[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 1 ตอนที่ 7

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

7

พายุหิมะขัดขวางการสังหาร

 

ยามเซิน[1] รถม้าสามคันแล่นเข้าใกล้ด่านเทียนเหมิน

ฮวาปู๋ชี่เลิกม่านขึ้น พยายามเงยหน้ามองขึ้นไป ภูสูงสองลูกเทียมฟ้า เมฆาหมอกครึ้มคลุมยอดเขา แลดูเปี่ยมอันตราย ไม่มีกระทั่งหญ้าสักต้น เห็นเพียงเลือนรางว่าถนนหลวงกลายเป็นเส้นทางคดเคี้ยวหนึ่งเดียวที่ถูกขนาบด้วยหินก้อนใหญ่สีดำ ราวกับกรรไกรแหลมคมซึ่งสามารถสะบั้นเส้นทางได้ทุกเมื่อ

“ช่างเป็นสถานที่น่ากลัวนัก!” ฮวาปู๋ชี่พึมพำ

หงเอ๋อร์ ลวี่เอ๋อร์จับเสื้อแน่น เบียดกันอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปแวบเดียว กล่าวเกลี้ยกล่อม “คุณหนู หิมะพัดเข้ามาแล้ว ระวังเป็นหวัดเจ้าค่ะ!”

ฮวาปู๋ชี่แหงนมองจนคอจะหักก็ยังมองไม่เห็นนภา ทั้งปากทางเข้าหุบเขายังมีลมแรงมาก พัดทั้งหยาดพิรุณทั้งหิมะมาปะทะใบหน้าของนาง หนาวเหน็บจนเสียดกระดูก

นางปล่อยผ้าม่านลงก่อนเช็ดหน้า “ที่แห่งนี้ทั้งสูงชันทั้งดูอันตราย ข้ามองแล้วกลัวจริงๆ ว่าหินก้อนใหญ่จะตกลงมาทับพวกเราจนบี้แบน!”

“ดูสิ เผลอทำคุณหนูตกใจกลัวแล้ว ยอดเขาสูงไปก็เท่านั้น ที่นี่เป็นทางหลวง กว้างจนรถม้าสามคันแล่นผ่านได้ในคราวเดียว พวกเราไม่จำเป็นต้องขับเข้าไปชิดผนังเขา ต่อให้มีก้อนหินร่วงสักก้อนหรือสองก้อน ก็ไม่บังเอิญตกใส่รถม้าเด็ดขาด นอกเสียจากภูเขาจะถล่มแล้วมีหินก้อนใหญ่หนักหมื่นชั่ง[2]หล่นลงมา” หงเอ๋อร์ผูกผ้าม่านพลางหันหน้ามาแย้มยิ้ม

พ้นปากทางเข้าหุบเขา ลักษณะของทิวเขาเริ่มเตี้ยลง กลับมีสายลมโหมพัดกระหน่ำ หอบสายฝนเกล็ดหิมะปลิวว่อนกลางอากาศ พัดพาหมอกบดบังภูเขา พริบตาเดียวบนเนินเขาพลันปรากฏกลุ่มคนชุดดำขี่อาชา

ผู้เป็นหัวหน้าสวมเสื้อกันฝนสีดำ ขี่ม้าดำ แม้แต่ถุงมือจับเชือกบังเหียนยังเป็นสีดำ ตลอดทั้งร่างสาดประกายเย่อหยิ่งและเย็นชา เมื่อเห็นรถม้าสามคันแล่นผ่านหุบเขาแต่ไกล คนผู้นี้เงยหน้าขึ้น เผยเสี้ยวหน้าส่วนหนึ่งโผล่พ้นเสื้อคลุม คางเรียวแหลม ผิวพรรณผุดผาดดุจหิมะ เสื้อผ้าดำสนิทยิ่งขับเน้นความงามลึกลับจนมิอาจบรรยาย

นางยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า ใช้แส้ชี้ไปที่รถม้าที่แล่นบนทางหลวงที่เชิงเขา ออกคำสั่ง “ปล่อยลงไป!”

นักรบชุดดำที่ขี่อาชาด้านข้างพลันยกดาบขึ้น ประกายดาบสว่างวูบ ตัดเชือกด้านข้างอย่างพร้อมเพรียง แว่วเสียงดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง ตาข่ายถูกตัดขาดส่งก้อนหินหนักหมื่นชั่งที่มัดไว้กลิ้งลงไปยังเชิงเขาทางด้านล่างดังอสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมา ยามหินเหล่านั้นตกลงมา แผ่นดินยังสั่นสะเทือนเล็กน้อย

ม่อรั่วเฟยจิบน้ำชาพลางอ่านหนังสือ ทันทีที่ได้ยินเสียงครืนครั่นบนเขาพลันขมวดคิ้ว ได้ยินเจี้ยนเซิงตะโกนว่า “คุณชาย! มีคนซุ่มโจมตีขอรับ!”

สตรีชุดดำบนเขาย่อมได้ยินเสียงร้องของม้าที่ถูกเฆี่ยนจากเชิงเขา เงาร่างขาวราวกับนกปราดเปรียวทะยานลงมาจากรถม้า สืบเท้าวิ่งไปด้านหลังอย่างร้อนใจ มุมปากของนางยกขึ้น กล่าวเสียงแผ่วเบา “ม่อรั่วเฟย คุณชายม่อ ผู้ใดใช้ให้เจ้าเป็นลูกคนเดียวของสกุลม่อแห่งวั่งจิงกันเล่า ยิง!”

สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาโหดเหี้ยม ไร้น้ำใจ การเคลื่อนไหวของนักรบชุดดำพร้อมเพรียงกัน พลิกฝ่ามือหยิบเกาทัณฑ์ พริบตาถัดมาเกาทัณฑ์ลอยฝ่าสายฝนออกไป โดยเล็งเป้าที่เงาร่างสีขาว

“ตัดสายบังเหียน ขึ้นม้า!” ม่อรั่วเฟยตะโกนสั่งเจี้ยนเซิง กวาดตามองห็นหินภูเขาก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งลอยไปทางรถม้าที่ฮวาปู๋ชี่นั่ง เขาร้อนใจ ยิ่งเห็นก้อนหินกลิ้งไปใกล้ทางนั้น เขาก็ไม่สนใจอันใดอีก ใช้วิชาตัวเบาดีดตัวขึ้น ฟาดฝ่ามือกระแทกหินภูเขา

ฝ่ามือไหนเลยจะต้านทานแรงกระแทกของหินได้ หน้าอกของม่อรั่วเฟยสั่นสะท้าน แผ่นหลังปะทะรถม้าอย่างรุนแรง ตัวรถแตกพังกลายเป็นเศษซาก

ม้าที่ตื่นตระหนกส่งเสียงร้อง ห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่ง เขากระอักเลือกออกมาคำหนึ่ง ยื่นมือคว้าฮวาปู๋ชี่ให้ขึ้นมานั่งบนหลังม้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี พร้อมชักกริชจากรองเท้าหุ้มข้อของตนเองออกมาตัดสายบังเหียน พอม้าได้รับอิสระก็พาทั้งสองคนพุ่งทะยานไปข้างหน้าทันใด

ฮวาปู๋ชี่ตกใจจนทำอันใดไม่ถูก มองไปแลมาอย่างลนลาน ทันเห็นแค่เกาทัณฑ์สองดอกพุ่งเข้าหาหงเอ๋อร์ ลวี่เอ๋อร์ ตรึงร่างของทั้งคู่ไว้กับรถม้า นางอ้าปากกว้าง ในสมองมีแต่เสียงแหลมกรีดร้องวนไปมา

“กอดข้าไว้ให้แน่นๆ!”

เสียงตวาดของม่อรั่วเฟยเรียกสติของนางกลับคืนมา นางเอื้อมกอดเอวเขาด้วยมือสั่นเทา แนบใบหน้าชิดแผ่นหลังของเขา แม้เป็นร่างกายที่ไม่คุ้นเคยมากเพียงใด แต่ข้างในเป็นวิญญาณของพี่ซาน ความทรงจำในคืนสุดท้ายของชาติก่อนหวนกลับเข้ามาในใจของฮวาปู๋ชี่ น้ำตาสองสายไหลรินโดยไม่รู้ตัว พอหลับตาลงก็ราวกับได้ย้อนไปในคืนที่น่ากลัวนั้นอีกครั้ง

หินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาดังโครมคราม ม้าแตกตื่นส่งเสียงร้อง บ่าวรับใช้ชายที่ติดตามมาด้วยส่งเสียงร้องน่าเวทนา เกาทัณฑ์แหวกอากาศดังฟิ้ว ทุกสิ่งลอยเข้าหูของฮวาปู๋ชี่ชั่วพริบตาเดียว นี่เป็นเรื่องใดกัน นางได้แต่มองและฟังทุกสิ่งอย่างมึนงง พลันแสงหนึ่งสว่างวูบขึ้นในสมอง ฮวาปู๋ชี่ได้สติ หวีดร้องทันที “ชามขอทานของท่านอาเก้า!”

นางเงยหน้าขึ้น เห็นเจี้ยนเซิงที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าแกว่งกระบี่ฟันเกาทัณฑ์ ฮวาปู๋ชี่หันกลับไปเห็นรถม้าสามคันถูกหินภูเขาทับจนบี้แบน ม่อรั่วเฟยพานางฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้ว ทว่านางกลับเพิ่งนึกถึงชามขอทานในกล่องแพร โลหิตที่ไหลเวียนในกายทั้งหมดแล่นไปที่หัวทันใด ฮวาปู๋ชี่ตะโกนเสียงสั่น “ชามขอทาน! ข้า…ข้าจะกลับไป!”

มารดามันเถิด! กลับไปก็รนหาที่ตาย! ม่อรั่วเฟยเจ็บหน้าอกอย่างที่สุด เขาหันมองนักรบชุดดำกลุ่มนั้น บัดนี้ห้อม้าตะบึงลงมาจากเนินเขา เขาพลิกฝ่ามือเอากริชแทงสะโพกม้า ตะโกนตอบ “สายเกินไปแล้ว!”

ฮวาปู๋ชี่มองรถม้าที่ห่างออกไปทุกที ในใจย่อมรู้ว่าสายเกินไปแล้ว ดวงตาที่มองข้างหลังเต็มไปด้วยน้ำตา สุดท้ายอดปล่อยมือไม่ได้ คนจึงตกจากหลังม้า ยามร่วงหล่น ในหัวคล้ายแว่วเสียงหนึ่ง

นี่คือชะตาที่ถูกลิขิตไว้!

ม่อรั่วเฟยตื่นตะลึง เหลียวกลับไป เห็นฮวาปู๋ชี่หล่นลงบนพื้นห่างจากม้าหลายจั้ง เขาฉุนจัดจนไม่มีแม้แต่แรงจะด่าทอ ขณะจะกระตุกบังเหียนม้า หันกลับไปหาฮวาปู๋ชี่ กลับได้ยินเสียงเยียบเย็นสะท้อนก้องหุบเขา “ขวางเขาไว้!”

ที่แท้ก็พุ่งเป้ามาที่เขา! เขาเห็นนักรบชุดดำควบม้าผ่านฮวาปู๋ชี่แล้วไล่ตามเขากับเจี้ยนเซิง ความเจ็บปวดที่หน้าอกแล่นปราด เลือดลมในกายพลุ่งพล่าน เขาได้แต่อ้าปาก กระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง หากย้อนกลับไปก็จะตายกันหมด! ฮวาปู๋ชี่….ม่อรั่วเฟยพึมพำเสียงเบา พลิกฝ่ามือใช้กริชแทงม้าก่อนหมอบลง ม้าที่ตื่นตระหนกพาเขากับเจี้ยนเซิงพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ความเร็วนั้นเร็วมากจนภูเขาในคลองจักษุของเขากลายเป็นเงาดำ หยาดพิรุณและหิมะปะทะใบหน้า เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง ในหูมีเพียงเสียงฝีเท้าม้า อาการบาดเจ็บภายในที่เกิดจากการปะทะหินก้อนใหญ่ยิ่งทำให้เขามึนงง พาเขาย้อนสู่คืนสุดท้ายของชีวิตชาติก่อน นางปล่อยมือ ตกลงทางด้านหลังของเขาแล้วร่วงลงสู่หน้าผาที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุด พัดเอาความรู้สึกเปรี้ยวฝาดผุดขึ้นมามากกว่าความเจ็บปวดในอก ฮวาปู๋ชี่ที่ถือส้มจี๊ดห้าลูกแล้วแกว่งไปมาตรงหน้าเขาพลางยิ้มได้ใจ ทำให้เขามิอาจตัดใจทิ้งนางได้

ม่อรั่วเฟยตะโกนเสียงดัง “เจี้ยนเซิง ออกจากหุบเขา!”

สุดทางอีกฝั่งของด่านเทียนเหมินมีคนของสกุลม่อรออยู่ ขอเพียงพาคนและม้าตรงไปข้างหน้าก็ใช้ได้แล้ว! ม่อรั่วเฟยกำกริชแน่น ออกแรงดึงบังเหียนม้า ฉวยจังหวะนี้สะบัดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบนร่างโจมตีกลุ่มคนทางด้านหลัง หนึ่งในนักรบชุดดำขี่ม้าไล่ตามเขากระชั้นชิด ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าหันกลับมา จึงถูกเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกฟาดใส่หน้า ยังไม่ทันตอบโต้ ก็ถูกเตะร่วงลงจากหลังม้าแล้ว

ม่อรั่วเฟยออกแรงถีบม้า ควบทะยานตรงไปหานักรบชุดดำสองคนใช้กริชแทงอย่างไร้ความปรานีในชั่วพริบตา โลหิตพลันสาดกระเซ็นดุจห่าฝน

ยามนั้นเองม่อรั่วเฟยตกอยู่ในวงล้อมของคนชุดดำ เขาเห็นจากที่ไกลๆ ว่าฮวาปู๋ชี่วิ่งซวนเซไปที่รถม้า ในสมองปรากฏความคิดเพียงอย่างเดียว ต้องพานางออกไปให้ได้

สตรีชุดดำบนเนินเขาแค่นเสียงดูแคลน “รนหาที่ตาย!”

เมื่อกวาดตามองโดยรอบ นางถึงเห็นร่างเล็กข้างรถม้า ที่แท้ก็เพื่อสาวใช้คนหนึ่ง! สตรีชุดดำเชิดคางขึ้น กระตุ้นม้าให้วิ่งลงจากเนินเขา ตรงไปทางฮวาปู๋ชี่

“ปู๋ชี่หนีเร็ว!” เขาตกอยู่ในวงล้อมของนักรบชุดดำ พอเห็นฉากนี้อดตะโกนเสียงดังไม่ได้ ตวัดกริชแทงใส่หน้าอกของนักรบชุดดำคนหนึ่ง จากนั้นชิงม้าของอีกฝ่าย เร่งควบทะยานไปหาฮวาปู๋ชี่ แม้ด้านหลังจะถูกแทงด้วยกระบี่หนึ่งแผล เจ็บจนหัวคิ้วขมวดแน่น แต่สายตาของเขากลับจ้องเพียงภาพสตรีชุดดำที่ตรงไปหาฮวาปู๋ชี่

ฮวาปู๋ชี่ทั้งเห็นและได้ยิน ความตกใจระคนดีใจที่พบกล่องแพรถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว นางตกใจจนฟันกระทบกันดังกึกๆ แข้งขาไร้เรี่ยวแรงจะขยับ ได้แต่เบิกตามองสตรีชุดดำควบอาชาทมิฬตรงมาทางนาง

“ท่านอาเก้า ท่านอาเก้า…” ฮวาปู๋ชี่ตะโกนชื่อฮวาจิ่วโดยไม่รู้ตัว นางอยากมีความกล้าสักนิด อยากหันหลังวิ่งหนี แต่กลับทำอย่างที่คิดไม่ได้

“ม่อรั่วเฟย! เจ้ารนหาที่ตายเอง!” สตรีชุดดำหัวเราะก้อง สะบัดแส้ม้าไปทางฮวาปู๋ชี่ที่นิ่งงันเป็นไก่ไม้[3]

“ปู๋ชี่!” ม่อรั่วเฟยกระอักเลือดออกมาอีกคำ เบิ่งตามองแส้ม้าที่เหมือนอสรพิษสีนิลฟาดลงไปอย่างไร้ความปรานี

เห็นอยู่ว่าแส้ม้าจวนจะถูกร่างของฮวาปู๋ชี่ขาดเป็นสองท่อนในพริบตา ทว่ากลับมีเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งปักลงบนพื้น พลังไม่ทันหาย ปลายเกาทัณฑ์ยังสั่นเล็กน้อย เงาดำสายหนึ่งพลันทะยานลงจากเขา เป็นคนผู้หนึ่งที่คว้าเอวของฮวาปู๋ชี่ พานางไปยืนบนหินผาด้านข้าง

สตรีชุดดำดึงบังเหียนม้า ตวาดว่า “ผู้มาคือใคร”

นางกับม่อรั่วเฟยหันมองคนลึกลับผู้นั้นพร้อมกัน

คนผู้นั้นวางฮวาปู๋ชี่ลงอย่างแผ่วเบา ก่อนยืนเหยียดกายอย่างเกียจคร้าน เขาสวมเสื้อรัดรูปสีดำ แขนเสื้อธนู[4] ด้านหลังสะพายกระบอกใส่เกาทัณฑ์ มือถือคันธนูยาว มีผ้าดำปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่มองพวกเขาอย่างเย็นชา

สตรีชุดดำโบกมือพลางตะโกน “สังหารเขา!”

สิ้นเสียง บุรุษชุดดำผู้นั้นก็ยิงเกาทัณฑ์ดอกหนึ่ง โดนนักรบชุดดำคนหนึ่งที่เงื้อกระบี่จะฟันม่อรั่วเฟยจนแน่นิ่งไป

สตรีชุดดำยิ่งโมโห แค่นเสียงทีหนึ่ง ไม่ได้โจมตีม่อรั่วเฟย แต่ชักดาบที่เหน็บที่เอวจะฟันฮวาปู๋ชี่แทน ขอเพียงล่อให้ม่อรั่วเฟยมาช่วยนางได้ เขาก็หนีไม่รอดแล้ว ทว่าพลังขุมหนึ่งกลับจู่โจมเข้ามาฉับพลัน ที่แท้บุรุษลึกลับยิงธนูใส่ดาบของนาง มือของสตรีชุดดำสั่นเทา ระหว่างนิ้วชาจนดาบร่วงสู่พื้น

ม่อรั่วเฟยฉวยจังหวะนี้เข้าใกล้ บุรุษลึกลับทำท่าทางราวกับแย้มยิ้ม คว้าฮวาปู๋ชี่โยนไปบนม้าของม่อรั่วเฟย กล่าวเสียงต่ำ “พวกเจ้าไปซะ!”

ม่อรั่วเฟยไม่สนอันใดทั้งสิ้น รับฮวาปู๋ชี่มากอดไว้ กัดฟันบอก “กอดข้าไว้ ให้ข้าพาออกไป!”

ฮวาปู๋ชี่มือข้างหนึ่งกอดกล่องแพร มืออีกข้างกอดเอวเขาแน่น

ม่อรั่วเฟยหวดแส้ใส่ม้าแล้วควบทะยานจากไป

เหตุใดเขาถึงย้อนกลับมาเล่า เหตุใดเขาจึงยอมเสี่ยงชีวิตย้อนกลับมาช่วยนาง ฮวาปู๋ชี่ทั้งเศร้าทั้งปวดใจ น้ำตาพรั่งพรูอีกครั้งอย่างมิอาจควบคุม ม้าโจนทะยานไปข้างหน้า ฮวาปู๋ชี่ได้กลิ่นคาวเลือดจากร่างของม่อรั่วเฟย เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว เป็นเพราะย้อนกลับมาช่วยนางถึงได้รับบาดเจ็บ เขาคงไม่ตายเพราะนางใช่หรือไม่ ฮวาปู๋ชี่คิดอย่างลนลาน สายตามองผ่านบุรุษชุดดำที่ช่วยชีวิตนางไว้ พอสบตากัน บุรุษชุดดำกลับเบือนหน้าหนี

เมื่อเห็นฉากนี้ สตรีชุดดำก็ไม่สนใจบุรุษลึกลับชุดดำอีก ตวาดว่า “สังหารม่อรั่วเฟย!”

นักรบชุดดำที่ขวางอยู่ตรงหน้าม่อรั่วเฟยเงื้อดาบที่เปล่งประกายเจิดจ้าขึ้น กลับปรากฏเสียงร้องอันน่าเวทนาสองสามครา เกาทัณฑ์ของบุรุษชุดดำที่ยืนอยู่บนหินผาคล้ายมีดวงตางอก เปิดเส้นทางหนีให้ม่อรั่วเฟยเส้นหนึ่ง

ครั้นเห็นเขาฝ่าวงล้อมออกไปได้แล้ว บุรุษชุดดำบนหินผาก็หยุดมือ เก็บคันธนูไว้ด้านหลังอย่างเชื่องช้า ทำราวกับว่าสตรีชุดดำกับนักรบชุดดำตรงหน้าไร้ตัวตน

“ที่แท้เจ้าเป็นใครกันแน่ กล้าดีอย่างไรถึงทำลายเรื่องดีๆ ของข้า” เมื่อเห็นว่ามิอาจไล่ตามม่อรั่วเฟยทัน นางมองปราด เห็นแววตาของกลุ่มนักรบชุดดำที่ตนพามาปรากฏแววแตกตื่นระคนพรั่นพรึง สตรีชุดดำหันไปตวาดอย่างเกรี้ยวกราด

บุรุษชุดดำไม่ได้มองนาง แต่มองตามหลังม่อรั่วเฟยกับฮวาปู๋ชี่ที่หายเข้าไปในหุบเขา

“ทำเป็นหดหัวหดหาง ใช้ธนูลอบทำร้ายคน! เจ้ากับสกุลม่อแห่งวั่งจิงเกี่ยวข้องกันอย่างไร!”

ทั้งที่นางวางแผนซุ่มโจมตีทำร้ายคนเช่นเดียวกัน ยามนี้กลับตะโกนถามอย่างมั่นใจ เห็นอยู่ว่างานใหญ่ใกล้จะสำเร็จ กลับถูกคนผู้นี้ทำลาย คนใต้เสื้อคลุมบังเกิดโทสะจนตัวสั่นเทิ้ม

“เจ้าก็มิใช่หดหัวหดหาง ใช้ธนูลอบทำร้ายคนเช่นกันหรอกหรือ ไม่ต่างกันหรอก!” เสียงของบุรุษชุดดำเจือแววเหน็บแนม ปรายตามองนักรบชุดดำที่ถือกระบี่อยู่เชิงเขา แค่นหัวเราะเย็นชา ก่อนทะยานร่างจากไป ท่วงท่าของเขาเปี่ยมความสง่างามแฝงความอ่อนช้อย ประหนึ่งหมู่เมฆหมอกฝนที่ล่องลอยบนไหล่เขาแล้วหายลับเข้าไปในภูผาอย่างเงียบเชียบ

หิมะและหยาดฝนโปรยเคียงกันไร้สุ้มเสียง สตรีชุดดำโมโห เลิกเสื้อคลุมขึ้น เผยให้เห็นใบหน้างดงามหยาดเยิ้ม คิ้วเรียวยาว ริมฝีปากแดงดั่งผลอิงเถา[5] กลับเป็นหญิงงามอ้อนแอ้นอรชรผู้หนึ่ง หากไม่ใช่ดวงตาคู่งามฉายไอสังหาร คงไม่มีผู้ใดเชื่อมโยงนางกับคนโหดเหี้ยมที่ซ่อนตัวใต้เสื้อคลุมก่อนหน้านี้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน

“คุณหนูใหญ่ ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นาน!” นักรบชุดดำคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่ว

สตรีชุดดำมองตามทิศทางที่บุรุษชุดดำผู้นั้นหายตัวไป เอ่ยอย่างแค้นใจ “กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับหมู่ตึกจันทราของข้า! จากกระบวนท่ามองออกหรือไม่ว่ามีที่มาอย่างไร บนธนูมีสัญลักษณ์ใดหรือไม่”

นางคือหลิ่วชิงอู๋ คุณหนูใหญ่แห่งหมู่ตึกจันทรา

นักรบชุดดำคนหนึ่งดึงเกาทัณฑ์ที่บุรุษลึกลับยิงขึ้นมาดู ก่อนอุทานอย่างตกใจ “บนเกาทัณฑ์แกะสลักเป็นรูปดอกบัวดอกหนึ่ง เป็นเหลียนอีเค่อขอรับ!”

หลิวชิงอู๋รับเกาทัณฑ์ดอกนั้น ออกคำสั่งเสียงเย็น “เก็บกวาดซากศพ แล้วกลับหมู่ตึก!”

นิ้วขาวเนียนดุจหยกลูบรอยแกะสลักรูปดอกบัว จดจำความแค้นที่มีต่อเหลียนอีเค่อไว้ในใจ นางลอบสาบานว่าจะตามหาคนที่เป็นเจ้าของเกาทัณฑ์ดอกนี้แล้วแก้แค้นเรื่องในวันนี้ให้จงได้

นักรบชุดดำได้รับการฝึกฝนมาดี ไม่นานก็นำศพของสหายผูกกับม้า คุ้มกันสตรีชุดดำไปจากด่านเทียนเหมินเร็วรี่

ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป[6]มีเพียงรถม้าสกุลม่อที่ถูกทำลายกับบ่าวรับใช้ที่เสียชีวิตพร้อมม้าสองสามตัวถูกทิ้งไว้บนทางหลวงในหุบเขา

ผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา[7]เหลียนอีเค่อย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาดึงเกาทัณฑ์ที่ปักพื้นขึ้นมาดู ด้านบนไม่มีสัญลักษณ์ใด ไปดูอาชาที่ล้มลง ทว่าก็ไม่พบตราประทับใดเช่นเดียวกัน เขาพึมพำ “ทำงานรอบคอบจริงๆ ผู้ใดกล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับสกุลม่อแห่งวั่งจิง เมื่อครู่น่าจะถอดเสื้อคลุมของนางออกแล้วดูให้ชัด” พลันนั้นเขาหัวเราะเยาะตนเอง “เรื่องของผู้อื่น เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย”

 

พอมองให้ดี สาบเสื้อของเขาเต็มไปด้วยเลือด ทีแรกฮวาปู๋ชี่ยังแอบด่าม่อรั่วเฟยว่างดงามจนนำพาหายนะ มิหนำซ้ำยังยังชมชอบแต่งกายหรูหรา ยามนี้นางกลับหวังว่าสิ่งที่อยู่บนสาบเสื้อของเขาจะไม่ใช่เลือด แต่เป็นลายปักบุปผาแดง

เอวของเขาคอดมาก

เอวของพี่ซานไม่ได้คอด นางโอบเอวของเขาด้วยมือทั้งสองข้างไม่มิด

นางเคยกอดเอวของพี่ซานแค่ตอนเป็นเด็กเท่านั้น นางเอากุหลาบไปขาย พี่ซานปั่นจักรยานไปรอรับนางที่หน้าร้านเหล้าตอนตีสาม หากวันนั้นขายได้เงินมาก นางจะกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานแล้วกอดเอวของเขา พูดคุยหัวเราะตลอดทางจนถึงบ้าน แต่หากขายได้ไม่กี่ดอก พี่ซานจะไม่มีความสุข นางก็จะไม่กล้ากอดเขา เพียงแต่จับเบาะหลังแน่นเพื่อไม่ให้ตนเองตกลงไป

พอโตขึ้น นางกับเขาจะใช้เวลาครุ่นคิดว่าแต่ละวันจะลงมือขโมยเงินที่ใดดี ความบันเทิงเพียงอย่างเดียวคือการดูโทรทัศน์หรือไม่ก็เล่นเกมที่ร้านอินเทอร์เน็ต เหมือนอย่างที่เขาพูด นางทั้งเกลียดและกลัวเขา แต่จนหนทาง เพราะนางหาพ่อแม่ไม่เจอ ทำได้แต่ติดตามเขาแล้วใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านๆ มา ไม่เคยคิดว่าอนาคตอยากทำอันใด ความคิดเหล่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เขากับนางจึงไม่เคยนึกถึงเลย

ฮวาปู๋ชี่เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า เห็นใบหน้าของม่อรั่วเฟยซีดขาว นี่เป็นใบหน้าของชายหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้า ปราศจากหนวดเครารกครึ้ม ผิวพรรณยังนวลเนียนกว่านาง งดงามพอที่จะหลอกให้สตรีในใต้หล้าลุ่มหลง ส่วนตนเองก็มีชะตาใหม่ของตน ชาตินี้เขาสามารถคิดถึงอนาคตได้แล้ว นางก็เช่นเดียวกัน

“พรวด!” ม่อรั่วเฟยกระอักเลือดใส่หน้าฮวาปู๋ชี่

นางยังไม่ทันเช็ดเลือดที่เลอะตา ก็ร่วงตกจากหลังม้าพร้อมกับม่อรั่วเฟยเสียก่อน นางล้มทับร่างเขา ถูกกล่องแพรในอ้อมอกกดทับจนเจ็บหน้าอก ฮวาปู๋ชี่แตกตื่น รีบเช็ดเลือดออกจากหน้า พอลืมตาขึ้นก็เห็นม่อรั่วเฟยหลับตา นอนแน่นิ่งบนพื้นหิมะ

นางมองรอบด้านอย่างลนลาน หุบเขากว้างโล่งและเงียบสงัด เสียงลมพัดเพียงแผ่ว ราวกับโลกใบนี้เหลือนางเพียงลำพัง ฮวาปู๋ชี่เขย่าม่อรั่วเฟยอย่างหวาดกลัว จากนั้นกดตรงร่องริมฝีปากบนของเขา ตามด้วยตบหน้าเขา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “คุณชายม่อ! ท่านฟื้นสิ!”

ม่อรั่วเฟยยังไม่ขยับ ใบหน้าชวนมองประหนึ่งน้ำแข็งแกะสลัก โปร่งแสง ไร้สีสันของเลือด

ฮวาปู๋ชี่ใช้มือที่สั่นระริกแตะคอของเขา ร่องรอยความประหวั่นเด่นชัดบนปลายนิ้ว นางถอนหายใจโล่งอก เขายังไม่ตาย ยามนั้นเองเรื่องราวในกาลก่อนที่ตนกับพี่ซานเคยพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ ขวดที่กักขังปีศาจสิบสามปีเปิดออก กลายเป็นน้ำตาหลั่งรินจากดวงตาของนาง ฮวาปู๋ชี่สะอึกสะอื้น “ไม่ง่ายเลยกว่าท่านจะได้ใช้ชีวิตที่ดีแบบนี้ ตายไปแบบนี้ช่างไม่คุ้มค่าจริงๆ ถึงข้าไม่อยากยอมรับว่าจำท่านได้ แต่ก็ไม่ได้อยากให้ท่านตาย”

นางแก้สายคาดเอวที่ประดับด้วยหยกเขียวของม่อรั่วเฟยออก เปิดสาบเสื้อด้านหน้า เห็นรอยช้ำสีม่วงที่หน้าอกของเขา นางลูบอย่างระมัดระวัง กระดูกซี่โครงไม่ได้หัก แล้วเลือดมาจากที่ใด นางจับสาบเสื้อแล้วออกแรงพลิกร่างของม่อรั่วเฟย สูดลมหายใจเย็น เมื่อพบว่าด้านหลังมีแผลเหวอะวะ ย้อมเสื้อขาวจนกลายเป็นสีแดง

ที่นี่นอกจากทางหลวงแล้วก็ไม่มีหน้าผาสูงชัน บนภูเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน พุ่มไม้แห้งถูกฝังในหิมะครึ่งหนึ่ง ปลายยอดหญ้าเหี่ยวเฉาจนเป็นสีน้ำตาลจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง การใช้พุ่มไม้แห้งกับหญ้าแห้งมาก่อกองไฟนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากถูกไล่ตามมาทันจะทำอย่างไร ฮวาปู๋ชี่มองทิศทางที่ผ่านมาอย่างเคร่งเครียด ก่อนก้มลงเอาหูแนบกับพื้นเพื่อฟังว่ามีเสียงสั่นสะเทือนของกีบเท้าม้าหรือไม่

นางเพิ่งพบว่าไม่มีม้าวิ่งแล้ว เหลือเพียงความคิดอันน่าขมขื่น ถึงซ่อนตัวอยู่ข้างทาง แต่ก็ซ่อนร่องรอยที่นางลากม่อรั่วเฟยไม่ได้ เช่นนั้นก็แล้วแต่โชคชะตาเถิด เวลานี้ช่วยคนสำคัญกว่า

ฮวาปู๋ชี่ถอดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีเงินบนร่างออกมาคลุมร่างของเขา ลุกขึ้นวิ่งไปบนเนินเขา ครึ่งชั่วยามต่อมาก็มีกองไฟลุกโชนตรงจุดอับลมใกล้เนินเขา

ฮวาปู๋ชี่เอามือกอบหิมะใส่ชามขอทานเพื่อต้มน้ำ ใช้กริชของม่อรั่วเฟยตัดเสื้อที่ติดอยู่ จากนั้นฉีกกระโปรงมาพันแผลให้เขา รอจนนางจัดการเสร็จเรียบร้อย สีหน้าของม่อรั่วเฟยยิ่งซีดขาวกว่าเดิม ร่างกายก็สั่นสะท้านด้วยความหนาว นางเอาผ้าพันมือ ยกชามขอทานขึ้นจากกองไฟ นำหิมะที่ละลายเป็นน้ำจ่อปากของม่อรั่วเฟย

“ม้าวิ่งไปปากทางหุบเขาแล้ว พอเจี้ยนเซิงเห็นมัน จะต้องพาคนมาทันที ท่านอดทนไว้”

ม่อรั่วเฟยคล้ายได้สติเล็กน้อย ยอมกลืนน้ำลงไป

สายลมในหุบเขาหนาวจนเสียดกระดูก ร่างกายของม่อรั่วเฟยสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม ฮวาปู๋ชี่ขมวดคิ้วมุ่น ลุกขึ้นมาขยับกองไฟ พอพื้นดินเริ่มร้อน นางลากม่อรั่วเฟยเข้าไปใกล้ ก่อนหันหลังวิ่งขึ้นเนินเขาอีกครั้ง

ฮวาปู๋ชี่พยายามแกว่งกริชตัดพุ่มไม้แห้งและก่อไฟใหม่อีกครั้ง เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีเงินคลุมอยู่บนร่างของม่อรั่วเฟย ทั้งกระโปรงยังถูกฉีกไปพันแผลให้เขา นางจึงเหลือเพียงเสื้ออ่าวชายสั้นกับกางเกงขายาว เมื่อเห็นพุ่มไม้กับหญ้าแห้งถูกเผากลายเป็นกองไฟขนาดย่อมรายล้อมเป็นครึ่งวงกลม นางเช็ดเหงื่อบนใบหน้าแล้วผลิยิ้ม เนื่องจากเดินกลับไปกลับมาระหว่างเนินเขากับทางหลวง จึงทำให้นางไม่หนาว

ยามนี้เรี่ยวแรงที่มีเริ่มถดถอย ฮวาปู๋ชี่หอบพุ่มไม้ในอ้อมแขนก่อกองไฟย่อมเหน็ดเหนื่อย ร่างกายล้าจนแทบมิอาจขยับ ยามลมหนาวพัดโชย เหงื่อร้อนกลายเป็นน้ำแข็งเย็นยะเยือก ทำนางจามติดต่อกันหลายครา ร่างกายเริ่มสั่นเทาเพราะความหนาว มองม่อรั่วเฟยแล้ว ฮวาปู๋ชี่ก็เข้าไปกอดเขา หวังว่าทำเช่นนี้จะอุ่นขึ้นทั้งสองคน

เปลวไฟหรี่ลง พุ่มไม้ที่นางเก็บรวบรวมอย่างเปลืองแรงไม่พอเป็นเชื้อไฟ นางได้แต่คิดอย่างสิ้นหวังว่าสิ่งที่นางทำได้ก็มีแค่นี้ จะยืดหยัดจนกระทั่งเจี้ยนเซิงพาคนมาช่วยเหลือได้หรือไม่ ก็สุดแท้แต่โชคชะตาแล้ว

พริบตานั้นม่อรั่วเฟยขยับตัว ฮวาปู๋ชี่ยินดีปรีดา “ท่านฟื้นแล้วหรือ ข้าจะเอาน้ำมาให้ท่านดื่ม”

นางยกชามขอทานขึ้นป้อนน้ำร้อนสองสามอึก

ม่อรั่วเฟยเปิดเปลือกตาขึ้น ลมภูเขาโหมพัดจนกองไฟดับแล้ว หญ้าแห้งถูกเผาจากสีแดงกลายเป็นเถ้าดำ เขามองฮวาปู๋ชี่ที่อยู่ตรงหน้า พริบตานั้นก็เงื้อมือตบหน้านางฉาดหนึ่ง หายใจหอบพลางด่า “รนหาที่ตาย!”

แม้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่แรงตบกลับไม่เบาเลย ฮวาปู๋ชี่รู้สึกราวกับถูกดึงหนังหน้าออกไป คราแรกได้ยินเพียงเสียงดังกังวาน ผ่านไปสักพักค่อยรู้สึกถึงความเจ็บปวดบนใบหน้าราวกับถูกเข็มทิ่มแทง

ใบหน้าซีดขาวของม่อรั่วเฟยเต็มไปด้วยโทสะ เขาหายใจหอบ ร้องด่าซ้ำ “รนหาที่ตาย! เพื่อชามแตกๆ ใบเดียวถึงกับไม่ต้องการชีวิต!” ระหว่างพูดยังหยิบชามขอทานขึ้นมาขว้างอย่างแรง

“อย่านะ!” ฮวาปู๋ชี่กรีดร้องกระโจนพรวดเข้าไป หน้าผากกระแทกกับพื้น เจ็บจนน้ำตาไหล น้ำในชามขอทานหกใส่สาบเสื้อของนาง พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำแข็ง พอลมพัดมายิ่งหนาวเหน็บ ว่านางไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น หยิบชามขอทานขึ้นมาพลิกซ้ายดูขวา หลังมั่นใจว่าไม่แตกหัก จึงกอดมันแนบอก

“ฮวาปู๋ชี่ หากไม่ใช่เพื่อชามแตกๆ ใบนี้มีหรือเจ้าจะตกม้า ทั้งข้ายังบาดเจ็บ บอกว่าเจ้าฉลาด เหอะ ที่แท้ก็โง่เหมือนลา!” ม่อรั่วเฟยมองนางและก่นด่าอย่างเอือมระอา

นางโง่ ภพก่อนโง่ที่ปล่อยมือแล้วตกหน้าผาตาย ภพนี้ก็โง่เช่นกันที่ปล่อยมือ แล้วตกจากหลังม้า จนเกือบทำให้เขาตาย ความคั่งแค้นอัดแน่นในอก ฮวาปู๋ชี่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป ผุดลุกขึ้น ตะโกนด่าม่อรั่วเฟยบ้าง “หากไม่มีมัน ท่านจะได้ดื่มน้ำร้อนหรือ ท่านมองว่ามันเป็นของต่ำต้อย แต่สำหรับข้า มันเป็นของล้ำค่า! ได้เกิดมาหน้าตางดงามและเป็นคนมีเงิน ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนยากจนแล้วสินะ ข้าทำให้ท่านเดือดร้อน แล้วข้าขอร้องให้ท่านกลับมาช่วยข้าหรือ ยามนี้ก็ไม่ใช่ข้าช่วยท่านไว้หรอกหรือ คุณชายม่อ ข้าฮวาปู๋ชี่ไม่ได้ติดค้างท่าน! ชาติก่อนไม่ได้ติดค้าง ชาตินี้ก็ไม่ได้ติดค้างเช่นกัน!”

นางพูดอันใดออกไป ชาติก่อนหรือ เลือดฝาดบนใบหน้าของฮวาปู๋ชี่จางหายทันใด ถอยห่างจากม่อรั่วเฟยหลายก้าวตามจิตใต้สำนึก นางมองเขาอย่างหวาดกลัว เขาจะฟังออกหรือไม่ ชั่วขณะนั้นหัวใจของนางเต้นแรงราวกับตีกลอง ดั่งว่าขอเพียงนางอ้าปาก ก็อาจจะหลุดออกมาจากลำคอทันที

ม่อรั่วเฟยอึ้งงันที่ถูกนางด่าทอ สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขามีชีวิตอยู่ดีกินดีในคฤหาสน์สกุลม่อ มีครั้งใดบ้างเคยถูกคนชี้จมูกและถูกด่าเช่นนี้ อย่างไรก็ตามพอเสียงด่าทอของฮวาปู๋ชี่หยุดลง เขากลับเห็นใบหน้าของนางจากซีดขาวแปรเปลี่ยนเป็นแดงและหวาดกลัว ดวงตาที่ส่องแสงพราวราวกับเพชรกลับมีแต่ความหวั่นเกรง

หลังด่าทอเขาแล้วค่อยได้สติ รู้สึกกลัวอย่างนั้นรึ

“ข้า…” ฮวาปู๋ชี่หลุดปากออกมาคำหนึ่ง ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบ ทรุดนั่งกับพื้น ก้มหน้างุด มิกล้ามองเขาอีก

ม่อรั่วเฟยมองสภาพอเนจอนาถที่เห็นได้อย่างชัดเจนของฮวาปู๋ชี่ ร่างแบบบางสั่นสะท้าน กางเกงขาวสกปรกนานแล้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงบดบังใบหน้า มือที่กอบหิมะบวมแดง พอเขาพบว่าเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีเงินอยู่บนร่างกับแผลที่ถูกพันไว้ ความโกรธสลายไป

“เจ้านับว่าช่วยชีวิตข้าไว้ แล้วกันเถิด” เขาถอนหายใจ พยายามเอื้อมมือไปประคองใบหน้าของฮวาปู๋ชี่ เห็นนางจะถอยไปด้านหลัง จึงขมวดคิ้วดุ “อย่าขยับ!”

ฮวาปู๋ชี่กอดชามขอทานแน่น มองเขาอย่างขลาดกลัว หากม่อรั่วเฟยเพียงปัดผมที่กระเซอะกระเซิงของนางอย่างแผ่วเบา สายตาคู่นั้นฉายแววสงสารและเสียใจอย่างลึกซึ้ง นางเบือนหน้าหนีอย่างอึดอัด ได้ยินม่อรั่วเฟยกล่าวว่า “โชคดีที่หินผาไม่ได้ขีดข่วนใบหน้าของเจ้าจนเป็นแผล”

ที่แท้เขาก็เสียดายและปวดใจกับใบหน้านี้ ฮวาปู๋ชี่ถอนหายใจโล่งอก ก่อนรู้สึกเศร้าใจ ในสายตาของม่อรั่วเฟยกับนายท่านหลิน ใบหน้านี้ถือเป็นใบหน้าทำเงินอันมีคุณค่าเพียงอย่างเดียวของนาง

ถึงอย่างไรนางก็ไม่คิดจะยอมรับว่าจำเขาได้ เขาไม่มีทางรู้ว่านางทะลุมิติข้ามเวลามาเช่นเดียวกัน นางกอดชามขอทาน ลูบรอยบวมบนหน้าผาก เอ่ยคำ “ยังดีที่แค่บวม ไม่กี่วันก็หายแล้ว”

ยามนั้นเสียงกีบเท้าม้าดังแว่วมาจากหุบเขาอีกครั้ง ม่อรั่วเฟยผุดลุกขึ้น ดึงฮวาปู๋ชี่หลบอยู่ด้านหลัง มองด้านหลังโขดหิน เห็นว่าคนที่นำหน้าคือเจี้ยนเซิง เขาถึงผ่อนลมหายใจ “เป็นคนของข้า”

นางมองมือเขาที่จับมือของตนอยู่ ยามที่เขาดึงตนไปข้างหลัง คิ้วของนางยังมุ่นเข้าหากันอย่างเศร้าเสียใจ บอกตนเองว่าสิ่งที่เขาต้องการปกป้องคือฮวาปู๋ชี่ที่เป็นสินค้าหายากเท่านั้น หากไม่ใช่ใบหน้านี้และหากไม่ใช่เพราะมีลักษณะท่าทางเหมือนกัน เขาคงไม่มีทางชายตาแลนางที่เป็นเด็กขอทานคนหนึ่ง

ฮวาปู๋ชี่ชักมือออก สีหน้าเรียบเฉย ปีนขึ้นไปบนโขดหิน โบกมือตะโกนเสียงดัง “พี่เจี้ยนเซิง คุณชายม่ออยู่นี่!”

เจี้ยนเซิงมองเห็นแต่ไกล เร่งกระตุ้นม้าให้วิ่งตรงไป พอใกล้จะถึงเนินเขา เขาค่อยกระโดดลงจากหลังม้า ทะยานร่างไปตรงหน้าฮวาปู๋ชี่ ผลักนางหล่นจากโขดหินอย่างรุนแรง “หากคุณชายเป็นอันใดไป ถึงเจ้ามีสิบชีวิตก็ไม่พอชดใช้!”

ฮวาปู๋ชี่เสียหลักล้มลงจนเห็นดาวระยิบระยับ พอก้นกระแทกพื้น ถึงรู้สึกว่าไม่ใช่แค่ก้นที่เจ็บ แต่ทั้งข้อศอก และตลอดร่างเจ็บไปหมด ในใจแอบปีติยินดี วันนี้ล้มสามครั้งแล้ว ไม่ได้ตกลงมาตาย แขนไม่หักขาไม่หักถือว่าโชคดีแล้ว

“แบ่งคนกลุ่มหนึ่งไปตรวจดูที่ปากทางเข้าหุบเขา เรื่องนี้ห้ามรายงานกลับไปที่คฤหาสน์แล้วทำให้ท่านย่าเป็นกังวลเด็ดขาด! รอกลับคฤหาสน์ก่อน” ม่อรั่วเฟยกำชับอย่างอ่อนแรงเสร็จ ก็มีคนประคองเขาขึ้นม้า เขายังหันมาบอกเจี้ยนเซิง “เอาเสื้อคลุมของเจ้าให้นางใส่ แล้วคุ้มครองให้ดี”

เจี้ยนเซิงแค่นเสียง ถอดเสื้อคลุมห่อฮวาปู๋ชี่ไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็โยนนางขึ้นม้าราวกับเป็นสัมภาระก็มิปาน ทั้งกล่าวอย่างดุดัน “หากเจ้ากล้าร่วงตกลงไปอีก รอให้ลับหลังคุณชายก่อนเถิด ข้าจะค่อยๆ จัดการกับเจ้า!”

“พี่เจี้ยนเซิง ทางที่ดีปกป้องข้าให้ได้ ข้ารับรองไม่ได้หรอกว่าจะมีแรงยืนหยัดหรือไม่” ฮวาปู๋ชี่ลูบชามขอทานในอ้อมแขน เบะปากพลางทำหน้าทะเล้นใส่เจี้ยนเซิงทั้งที่เหนื่อยล้า จากนั้นก็คอพับหมดสติไป

“นี่ ข้ายังพูดไม่จบ!” เจี้ยนเซิงออกแรงเขย่านางด้วยความโมโห ครั้นเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ทำได้เพียงกอดนาง แล้วตบม้าเพื่อไปให้ทันขบวน

 

[1] เวลา 15.00-17.00 นาฬิกา

[2] หน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 ชั่ง ประมาณ 500 กรัม

[3] หมายถึง เหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนก จนตัวแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่

[4] เป็นลักษณะพิเศษของเสื้อขุนนางชายสมัยราชวงศ์ชิง ปกติจะพับขึ้นเพื่อความสะดวกในชีวิตประจำวัน แต่เวลาเข้าเฝ้าจักรพรรดิจะสะบัดปลายแขนเสื้อข้างซ้ายลงก่อน แล้วตามด้วยข้างขวาเพื่อทำความเคารพ

[5] เชอร์รี่

[6] เวลาราวสิบห้านาที หรือสามสิบนาที ตามความยาวของก้านธูป

[7] เวลาราวสิบห้านาที

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า