[ทดลองอ่าน] รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่ เล่ม 2 ตอนที่ 42

老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่

 

ชุนเตาหาน เขียน
เสี่ยวฝาน แปล

 

— โปรย —

ในหมู่แฟนคลับที่ตามดารานั้น มีอัตราส่วนของเพศหญิงสูงมาก
ซึ่งคงเป็นเพราะผู้หญิงนั้นใช้ความรู้สึกมากกว่า
และใฝ่ฝันถึงความอ่อนโยน ความสวยงาม จากการติดตามดารามากกว่า

ก็แค่การชอบคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะคนที่ชื่นชอบคนนั้น
โดดเด่นเปล่งประกาย เพราะอย่างนั้นความรู้สึกของแฟนคลับ
จึงถูกเยาะเย้ยถากถางและไม่ได้รับการยอมรับอย่างนั้นหรือ
แบบนี้จะไม่ให้น้อยใจได้ยังไงล่ะ
แต่พอเห็นคนที่ติดตามคนนั้นยิ้มให้
ความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดก็กลายเป็นความหวานไปเลย

การเป็นแฟนคลับที่ดีก็ควรจะรักอย่างบริสุทธิ์
และรู้จักขอบเขต แต่ว่าแย่แล้ว เธอแย่แล้ว แย่แล้วจริงๆ!
ความรักของเธอไม่บริสุทธิ์แล้ว เธอต้องอยู่ให้ห่างจากเขา!!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

42

 

เซิ่งเฉียวหอบผ้าอนามัยหนึ่งกล่องกลับบ้าน

ในที่สุดทั้งสามคนซึ่งอยู่ในรถก็ทนไม่ไหว หลุดหัวเราะออกมายกใหญ่ ติงเจี่ยนเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังขำอยู่ว่า “เฉียวเฉียว พอโฆษณานี้ฉายเธอจะต้องดังแน่นอน!”

เซิ่งเฉียวโบกมือ ไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น

ติงเจี่ยนพลิกดูบทโฆษณา “คำโฆษณานี่เขียนได้ตลกมากเลย ฮ่าๆๆ ‘เจ้ามารน้อยประจำเดือนมาทรมานคนอีกแล้ว’ ‘เบาสบาย เต้นได้ตามใจชอบ XXให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเป็นสาววัยรุ่นแก่คุณ’ สรุปว่าพวกป้าๆไม่คู่ควรจะใช้ผ้าอนามัยนี้เหรอ”

เซิ่งเฉียว “…”

ถ้าเป้ยหมิงฝานยังรับงานโฆษณาพวกนี้ให้เธออีกละก็เธอจะสู้กับเขาสุดชีวิตเลยละ!

เมื่อถึงบ้านก็เป็นเวลาเย็นแล้ว เซิ่งเฉียวไม่ชินกับการมีผู้ช่วยคอยจัดการชีวิต จึงวานฟางไป๋ช่วยซื้อของสดกลับมาให้ แล้วต้มไข่ ทำบะหมี่ด้วยตนเอง กินไปเล่นโทรศัพท์มือถือไปก็เห็นว่าแอ๊กเคานต์เวยปั๋วทางการของฮั่วซีประกาศว่าวันเสาร์หน้าจะเปิดให้ซื้อบัตรคอนเสิร์ตรอบที่สาม เธอสูดเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วใช้แอ๊กเคานต์ส่วนตัวเข้าร่วมกลุ่มบัตรคอนเสิร์ตแบบกลุ่ม บัตรคอนเสิร์ตแบบกลุ่มคือการขายบัตรคอนเสิร์ตล็อตแรกให้แก่แฟนคลับโดยเฉพาะ ถึงแม้จำนวนบัตรจะมีไม่มาก ทว่าเมื่อเทียบกับบัตรที่เปิดจำหน่ายบัตรแบบสาธารณะในภายหลังแล้วนับว่าแย่งซื้อได้ง่ายกว่ามาก

ด้วยกลัวว่าตัวเองจะแย่งซื้อบัตรไม่ได้จึงส่งลิงก์ให้ฟางไป๋ แล้วบอกเป็นเชิงขอร้องแกมบังคับว่า “เสี่ยวไป๋ แสดงความมือไวของนายที่โสดมานานยี่สิบปีออกมา! ถ้าแย่งซื้อมาได้ ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง!”

ฟางไป๋ “พี่นั่นเเหละที่โสดมายี่สิบปี ผมเพิ่งเลิกกับแฟนเมื่อปีที่แล้ว”

เซิ่งเฉียว “หา ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ แล้วทำไมนายถึงเลิกกับเธอ”

ฟางไป๋นิ่งไปนานกว่าจะเอ่ยขึ้น “…เธอมีคนอื่น”

เซิ่งเฉียว “โอเค แย่งซื้อบัตรมาได้แล้วพี่สาวจะแนะนำแฟนให้นายเอง”

ฟางไป๋ “…”

เซิ่งเฉียวดูภาพการนับถอยหลังขายบัตรคอนเสิร์ตด้วยความดีใจอย่างไร้เหตุผลพลางนึกถึงเรื่องที่เมื่อก่อนเฉียวอวี่ระดมคนทั่วทั้งสำนักทนายความมาช่วยเธอแย่งซื้อบัตร ประกายในดวงตาเธอหม่นลง ก่อนจะลอบถอนหายใจเงียบๆ

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางไป๋มารับเธอไปสตูดิโอบันทึกเสียง

เพราะเป็นแค่การอัดเสียงง่ายๆ เธอจึงบอกติงเจี่ยนและโจวข่านว่าไม่ต้องมาด้วยกัน พวกเขาจะได้นอนตื่นสาย

สตูดิโอนั้นตั้งอยู่ในอาคารซื่อไถที่ใจกลางเมือง อาคารขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของบริษัทหลายสิบบริษัทซึ่งเป็นธุรกิจสื่อทั้งหมด มีทั้งบริษัทรัฐวิสาหกิจและเอกชน ถือเป็นศูนย์รวมของวงการสื่อ

หลังจากที่เซิ่งเฉียวมาถึงก็มีผู้ดูแลซึ่งทางบริษัทโฆษณาส่งมาเข้ามาคุยกับเธอ ผู้ช่วยซึ่งอยู่ข้างๆผู้กำกับคนเมื่อวานก็มาด้วย เขาเอ่ยอย่างขวยเขินว่า “เสี่ยวเฉียว วันนี้ผมจะเป็นคนดูแลการอัดเสียงของคุณเอง”

เซิ่งเฉียวมองเขาอยู่สองสามหนแล้วเอ่ยปากอย่างลังเล “คุณกับอาจารย์ของคุณต่างกันมากเลยนะคะ”

ผู้ช่วยรีบโบกมือ “ไม่เหมือนกันๆ ผมปกติมากครับ”

งั้นเธอก็วางใจ

เมื่อคืนเธอซ้อมพูดบทโฆษณามาจากบ้านแล้ว นอกจากนี้เธอยังดูโฆษณาผ้าอนามัยมาก่อนพอสมควร ทำให้รู้ว่าจะต้องอ่านบทโฆษณานี้ด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวานตามแบบฉบับสาวน้อย โชคดีที่น้ำเสียงของเธอยังอ่อนหวาน เมื่อต้องออกเสียงแบบนั้นจึงไม่รู้สึกขัดเขินนัก

เวลาที่พวกเขานัดไว้คือสิบโมง เซิ่งเฉียวมาถึงก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง แต่ปรากฏว่าตอนที่ไปถึงห้องอัดเสียง พนักงานที่อยู่ด้านนอกกลับบอกว่ามีคนใช้ห้องแล้ว

ผู้ช่วยเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “พวกเรานัดไว้ล่วงหน้าตอนสิบโมง แล้วพวกคุณเอาอุปกรณ์ให้คนอื่นใช้ได้ยังไง”

พนักงานเองก็มีสีหน้าจนปัญญา “วันนี้ซือเซวียนมาอัดเพลงที่นี่ อุปกรณ์ในห้องอัดเสียงของเธอเสีย แล้วเผอิญว่าอุปกรณ์ของห้องนี้ก็ดีที่สุด เธอเลยจะใช้ให้ได้ ผมห้ามไม่ได้จริงๆ”

ผู้ช่วยกล่าวว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เธอต้องอัดเพลง แล้วพวกเราไม่ต้องอัดเสียงโฆษณาเหรอ”

ซิงเย่าสนับสนุนซือเซวียนมาตลอด ตัวเธอเองก็มีภาพลักษณ์ที่ดี จึงเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีแววว่าจะได้เป็นตัวแทนนักร้องรุ่นใหม่ของวงการเพลงจีนอีกด้วย

ที่นี่คือห้องอัดเสียงที่ซือเซวียนใช้เป็นประจำ ถือได้ว่าเธอเป็นคนสำคัญ แน่นอนว่าพนักงานย่อมไม่กล้าขัดใจ จึงได้แต่พูดว่า “เธอมาตั้งนานแล้ว อีกสองชั่วโมงก็น่าจะจบแล้วละ งั้นพวกคุณไปรอที่ห้องรับรองก่อนแล้วกัน”

ฟางไป๋ยิ้มเย็น “มีสิทธิ์อะไรมาให้พวกเรารอ เธอก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนี่ ทำไมถึงได้วางท่าซะขนาดนี้ แถมยังมาแย่งของของคนอื่นอีก”

พนักงานผู้ดูแลลำบากใจเป็นที่สุด ทว่าก็ไม่ใช่ความผิดของเขา เขาไม่อาจขัดใจทั้งสองฝ่าย เซิ่งเฉียวเห็นท่าทีลำบากใจของเขาจึงตบไหล่ฟางไป๋เบาๆ “ช่างเถอะ เขาเองก็คงพูดอะไรไม่ได้” เธอยิ้มให้พนักงานคนนั้น “ซือเซวียนเหรอ พวกเรารู้จักกันค่ะ สนิทกันเลยละ เธออยากจะใช้ห้องก็ให้เธอใช้ไป เพียงแต่ขอฉันเข้าไปรอด้านในได้ไหม ฉันไม่ไปรบกวนเธอหรอก แค่รออยู่นอกห้องเก็บเสียง”

เซิ่งเฉียวยอมเป็นฝ่ายถอยก่อนหนึ่งก้าว ซึ่งแน่นอนว่าพนักงานจึงไม่กล้าบีบบังคับเธออีก ได้แต่รีบเอ่ยว่า “ได้ครับๆ”

เขาเปิดประตู เซิ่งเฉียวยกนิ้วเรียกคนด้านหลัง “เข้าไปด้วยกันทั้งหมดเลย”

คนทั้งหมดจึงเข้าไปในห้องทีละคน

เมื่อซือเซวียนซึ่งกำลังร้องเพลงด้วยอารมณ์รักอย่างลึกซึ้งอยู่เหลือบมาเห็นคนมากมายเดินเข้ามา ก็หยุดร้องเพลงทันที

เซิ่งเฉียวเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย เธอก้าวเท้าอย่างเชื่องช้า แล้วทักทายอาจารย์ซึ่งอยู่ด้านนอกห้องเก็บเสียง จากนั้นก็ยิ้มให้ซือเซวียนที่จ้องหน้าเธออยู่ด้านในพร้อมกับกำมือแน่นทำท่าสู้ๆ จากนั้นก็สั่งคนที่เหลือซึ่งอยู่ข้างๆเสียงเรียบ “มองเธอ แล้วก็ยิ้มด้วย ยิ่งยิ้มเป็นมิตรมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

ด้วยความโมโหที่ถูกแย่งห้องอัดเสียงใช้ คนอื่นๆจึงรีบทำตามอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าจะมองจากมุมใดซือเซวียนก็รับรู้ได้ถึงสายตาสองสามคู่นั้น พอเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาก็ยังยิ้มให้ ทำเอาเธอขนลุกเกรียว

เธอรู้สึกคันคอจนไม่สามารถอัดเพลงต่อไปได้ จึงเดินออกมาจากห้องเก็บเสียงด้วยสีหน้าถมึงทึง เธอยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “เสี่ยวเฉียว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ นี่เธอมาทำอะไรเนี่ย”

ไม่ต้องบอกว่าเซิ่งเฉียวยิ้มอย่างอ่อนโยนมากแค่ไหน “ดูไม่ออกเหรอคะ ก็มาช่วยเป็นกำลังใจให้คุณไง” พูดจบยังทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้กำลังใจอีกด้วย “สู้ๆนะ”

ซือเซวียน “ขอบคุณสำหรับความหวังดีของเธอ แต่คนเยอะแล้วฉันร้องต่อไม่ได้ คงต้องขอให้เธอพาคนของเธอออกไปหน่อย”

เซิ่งเฉียว “ฟังคุณพูดเข้า แค่คนเยอะคุณก็ร้องต่อไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ในฐานะที่คุณเป็นนักร้อง หลังจากวันนี้ไปจะขึ้นเวทีทำการแสดงได้ยังไงล่ะ ผู้ชมไม่ใช่คนหรอกเหรอ”

ซือเซวียน “เธอ!”

เซิ่งเฉียวยังคงยิ้มมุมปาก ทว่าแววตากลับเยือกเย็น แล้วเธอก็พยักพเยิดไปทางห้องเก็บเสียง “เข้าไปอัดเสียงต่อสิคะ คุณอยากจะใช้ห้องอัดเสียงของฉัน ฉันก็สละให้ ให้ฉันฟังซักหน่อยว่าอุปกรณ์ที่แย่งคนอื่นเขามาจะอัดเสียงออกมาได้เพราะกว่าปกติรึเปล่า”

ซือเซวียนโกรธจนหน้าซีด

ทั้งสองตอบโต้กันอยู่นาน สุดท้ายเธอก็กัดฟันพูดว่า “ไม่อัดแล้ว! พวกเราไปกันเถอะ!”

เซิ่งเฉียวยิ้ม “ไปดีๆละ ไม่ส่งนะ”

ซือเซวียนเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่คุกกรุ่น

ห้องอัดเสียงว่างแล้ว เซิ่งเฉียวยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วหันไปถามผู้ช่วยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ทีนี้พวกเราเริ่มกันได้รึยังคะ”

ผู้ช่วย “…ได้ครับ”

เขาเข้าใจแล้ว ที่เมื่อวานเซิ่งเฉียวไม่ได้ต่อว่าผู้กำกับ ต้องถือว่าผู้กำกับโชคดีจริงๆ

นี่เเหละหนา คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่

เวลาผ่านมาเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว พวกเขาก็รีบทำงาน หลังจากเชื่อมต่ออุปกรณ์เสร็จแล้ว เซิ่งเฉียวก็ถือบทพูดเข้าไปในห้องอัดเสียง

นี่เป็นครั้งแรกที่เธออัดเสียงบทโฆษณาซึ่งมีเทคนิคเฉพาะตัวไม่เหมือนกับการแสดงละคร  เมิ่งซิงเฉินยังสอนไม่ถึงเรื่องบทละคร ตอนนี้ทักษะที่เธอมีทั้งหมดจึงได้มาจากการค้นคว้าด้วยตัวเองล้วนๆ

ผู้ช่วยผู้กำกับคนนี้ถึงแม้จะเป็นเพียงผู้ช่วย ทว่ามีมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงและเป็นมืออาชีพ เขาดูออกว่าเซิ่งเฉียวไม่มีประสบการณ์ด้านการอ่านบทโฆษณามาก่อน จึงช่วยบอกเธอว่าควรจะใช้น้ำเสียงอย่างไรทีละประโยค

บทโฆษณาเพียงแค่สิบประโยค แต่กลับใช้เวลาอัดเสียงสองชั่วโมง เธอพูดแต่ละประโยคซ้ำประมาณร้อยรอบ รู้สึกได้จากก้นบึ้งเลยว่าผู้ช่วยคนนี้คงจะเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบขั้นรุนแรง เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยงทางทีมงานโฆษณาก็ส่งคนไปซื้ออาหารกลับมาให้ เซิ่งเฉียวไม่อยากทำให้ห้องอัดเสียงมีกลิ่นอาหารตกค้าง จึงให้ทุกคนยกอาหารออกไปกินที่ห้องรับรอง

พนักงานที่กินข้าวเวลานี้ก็มีมากอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากเซิ่งเฉียวไปถึงเร็วและหาที่นั่งที่อยู่ห่างออกไปจึงไม่มีใครสังเกตเห็นเธอ

สายงานสื่อนั้นงานเยอะอย่างยิ่ง โอกาสที่จะผมร่วงจนศีรษะล้านนั้นเรียกว่าสูสีกับอาชีพนักเขียนโปรแกรมเลยทีเดียว แม้แต่จะกินข้าวก็ยังเร่งรีบ

โต๊ะด้านหลังของเธอมีผู้หญิงสี่คนนั่งอยู่ คงจะเป็นเด็กฝึกงาน ต่างคนต่างก็โอดครวญว่าไม่ชินกับสังคมที่มีจังหวะชีวิตเร่งรีบ อยู่มหาวิทยาลัยยังดีเสียกว่า ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยเดินเข้ามาหา แล้วพูดกับคนหนึ่งในนั้นว่า “เหลียงเสี่ยวถัง เธอมาที่ห้องทำงานของฉันหน่อย มีงานจะให้เธอทำ”

ผู้หญิงทั้งสี่คนต่างเงียบสนิท ชายคนนั้นจึงเพิ่มระดับเสียงขึ้น “ได้ยินรึเปล่า”

ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงผู้หญิงแผ่วเบา “ได้ยินแล้วค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” หลังจากที่ชายวัยกลางคนจากไป เหลียงเสี่ยวถังซึ่งถูกเรียกก็เหมือนจะร้องไห้ “ทำยังไงดีๆ ฉันไม่กล้าไป!”

เพื่อนร่วมงานของเธอปลอบใจว่า “ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีงานให้ทำจริงๆ เธอรีบไปเถอะ”

เหลียงเสี่ยวถังยืนขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วกล่าวว่า “ถ้าเกิดอีกครึ่งชั่วโมงฉันยังไม่ออกมา พวกเธอต้องไปเคาะประตูเรียกหาฉันนะ! ขอร้องละ”

“อืมๆ ไปแน่”

ผู้หญิงคนนั้นถึงเดินออกไป

เซิ่งเฉียวกัดตะเกียบพลางคิดว่า นักศึกษาจบใหม่นี่ก็ลำบากเหมือนกัน แค่ไปรับงานก็กลัวเสียขนาดนี้ ท่าทางเจ้านายจะดุพอสมควร

เมื่อกินข้าวเสร็จ ฟางไป๋ก็ไปที่ห้องอาหารแบบบริการตนเองแล้วหยิบผลไม้มาให้เซิงเฉียว ขณะที่ปอกส้มอยู่นั้น ผู้หญิงที่โต๊ะด้านหลังก็เอ่ยขึ้นว่า “ครึ่งชั่วโมงแล้วเสี่ยวถังยังไม่ออกมาเลย พวกเรา…”

ผู้หญิงอีกคนกดเสียงต่ำ “ไม่ต้องสนใจ รีบไปทำงานต่อเร็วเข้า ตอนบ่ายฉันยังต้องตัดต่อคลิปอีก”

“จะให้ขัดใจหัวหน้าเพื่อเธอช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย วันๆเธอเอาแต่พูดถึงฮั่วซีไม่ใช่เหรอ ก็รอให้ฮั่วซีไปช่วยเธอก็แล้วกัน”

เซิ่งเฉียววางส้มลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินไปยืนตรงหน้าผู้หญิงสองสามคนนั้นแล้วจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา “ห้องทำงานของหัวหน้าคนนั้นอยู่ที่ไหน”

ผู้หญิงสามคนตกใจที่จู่ๆเซิ่งเฉียวก็ปรากฏตัวตรงหน้า เมื่อได้สติก็เอ่ยว่า “เซิ่งเฉียว!”

เซิงเฉียวขมวดคิ้ว “ฉันถามเธอว่าห้องทำงานของหัวหน้าอยู่ที่ไหน”

“อยู่…อยู่ชั้นสิบสอง ห้อง 1206 ค่ะ”

เซิ่งเฉียวหมุนตัวแล้วเดินออกไปทันที แต่เดินไปได้แค่สองก้าวก็หันกลับมา เธอมองผู้หญิงสองสามคนนั้นพลางเอ่ยเสียงเรียบ “รู้จักกรรมตามสนองไหม ตอนที่ยืนมองคนอื่นตกอยู่ในสถานการณคับขันโดยไม่ช่วยเหลือ วันหน้าถ้าตัวเองตกอยู่ในอันตรายบ้างก็คงไม่มีใครยื่นมือมาช่วยหรอก”

กล่าวจบก็เร่งฝีเท้าเพื่อไปยังชั้นสิบสอง

ฟางไป๋ซึ่งถือเปลือกส้มอยู่แทบอยากจะร้องไห้ แต่ก็ต้องวิ่งตามเซิ่งเฉียวไป

ลิฟต์เคลื่อนมาถึงชั้นสิบสอง พอเจอห้อง 1206 ป้ายหน้าห้องเขียนไว้ว่า “หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ” เซิ่งเฉียวเคาะประตู แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เธอจึงเคาะประตูแทนกลองเสียเลย เคาะเสียงดังแถมยังเป็นจังหวะอีกด้วย

เธอเคาะประตูอยู่นานหนึ่งนาทีเต็ม ถึงได้ยินสุ้มเสียงโกรธเคืองดังออกมาจากด้านใน “ใครน่ะ!”

“ข้างนอกไฟไหม้ ด้านในมีคนอยู่ไหม”

จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาถี่ๆ  ประตูห้องถูกเปิดอย่างเร่งรีบ ชายวัยกลางคนซึ่งตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกก็ร้องขึ้นว่า “ไฟไหม้เหรอ ที่ไหน…ที่ไหน”

เซิ่งเฉียวไม่แม้แต่จะมองเขา รีบพุ่งเข้าไปในห้อง

เหลียงเสี่ยวถังนั่งอยู่บนโซฟา บริเวณข้อมือและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแดง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ขอบตาแดงก่ำ เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา น้ำตาที่ฝืนกลั้นไว้มาโดยตลอดก็ไหลรินออกมาทันที

เมื่อเธอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ก็เบิกตากว้างจนลืมที่จะตอบสนองไปชั่วขณะ

เซิ่งเฉียวเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือไปดึงตัวเธอขึ้นมา พอเห็นเธอมองตนอย่างอึ้งๆก็เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ไปเร็ว”

เหลียงเสี่ยวถังลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ

ในที่สุดชายวัยกลางคนก็ได้สติ รู้ว่าถูกหลอกจึงหันกลับไปต่อว่าเซิ่งเฉียวด้วยความโมโห “คุณเป็นใครถึงได้กล้าบุกเข้ามาห้องทำงานผม แล้วโกหกว่าไฟไหม้ ผมจะเรียกรปภ.มาลากตัวคุณออกไป!”

เซิ่งเฉียวดึงเหลียงเสี่ยวถังไปอยู่ด้านหลังตัวเอง แล้วจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา “คุณเชื่อไหมว่าฉันจะเรียกตำรวจมาจับคุณเข้าคุก”

ชายคนนั้นหน้าตึงทันที เขาเองก็รู้สึกคุ้นตาใบหน้าของคนตรงหน้าอยู่บ้าง แต่เพราะกำลังโมโหและตื่นตระหนกจึงยังนึกไม่ออก จึงทำเพียงโต้กลับอย่างหัวเสียว่า “เอะอะก็จะเรียกตำรวจ คุณเป็นเจ้าของสถานีตำรวจงั้นเหรอ แถมยังมาขู่ผมอีก จะจับผมทำไม ผมทำผิดกฎหมายเหรอ”

“ในใจนี่ไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองทำผิดกฎหมายรึเปล่า  ฉันว่าอายุคุณก็ไม่น้อยแล้วนะ คงจะมีลูกแล้วด้วย มีลูกสาวรึเปล่า ไม่กลัวว่าเรื่องที่ตัวเองทำซักวันจะย้อนกลับไปหาลูกสาวตัวเองบ้างเหรอ”

เธอมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าสองสามรอบ ก่อนเย้ยหยันว่า “แต่ดูท่าทางคุณแล้ว คงมีลูกไม่ไหวหรอกมั้ง ไตพร่อง[1] เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว หัวล้าน เทอะทะ นกเขาก็เล็ก”

ชายคนนั้น “เธอ…เธอ…เธอ…”

เซิ่งเฉียวจงใจมองเป้ากางเกงของเขา เธอยกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างมีเลศนัยหนึ่งคำรบ

เธอจับข้อมือของเหลียงเสี่ยวถังเอาไว้ แล้วหันไปพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เราไปกันเถอะ”

ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังรู้สึกเจ็บใจเป็นที่สุด “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ แก…กล้าพูด…”

เซิ่งเฉียวกำชับฟางไป๋เรียบๆ “รั้งเขาไว้ แล้วแจ้งตำรวจ”

เหลียงเสี่ยวถังที่ถูกเซิ่งเฉียวบีบข้อมือเอาไว้เอ่ยพูดด้วยตัวสั่นเทาว่า “อย่า…อย่าค่ะ…”

เซิ่งเฉียวชะงักฝีเท้า แล้วหันไปมองเธอ ครู่หนึ่งก็เอ่ยพูดเสียงค่อย “โอเค ไม่แจ้งตำรวจ เธอไม่ต้องกลัวนะ” จากนั้นก็หันไปจ้องหน้าชายวัยกลางคนที่อยากจะพุ่งเข้ามาทำร้ายเซิ่งเฉียว ก่อนเอ่ยเน้นทีละคำ “ขืนลวนลามเธออีก ฉันเอาแกตายแน่”

 

[1] ตามหลักการแพทย์แผนจีน ไตเป็นแหล่งกักเก็บ “จิง” หรือสารต้นกำเนิดและหล่อเลี้ยงอวัยวะภายใน จึงถือว่าไตเป็นรากฐานแห่งการกำเนิดและควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย เมื่อไตพร่องจะส่งผลสมดุลน้ำในร่างกาย ทำให้เติบโตช้า สภาพร่างกายอ่อนแอ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า