกระจายวงหนึ่งด้วย รูปแบบที่โดดเด่นเฉพาะตัวทำให้อดมองนาน ๆ ไม่ได้

ข้าง ๆ กันมีประวัติคนไข้แขวนไว้ ชื่อที่อยู่บนนั้นคือวังฉี่

หัวใจหลี่อิ้งหนักอึ้ง รู้สึกถึงลางไม่ดี เขาขยับไปข้างหน้าสองก้าว กดนิ้วลงบนชีพจรที่ลำคอหญิงสาว ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปถนัดตา บอกเสียงเบาทว่าฉับไว “ไม่มีลมหายใจแล้ว!”

ทุกคนตกตะลึง

ทันใดนั้นตงจื้อก็เอ่ยขึ้น “เดี๋ยวก่อน!”

เขารีบจับแขนหลี่อิ้ง กันไม่ให้อีกฝ่ายเท้าแขนลงบนเตียง จากนั้นชี้ไปยังบริเวณข้างหมอน ก่อนบอก “ตรงนี้มีรอยกด เมื่อกี้ต้องมีคนมาแน่ ๆ !”

หลี่อิ้งทำมือกะขนาด “เป็นฝ่ามือของผู้หญิง”

งั้นก็น่าจะเป็นฮุ่ยอี๋กวงแล้ว

กู้เหม่ยเหริน “เราต้องรีบหาตัวฮุ่ยอี๋กวงให้เจอ!”

ข้อนี้ใคร ๆ ก็รู้ แต่ฮุ่ยอี๋กวงยังจะไปไหนได้อีก

เมื่อครู่นางพยาบาลบอกว่าไม่ได้ปล่อยให้เธอเข้ามา ถ้าอย่างนั้นเธอเข้ามาได้ยังไง

หรือว่าฮุ่ยอี๋กวงมีความสามารถลึกลับเหนือธรรมชาติเหมือนพวกเขา

หลี่อิ้งขมวดคิ้ว “หรือว่าเธอตั้งใจหนีมาที่นี่เพื่อฆ่าวังฉี่”

ถ้าไม่ใช่เพราะฮุ่ยอี๋กวงล้มได้แม้กระทั่งนักไสยศาสตร์ และในนั้นมีจุดที่น่าสงสัยหลายจุด ตอนนี้พวกเขาคงแจ้งตำรวจไปแล้ว

จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ของหลี่อิ้งก็ดังขึ้น

เจ้าตัวคุยกับปลายสายสองสามประโยค ส่วนมากเป็นการฟังไม่ใช่พูด สองสามนาทีต่อมาหลี่อิ้งก็วางสาย สีหน้าปั้นยาก เคร่งขรึมกว่าเดิม

“ผู้จัดการของฮุ่ยอี๋กวงโทร.มา ฉันให้เสี่ยวหานไปถาม เธอเล่าเรื่องระหว่างฮุ่ยอี๋กวงกับวังฉี่ให้ฟัง แฟนคนปัจจุบันของฮุ่ยอี๋กวงเคยคบหากับวังฉี่จริง ๆ แต่จากที่ฮุ่ยอี๋กวงบอกมาทั้งหมด พวกเขาเพิ่งมาคบหาดูใจกันหลังจากที่แฟนหนุ่มเลิกรากับวังฉี่ไปแล้ว อีกอย่าง หนังเรื่องแรกที่ฮุ่ยอี๋กวงแสดง เธอได้รับโอกาสผ่านการแนะนำจากวังฉี่ ส่วนผู้ช่วยสองคนที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้า คนหนึ่งคือคนที่ฮุ่ยอี๋กวงบอกให้เธอไปเตือนวังฉี่ว่าอย่าก่อเรื่องอีกหลังจากที่ฮุ่ยอี๋กวงกับวังฉี่แตกหักกัน ส่วนอีกคนคือคนที่ฮุ่ยอี๋กวงบอกให้ไปเยี่ยมวังฉี่ที่โรงพยาบาลหลังเกิดอุบัติเหตุรถยนต์”

หลิวชิงปัวเอ่ย “หมายความว่าผู้ช่วยสองคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังฉี่จริง ๆ”

เชื่อมโยงเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดกับฮุ่ยอี๋กวง รวมถึงพฤติกรรมผิดปกติที่จู่ ๆ เธอก็หนีมาโรงพยาบาลกลางดึก เบาะแสทุกอย่างชี้ไปในทางเดียวกัน

“หรือว่าวังฉี่ตายไปแล้วแต่ยังแค้นไม่หาย เลยวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน คอยก่อกวนจนฮุ่ยอี๋กวงอยู่ไม่เป็นสุข วังฉี่ต้องการแก้แค้น แต่เพราะมีพวกเราอยู่เลยเข้าใกล้เธอไม่ได้ ต้องยอมถอยมาใช้แผนสำรอง ใช้วิธีการทางอ้อม”

ตงจื้อบอก “แต่ก่อนหน้านี้เฉิงหยวนเคยบอกว่ารอบ ๆ ตัวฮุ่ยอี๋กวงสะอาดดี ไม่มีวิญญาณอาฆาตแค้นที่ตายโหง อีกอย่างวังฉี่ยังนอนอยู่ที่นี่ หมายความว่าเมื่อกี้นี้เธอยังมีลมหายใจอยู่”

กู้เหม่ยเหรินอุทานเสียงเบาด้วยความตกตะลึง “วิญญาณคนเป็น! ก่อนหน้าที่พวกเราจะมา วังฉี่ยังไม่ตาย วิญญาณของเธอออกจากร่าง ซึ่งก็คือวิญญาณคนเป็น เพราะฉะนั้นเฉิงหยวนเลยสัมผัสไม่ได้ในทันที!”

แทบจะเวลาเดียวกันนั้น หลิวชิงปัวเอ่ยขึ้นว่า “เพราะฉะนั้นฮุ่ยอี๋กวงถึงได้บอกว่าก่อนหน้านี้รู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองเธออยู่ตลอด!”

หลี่อิ้งขมวดคิ้วบอก “วิญญาณคนเป็นจะมีพลังขนาดนี้ได้ยังไง ถึงขนาดที่ฉือปั้นเซี่ยยังโดนมนตร์สะกด ทำให้เกิดภาพหลอนจนเกือบตายมาแล้ว!”

ตงจื้อคาดคะเนทิศทางของเรื่องราวทั้งหมด “อย่าเพิ่งสนใจว่าวิญญาณคนเป็นมีความสามารถมากขนาดนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นวิญญาณของวังฉี่ที่ตามติดฮุ่ยอี๋กวงจริง ๆ ถึงขั้นควบคุมร่างกายของเธอไว้ เธอคิดจะทำอะไรกันแน่”

หลิวชิงปัวพูดต่อ “ถ้าไม่โดนพวกเราจับได้ เธอจะต้องใช้ชีวิตต่อไปในฐานะของฮุ่ยอี๋กวงแน่นอน ลงมือแก้แค้นก่อน จากนั้นค่อยรับเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของฮุ่ยอี๋กวงไป แต่ตลอดทางที่เราตามสืบมา เธอต้องรู้แล้วแน่ ๆ ว่าตัวเองโดนจับได้แล้ว ในเมื่อช้าหรือเร็วก็ต้องโดนเก็บอยู่ดี สู้ลงมือขั้นเด็ดขาดไปเลยดีกว่า…”

กู้เหม่ยเหรินร้องเสียงหลง “ให้ร่างกายของฮุ่ยอี๋กวงฆ่าตัวตาย ไม่มีใครได้ประโยชน์!”

การฆ่าตัวตายมีมากมายหลายวิธี ภายในโรงพยาบาลมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่ขาด แต่ไม่ใช่ในห้องพักผู้ป่วย อีกอย่างที่หน้าต่างก็มีราวลูกกรงอยู่ด้วย ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือหนีไปกระโดดทะเลสาบที่สวนสาธารณะ แต่แบบนั้นไกลเกินไป สู้เลือกใช้วิธีที่สะดวกและรวดเร็วกว่านี้ดีกว่า

เมื่อครู่ ฉือปั้นเซี่ยหลับตาแน่นตลอดเวลา คล้ายกำลังสนองตอบต่อสถานที่ที่ฮุ่ยอี๋กวงอยู่ บัดนี้หล่อนลืมตาขึ้นฉับพลัน “ดาดฟ้า! เธออยู่บนดาดฟ้า!”

ทุกคนสบตากัน ก่อนวิ่งออกไปนอกห้องผู้ป่วยอย่างพร้อมเพรียง

ตงจื้อดึงตัวหลี่อิ้งไว้ “จู่ ๆ พวกเรามาปรากฏตัว แล้วหลังจากนั้นวังฉี่ก็เสียชีวิต กล้องวงจรปิดทางนู้นต้องบันทึกภาพไว้ได้แน่ ๆ”

หากมีการซักไซ้ไล่เรียงในภายหลัง เกรงว่าพวกเขาจะปัดความรับผิดชอบนี้ทิ้งไปได้ยาก

หลี่อิ้งบอก “ไม่เป็นไร ตอนเข้ามาฉันใช้ทริคนิดหน่อย ทำให้กล้องวงจรปิดใช้งานไม่ได้ไปแล้ว ป้องกันไว้ก่อน กลับมาค่อยให้ข้อมูลผ่านกรมจัดการคดีพิเศษก็พอ ไปตามหาตัวคนก่อนเถอะ!”

โรงพยาบาลสมัยนี้เกรงว่าคนไข้จะมาคิดสั้นที่นี่เช่นกัน ประตูเหล็กที่เป็นทางไปสู่ชั้นดาดฟ้าจะต้องล็อกไว้ตลอดเวลาแน่ ๆ แต่ตอนที่พวกเขาไปถึง กลับพบว่าตัวล็อกคลายออก ประตูใหญ่ปิดไว้โดยที่ไม่ได้ล็อก บ่งบอกว่าเคยมีคนมาที่นี่

ทุกคนพุ่งตัวเข้าไป สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ พบร่าง ๆ หนึ่งกำลังเดินไปทางถังน้ำ ฝีเท้ากะโผลกกะเผลก เดิน ๆ หยุด ๆ ท่วงท่าแปลกประหลาดถึงขีดสุด เหมือนกำลังมีคนฉุดเธอไว้ไม่ให้เดิน คล้ายกำลังต่อสู้กับตัวเอง ลังเลละล้าละลัง

“อี๋กวง!” ฉือปั้นเซี่ยตะโกน

หลิวชิงปัวคลำเจอสวิตช์บนกำแพง จึงเปิดไฟบนชั้นดาดฟ้า

ฮุ่ยอี๋กวงหันหน้ากลับมาทันควัน!

ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอมีน้ำตาไหลอาบ มองมาที่พวกเขาพลางเผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี ส่วนสีหน้าท่าทางอีกครึ่งกลับเย็นชาไร้อารมณ์ ดวงตาของใบหน้าซีกนั้นเต็มไปด้วยแรงอาฆาตและเยาะเย้ย

สีหน้าสองแบบที่แตกต่างกันสุดขั้ว เมื่อมารวมอยู่บนใบหน้าเดียวกันในเวลาเดียวกัน ทำให้พิลึกกึกกืออย่างยิ่งยวด ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น

“ช่วยฉันด้วย! ช่วยฉันด้วย!” ฮุ่ยอี๋กวงมุมปากกระตุก ตาซ้ายมีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด “ฉันไม่อยากตาย…”

“วังฉี่!” หลี่อิ้งเอ่ยเสียงหนัก “พวกเรารู้ว่าเป็นเธอ เรามาคุยกันหน่อยเป็นไง”

ทันใดนั้นฮุ่ยอี๋กวงก็หัวเราะหึ ๆ “พวกนายอยากช่วยเธอเหรอ ช่วยไม่ได้แล้วละ ฉันกำลังผนึกรวมกับเธอทีละนิด ๆ แล้ว อีกไม่นาน ฉันก็คือเธอ เธอก็คือฉัน พวกนายช่วยเธอไม่ได้แล้ว”

โทนเสียงเคร่งขรึมสงบนิ่ง แตกต่างจากเวลาที่ฮุ่ยอี๋กวงพูดในยามปกติอย่างสิ้นเชิง คล้ายเปล่งออกมาจากตัวคนอีกคน

“ไม่! ฉันจะไม่ผนึกรวมกับเธอ! วังฉี่ ขอร้องละ เธอออกไปเถอะ นี่มันร่างกายของฉัน! เธออยากได้เงินเท่าไหร่ฉันจะให้เธอหมดเลย! ฉันจะรักษาเธอ ให้เธอดีขึ้น ได้โปรดออกไปได้หรือเปล่า!” ฮุ่ยอี๋กวงบอกพลางร้องไห้อีกครั้ง

พวกหลี่อิ้งดูออกว่าสติสัมปชัญญะของฮุ่ยอี๋กวงยังไม่ได้ถูกกลืนกินทั้งหมด ทั้งสองกำลังยื้อยุดกันอยู่ภายในร่างกายของฮุ่ยอี๋กวง ด้วยเหตุนี้ฮุ่ยอี๋กวงจึงประคับประคองมาได้จนกระทั่งพวกเขามาถึง

ตงจื้อกุมกระบี่ชิงจู่ที่หลังโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ชักกระบี่ออกจากฝักช้า ๆ มืออีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ คีบแผ่นยันต์ไว้

มองไปทางคนอื่นอีกรอบ ทุกคนต่างกำลังระวังตัวเงียบ ๆ เช่นกัน

“ร่างกายฉันพังไปนานแล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันจะกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง! วันแรกที่เธอมาปักกิ่ง ไม่มีเงินแม้แต่จะจ่ายค่าเช่าห้อง ถ้าไม่ใช่เพราะฉันใจดีรับเธอมาดูแล เธอจะอยู่ต่อไปได้ยังไง! เธอหาซีรี่ส์เล่นไม่ได้ ทำได้แค่ไปสมัครเป็นนักแสดงเข้าฉากตามกองถ่าย เป็นฉันอีกเหมือนกัน! เป็นฉันที่ให้โอกาสแรกกับเธอ ให้เธอได้แสดงเป็นตัวประกอบ! แล้วเธอตอบแทนฉันยังไง! แย่งแฟนฉันไป แถมยังลากฉันออกมาเหยียบกลางโซเชียลครั้งแล้วครั้งเล่า ใส่ร้ายฉัน! ทำจนฉันไม่มีซีรี่ส์เล่น ไม่มีโฆษณาให้ถ่าย!” ฮุ่ยอี๋กวงคำราม นี่คือความโกรธแค้นที่มาจากวังฉี่

“ฉันเปล่านะ! ฉันเปล่าแย่งแฟนเธอ!” โทนเสียงของฮุ่ยอี๋กวงเปลี่ยนไปทันตา กลับไปเป็นโทนเสียงก่อนหน้าที่ทุกคนคุ้นเคยอีกครั้ง “ตอนนั้นเขามาบอกว่าชอบฉัน ฉันไม่ได้รับรักเขา ฉันรู้ว่าพวกเธอคบกันอยู่ เขาเพิ่งมาตามจีบฉันหลังจากที่เลิกกับเธอแล้วต่างหาก!”

ทั้งสองเบียดกันอยู่ในร่างเดียว คุมเชิงกัน เปล่งเสียงออกมาจากร่างเดียวกัน สีหน้าสลับสับเปลี่ยนไปมาเป็นพัก ๆ ท่าทางดังกล่าวช่างพิลึกอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ

ใบหน้าครึ่งซีกทางฝั่งวังฉี่แสยะยิ้ม “เธอไม่ได้รับรักเขา แต่เธอก็พูดจาให้ท่า เล่นหูเล่นตากับเขา แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าอ่อยเขาหรือไง! ยัยผู้หญิงสำส่อน ใจง่าย กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา!”

ร่างของฮุ่ยอี๋กวงกรีดร้องเสียงแหลม “ฉันเปล่า! ฉันไม่เหมือนกับคนพวกนั้น! คนพวกนั้นมันเกาะนายทุนหวังดัง ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น!”

ราวกับวังฉี่ได้ฟังเรื่องตลกฉากใหญ่ “เพราะฉะนั้นการเหยียบย่ำฉันเพื่อสร้างกระแสมันสูงส่งกว่าคนอื่นงั้นสิ! ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อน เล่าเรื่องอดีตของตัวเองให้เธอฟัง แต่เธอกลับเอามันมาแฉ เปิดเผยให้สื่อรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันจะหมดอนาคตไหม!”

ฮุ่ยอี๋กวงบอก “นั่นเพราะเธอไปล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะต่างหาก ไม่เกี่ยวกับฉัน! ขอร้องละ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันจะรักษาเธอโอเคไหม ฉี่ฉี่ พวกเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันใช่ไหม!”

วังฉี่แค่นยิ้มพิศวง คล้ายหมดความสนใจที่จะคุมเชิงกันต่อ เพราะถึงตายอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับผิด “การเป็นเพื่อนกับเธอคือเรื่องที่ฉันนึกเสียดายที่สุดในชีวิต คนชั้นต่ำอย่างเธอควรติดอยู่ในร่างตัวเองแล้วเบิ่งตาดูซะว่าฉันจะใช้ร่างกายเธอไปมีชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงยังไง โดยที่เธอทำอะไรฉันไม่ได้เลย!”

หลี่อิ้งเห็นท่าไม่ดี จึงตัดบทการโต้เถียงอันดุเดือดระหว่างพวกเธอ “วังฉี่! ในเมื่อเธอตายไปแล้วก็ควรจะกลับไปเกิดใหม่อย่างหมดห่วงนะ มาแย่งชิงกายหยาบของผู้อื่น เธอไม่ได้ตายดีแน่ ถ้ายังดื้อดึง อย่าหาว่าฉันทำเรื่องใจร้ายล่ะ!”

ฮุ่ยอี๋กวงไม่ขยับเขยื้อน ได้ยินดังนั้นนอกจากจะไม่หวาดกลัวแล้ว ยังเผยให้เห็นรอยยิ้มอีกด้วย หล่อนพูดช้า ๆ “พวกนายไล่ฉันไปไม่ได้หรอก นอกเสียจากฆ่าฮุ่ยอี๋กวงซะ”

“ไม่เสมอไป!” ทันใดนั้นหลิวชิงปัวก็กระโดดไปข้างหลังฮุ่ยอี๋กวง โถมตัวเข้าใส่เธอ พลิกข้อมือหนึ่งที กระบองแท่งหนึ่งก็ยืดออกยาว ส่วนปลายเงาวับด้วยแสงสะท้อนของคมมีด จ้วงแทงฮุ่ยอี๋กวง

ท่าทางอ่อนแอราวกับจะปลิวลมในตอนแรกของฮุ่ยอี๋กวง บัดนี้กลับกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันใด ไม่เพียงแต่รอดพ้นจากการโจมตีของหลิวชิงปัวไปได้ แต่ยังเปลี่ยนจากรับมาเป็นรุก ต่อกรกับเขา แถมรับมีดด้วยมือเปล่า ทั้งยังไม่ตกเป็นรองแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เรี่ยวแรงกลับเพิ่มขึ้นมหาศาล ถึงขั้นใช้เท้าข้างหนึ่งถีบโดนสีข้างหลิวชิงปัวเต็ม ๆ จนเขาถอยร่นไปทีละก้าว ๆ

หลี่อิ้งเล็งเห็นโอกาส พลิกมือขว้างยันต์ออกไป ตัวยันต์ลอยละล่องแต่ไม่หล่นใส่พื้น มันลุกไหม้กลางอากาศ แฉลบไปตรงหน้าฮุ่ยอี๋กวง

อีกด้านหนึ่ง ตงจื้อกับหลี่อิ้งต่างก็ลงมือ

พวกเขาคนหนึ่งปูค่ายทั่วดาดฟ้ารอบ ๆ ตัวฮุ่ยอี๋กวง ส่วนอีกคนช่วยเหลือหลิวชิงปัว หมายใช้ยันต์กักขังตัวฮุ่ยอี๋กวงให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

ค่ายยันต์ที่ตงจื้อปูคือค่ายยันต์ที่ใช้ต่อกรกับปีศาจมนุษย์บนดาดฟ้าของหอคอยเทียนหยวนครั้งที่แล้ว

ประโยชน์ของค่ายยันต์นี้คือการสร้างเขตอาคมบนดาดฟ้า ไม่ให้วิญญาณของวังฉี่หลบหนีไปได้

หลังผ่านประสบการณ์การต่อสู้จริงมาแล้ว ประสิทธิภาพในการเดินทิศปูค่ายของเขาก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ เขาใช้เข็มทิศในโทรศัพท์มือถือดูตำแหน่งคร่าว ๆ แวบเดียวก็ตัดสินใจได้ทันที

กู้เหม่ยเหรินล็อกประตูเหล็กบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล ป้องกันไม่ให้ผู้บริสุทธิ์หลงเข้ามายังที่แห่งนี้

ฝั่งหลี่อิ้งกลับพลาดท่าเสียที

จังหวะที่กำลังจะแปะยันต์ไปบนตัวฮุ่ยอี๋กวงนั้น หล่อนเอื้อมมือออกมาจับยันต์ไว้กลางฝ่ามือ บดขยี้อย่างแรงจนมันดับไป

เปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ดูเหมือนจะไม่นำพาปฏิกิริยาใด ๆ จากหล่อน

หลี่อิ้งตกตะลึงตาค้าง

ยันต์ที่ลุกไหม้โดยปราศจากเปลวไฟเนื่องจากเขาใช้ไฟจากพลังหยาง ซึ่งก็คือการใช้พลังหยางจากร่างกายตัวเองผสมผสานกับจิตวิญญาณของตัวยันต์ ทำให้ตัวยันต์เกิดการเผาไหม้ขึ้นเองภายในระยะเวลาสั้น ๆ ไฟชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่มือมนุษย์จะดับได้ ถ้าไม่มีพลังหยิน ใช้พลังหยินเอาชนะหยาง ก็ต้องเป็นพิรุณสวรรค์ ซึ่งก็คือการใช้น้ำฝนที่ตกลงมาจากสวรรค์ แต่ตอนนี้ฮุ่ยอี๋กวงกลับบดขยี้ยันต์เป็นผุยผงได้อย่างสบาย ๆ

“เธอเป็นใครกันแน่!” เขาคำรามก้อง

“ฉันคือคนที่โดนฮุ่ยอี๋กวงทำร้าย คนชั้นต่ำสารเลวอย่างเธอพวกนายไม่จัดการ แต่จะมาจัดการฉัน พวกนายมันก็เฮงซวยเหมือนกันหมดนั่นแหละ!” สีหน้าฮุ่ยอี๋กวงบิดเบี้ยวเหยเก

หลี่อิ้งบอกด้วยความโมโห “ฮุ่ยอี๋กวงเป็นคนดีหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะมาตัดสิน กฎธรรมชาติเป็นสิ่งตายตัว วนเวียนไม่รู้จบ ไม่มีใครรอดพ้นไปจากกรรมชั่วของตนได้!”

ทันใดนั้นกู้เหม่ยเหรินสังเกตเห็นว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของฮุ่ยอี๋กวงที่แต่เดิมเป็นสีหน้าของตัวเธอเองนั้น ถูกอีกครึ่งหนึ่งรุกคืบไปทีละนิด ๆ แล้ว คาดว่าอีกไม่นาน เมื่อควบคุมทั้งใบหน้านี้ได้ วิญญาณของฮุ่ยอี๋กวงก็จะถูกวังฉี่ยึดครองโดยสมบูรณ์

คิดมาถึงตรงนี้ หล่อนก็อดร้อนใจไม่ได้ พยายามหาวิธีถ่วงเวลาออกไป ถึงขั้นคิดจะเป่าขลุ่ยล่อลวงสภาวะจิตของอีกฝ่าย แต่ท่วงทำนองเพิ่งเริ่มได้ไม่ทันไร ฮุ่ยอี๋กวงก็มองมาทางเธอทันควัน สายตาฉายแววโหดร้าย ร่างกายโผนมาทางกู้เหม่ยเหรินแทบจะเดี๋ยวนั้น

ทันทีที่เธอเคลื่อนไหว หลิวชิงปัวกับหลี่อิ้งก็ขยับตามเช่นกัน คนหนึ่งถือยันต์ คนหนึ่งถือกระบี่ ขัดขวางฮุ่ยอี๋กวงไว้จากทั้งสองทิศ

แต่ฮุ่ยอี๋กวงไม่หลบเลี่ยง ไม่ล่าถอย ตรงกันข้าม หล่อนขยับเข้ามา สะบัดมือหนึ่งออกไปทันที

ราวกับตัวยันต์โดนกำแพงไร้รูปร่างขวางกั้นไว้กลางอากาศ ส่วนฮุ่ยอี๋กวงจับยึดกระบองของหลิวชิงปัวไว้ ลากตัวหลิวชิงปัวไปข้างหน้าหลายก้าวด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล!

หลิวชิงปัวครางฮึ่ม ข้อมือสั่นไหวเล็กน้อย เขาชักมือก้าวถอยหลัง เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ตอนนั้นทุกคนถึงได้เห็นว่ากระบองสีดำอันนั้นคือปลอกกระบี่ ส่วนที่กำอยู่ในมือเขาเป็นกระบี่คมกริบเรียวยาวเล่มหนึ่ง มีความคล้ายคลึงกับดาบเรเปียร์ [2] เพียงแต่ตัวกระบี่เหยียดตรงคมกริบ สะท้อนลำแสงสีน้ำเงินวับแวม

ฮุ่ยอี๋กวงโยนปลอกกระบี่ในมือทิ้งไปข้าง ๆ หลิวชิงปัวถือกระบี่บุกเข้าไป ทั้งสองปะมือกัน คาดไม่ถึงว่าฮุ่ยอี๋กวงจะต่อสู้ได้อย่างสูสี

หลี่อิ้งประสานมุทรา ขว้างยันต์สี่แผ่นออกไปในอึดใจเดียว ก่อนที่มันจะแยกตัวกลายเป็นลำแสงสีทองสี่ลำ พุ่งออกไปดุจลูกศรแหลมคม ดูจากใบหน้าเหยเกของเขาแล้ว คาดว่ายันต์สี่แผ่นนี้คงจะล้ำค่าพอตัว

ลำแสงสีทองสี่ทิศจมหายไปในร่างฮุ่ยอี๋กวง หล่อนส่งเสียงร้องโหยหวน หลิวชิงปัวสบโอกาส เสียบกระบี่เข้าไปในอก

“นางปีศาจ ออกมา!”

เมื่อกระบี่เรียวชักออกมาจากร่างฮุ่ยอี๋กวง เงาคนสีขาวร่างหนึ่งก็ออกมาจากตัวเธอด้วย

มวลแสงนั้นสั่นไหวไม่หยุด มองเห็นใบหน้าไม่ชัด ได้แต่กลิ้งเกลือกไปมาอยู่บนพื้น

เมื่อปราศจากกลุ่มแสงนั้นในร่างกายแล้ว ฮุ่ยอี๋กวงก็ซวนเซไปหลายก้าว ก่อนเสียหลักล้มลงกับพื้น สองมือกอดอก ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ๆ ยังไม่หายหวาดผวา

“นะ…นั่นวังฉี่เหรอ เธอไปแล้ว?”

หลิวชิงปัวยกกระบี่ กำลังจะแทงซ้ำลงไปที่ลำแสงสีขาวกลุ่มนั้น

“เดี๋ยวก่อน!”

ทันใดนั้นก็มีปลอกกระบี่ยื่นออกมาจากด้านข้าง สกัดกระบี่ของเขาไว้

หลิวชิงปัวจ้องกลับด้วยความโมโห “หลบไป!”

ตงจื้อเอ่ยเสียงหนัก “นายรู้ได้ยังไงว่าเธอคือวังฉี่แน่ ๆ”

คนหน้าละอ่อนขาวนวลอย่างเขา ต่อให้ทำหน้าตึงขึ้นมาก็ใช่ว่าจะมีแรงข่มขวัญอะไร แต่คำที่พูดออกมากลับทำให้ทุกคนนิ่งอึ้งกันไปหมด มองไปทางฮุ่ยอี๋กวงซึ่งยังคงตัวสั่นเทิ้มอย่างพร้อมเพรียง

 

[1] หรือเมืองมาว ดินแดนไทใหญ่ในแคว้นปกครองตนเอง ตั้งอยู่ในเขตเต๋อหง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน

[2] เป็นดาบชนิดหนึ่ง ใช้ต่อสู้โดยการแทง คนยุคหลังรู้จักเรเปียร์มากขึ้นเพราะภาพยนตร์เรื่องสามทหารเสือ ใบดาบเรเปียร์จะมีลักษณะบางและยาวมาก ปลายแหลม บางครั้งจะทำแบบมีคมด้านเดียว คมทั้งสองด้าน หรืออาจจะลับคมเฉพาะช่วงครึ่งปลาย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า