[ทดลองอ่าน] รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่ เล่ม 2 ตอนที่ 45

老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่

 

ชุนเตาหาน เขียน
เสี่ยวฝาน แปล

 

— โปรย —

ในหมู่แฟนคลับที่ตามดารานั้น มีอัตราส่วนของเพศหญิงสูงมาก
ซึ่งคงเป็นเพราะผู้หญิงนั้นใช้ความรู้สึกมากกว่า
และใฝ่ฝันถึงความอ่อนโยน ความสวยงาม จากการติดตามดารามากกว่า

ก็แค่การชอบคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะคนที่ชื่นชอบคนนั้น
โดดเด่นเปล่งประกาย เพราะอย่างนั้นความรู้สึกของแฟนคลับ
จึงถูกเยาะเย้ยถากถางและไม่ได้รับการยอมรับอย่างนั้นหรือ
แบบนี้จะไม่ให้น้อยใจได้ยังไงล่ะ
แต่พอเห็นคนที่ติดตามคนนั้นยิ้มให้
ความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดก็กลายเป็นความหวานไปเลย

การเป็นแฟนคลับที่ดีก็ควรจะรักอย่างบริสุทธิ์
และรู้จักขอบเขต แต่ว่าแย่แล้ว เธอแย่แล้ว แย่แล้วจริงๆ!
ความรักของเธอไม่บริสุทธิ์แล้ว เธอต้องอยู่ให้ห่างจากเขา!!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

45

 

ผ่านไปพักใหญ่ฮั่วซีก็ถามขึ้น “ในเมื่อผมเป็นเทพบุตร แล้วทำไมผมต้องมาอยู่บนโลกมนุษย์ด้วยล่ะ”

เซิ่งเฉียวเอ่ยด้วยเหตุผลหนักแน่น “เพื่อโปรดฉันไงคะ”

ฮั่วซี “…”

ในที่สุดเขาก็กลั้นความขบขันในน้ำเสียงเอาไว้ไม่ได้ “เซิ่งเฉียว ถ้าอีกหน่อยคุณไม่ได้เป็นศิลปินแล้วก็มาเขียนบทความให้สตูดิโอของผมโดยเฉพาะเถอะ”

เธอหัวเราะ เสียงที่เอ่ยออกไปขณะที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นฟังดูทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน “งั้นเจ้านายต้องให้เงินเดือนฉันด้วยนะคะ”

เขาเอ่ยเสียงเบา “อื้ม ได้สิ”

เธอกระดี๊กระด๊าซอยเท้ารัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ก่อนเหลือบมองเวลา “ฮั่วซี นอนแต่หัวค่ำนะคะ อย่านอนดึก คุณนอนดึกประจำ แฟนคลับจะเป็นห่วงค่ะ”

“โอเค ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ฮั่วซี”

เดิมทีนึกว่าคืนนี้จะเป็นคืนที่ตื่นตระหนกจนยากจะนอนหลับได้ แต่พอรับสายจากเขา แม้อยู่ในความฝันก็ยังรู้สึกอบอุ่น

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่เซิ่งเฉียวยังคงนอนขี้เกียจอยู่บนเตียง เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ติงเจี่ยนเข้าใจว่าเป้ยหมิงฝานมาแล้วจึงเรียกให้เซิ่งเฉียวลุกจากเตียงขณะไปเปิดประตู

พนักงานส่งพัสดุชายยืนอยู่ด้านนอก “สวัสดีครับ นี่พัสดุของคุณ กรุณาเซ็นรับด้วยครับ”

ติงเจี่ยนเหลือบมองชื่อผู้รับซึ่งระบุไว้ว่า “เฉียว” หมายเลขโทรศัพท์ก็เป็นหมายเลขของเซิ่งเฉียวจึงไม่ติดใจสงสัย เซ็นรับเสร็จก็ยกเข้าไปในบ้าน แล้วตะโกนไปทางห้องนอนของเซิ่งเฉียว “เฉียวเฉียว มีพัสดุมาส่งแน่ะ”

เซิ่งเฉียวนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง “เธอช่วยเปิดดูหน่อยนะ”

ติงเจี่ยนตอบตกลง แล้วไปหยิบมีดปอกผลไม้มากรีดเทปกาวออก เมื่อกล่องเปิดออก เธอก็ได้กลิ่นผิดปกติโชยมาจางๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่แล้วเซิ่งเฉียวที่ยังปั่นอันดับเชาฮว่าของฮั่วซีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นจากห้องรับแขก

เสียงโทรศัพท์หล่นดังตุ้บ เซิ่งเฉียวลุกขึ้นดึงผ้าห่มออกแล้วพุ่งออกไปจากห้องทันที

เมื่อถึงห้องรับแขกก็เห็นว่าติงเจี่ยนนอนอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างของเธอยันพื้นไว้พลางหดตัวไปด้านหลัง กล่องพัสดุนั้นวางอยู่กับพื้น ปากกล่องหันออกด้านนอก มีเลือดสีดำไหลออกมาตามรอยแยก

ติงเจี่ยนหน้าซีด พอเห็นเซิ่งเฉียวเดินไปทางกล่องนั้นก็กอดขาเธอเอาไว้ทันที ร้องไห้พลางเอ่ยว่า “อย่าดู! เฉียวเฉียว! อย่าดู!”

เซิ่งเฉียวตัวแข็งทื่อ โน้มตัวลงไปดึงติงเจี่ยนขึ้นมา แล้วพยุงไปที่ห้องนอนก่อนจะนั่งลง ติงเจี่ยนที่ตกใจไม่ใช่น้อยยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันจะแจ้งตำรวจ พวกเราต้องแจ้งตำรวจกันตอนนี้เลย!”

เซิ่งเฉียวหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมา แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ฉันขอโทรศัพท์หาพี่เป้ยก่อน ไม่มีอะไรแล้ว เธอไม่ต้องกลัว นอนพักสักแป๊บนึง”

เธอต่อสายหาเป้ยหมิงฝาน แล้วค่อยๆเดินไปที่กล่องพัสดุ อีกฝ่ายรับสายพร้อมกับที่เธอมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในกล่อง

ศพแมวดำตัวหนึ่งที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ กะโหลกถูกผ่าเป็นสองซีก ดวงตาสีเขียวเบิกโพลง ขนชุ่มไปด้วยเลือด

เป้ยหมิงฝานซึ่งกำลังขับรถอยู่นึกว่าเป็นติงเจี่ยน “ผมอยู่ระหว่างทางแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึง เสี่ยวเฉียวไม่เป็นไรนะ”

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอจ้องแมวในกล่องนิ่ง เนิ่นนานก็กัดฟันเอ่ยว่า “ฉันจะฆ่าไอ้พวกสัตว์นรกนั่น”

เป้ยหมิงฝาน “เสี่ยวเฉียว เกิดอะไรขึ้น คุณจะฆ่าใคร คุณอย่าเพิ่งวู่วามนะ คุณต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าคุณคือดาราหญิงนะ!”

นิ้วมือของเซิ่งเฉียวขาวซีด เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “ไว้พี่มาแล้วค่อยว่ากัน”

เป้ยหมิงฝานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่น้ำเสียงของเซิ่งเฉียวทำให้เขาตกใจจริงๆ เขาเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วรถยนต์ เพียงครู่เดียวก็มาถึง เขากดกริ่ง เซิ่งเฉียวมองผ่านตาแมวก่อนแล้วค่อยเปิดประตู เมื่อเป้ยหมิงฝานเห็นว่าเซิ่งเฉียวที่ยืนอยู่ตรงหน้ายังคงสบายดี ไม่ได้ทะเลาะกับใคร ไม่ได้ฆ่าใคร เป้ยหมิงฝานก็โล่งอก เขาเดินเข้าไปในบ้านพลางเอ่ยว่า “ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเห็นคุณอยากแต่จะฆ่าคนนั้นคนนี้  ผมว่าคุณ…”

พูดยังไม่ทันจบก็เห็นกล่องบนพื้นพร้อมร่างไร้ชีวิตของแมวที่อยู่ในกล่อง สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที

วินาทีถัดมา เขาก็ยกมืออุดปากพุ่งไปยังห้องน้ำ แล้วอาเจียนออกมาอย่างหนักลืมไปเลยว่าเขาเป็นโรครักความสะอาดขั้นรุนแรง

หลังจากที่อาเจียนข้าวเช้าออกมาแล้วก็นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ยันโถชักโครกไว้ด้วยปลายนิ้วที่สั่นระริก “แจ้ง…แจ้งตำรวจ!”

คราวนี้เซิ่งเฉียวถึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาโทร.แจ้งตำรวจ โดยแจ้งความว่าตนเองโดนขู่ฆ่า

ตำรวจมาถึงอย่างรวดเร็ว ตอนที่ตำรวจหนุ่มสองนายได้รับภารกิจให้ออกนอกสถานที่ยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งในหมู่เพื่อนบ้าน ทว่าพอเข้าไปในบ้านแล้วเห็นแมวไร้ชีวิตที่ถูกกระทำอย่างโหดร้ายเช่นนั้น ถึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องกลั่นแกล้งกันเท่านั้นแล้ว

เพราะติงเจี่ยนเป็นคนรับพัสดุ ตำรวจจึงลงบันทึกให้เธอก่อน แล้วจึงถามต่อ “ช่วงนี้มีเรื่องขัดใจใครบ้างไหม”

เซิ่งเฉียวที่เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาก็พูดขึ้น “ขัดใจคนไม่น้อยเลยค่ะ”

ตำรวจสองนายซึ่งเงยหน้าขึ้นมองเธอต่างก็อึ้งไปชั่วขณะ “คุณคือ…ดาราสาวที่ชื่อเซิ่งเฉียว”

“ใช่ค่ะ” เธอส่งโทรศัพท์มือถือไปให้ “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่เมื่อวานรถของฉันโดนเจาะยางด้วย แบบนี้ถือว่าเป็นการจงใจฆ่าไหมคะ”

ตำรวจทั้งสองนายประสานสายตากัน แล้วถ่ายรูปลงบันทึกไว้ เซิ่งเฉียวบอกชื่อสองสามคนที่เกลียดตนเป็นที่สุดไป ตำรวจจดบันทึกไว้ทีละข้อแล้วเก็บศพแมวใส่กล่องนำกลับไปด้วย

ติงเจี่ยนตกใจไม่น้อย ส่วนเป้ยหมิงฝานนั้นก็อาเจียนอย่างหนัก ทั้งสองคนจึงพิงโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่นานนักฟางไป๋ก็มาถึง เป้ยหมิงฝานฝืนทำตัวให้สดชื่น

“ฝั่งตำรวจกำลังสืบคดีอยู่ ส่วนผมก็จะให้คนไปสืบเหมือนกัน เสี่ยวเฉียว คุณย้ายที่อยู่ก่อนดีไหม”

ในเมื่ออีกฝ่ายจับตามองเธออยู่แบบนี้ ย้ายที่อยู่ไปจะมีประโยชน์อะไร เธอไม่อยากนำภัยคุกคามมาให้เพื่อนๆ หากจะย้ายไปอยู่ข้างนอกก็ต้องอยู่โรงแรมซึ่งดูอย่างไรก็ไม่ปลอดภัยเท่าอยู่บ้าน

เธอส่ายศีรษะ “หลังจากนี้ฉันจะไม่รับพัสดุทุกชิ้น วิธีการเดินทางก็เปลี่ยนเป็นการเรียกใช้รถอื่นชั่วคราวแทน”

“ผมจะเลื่อนงานในช่วงนี้ของคุณออกไปก่อน ฟางไป๋ ตอนบ่ายนายกลับบ้านไปเก็บของ ช่วงนี้ก็พักอยู่ที่นี่แล้วกัน ติงเจี่ยนด้วย พวกเธอสองคนผลัดกันไปทีละคน อย่าปล่อยให้เสี่ยวเฉียวอยู่คนเดียว”

เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดราวกับอยู่ใกล้ศัตรูของทั้งสองคน เขาก็หัวเราะเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บ้านเมืองปกครองด้วยกฎหมายจะกลัวอะไร ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีคนบุกเข้ามาฆ่าคนถึงในห้องได้น่ะ”

ตอนเขาไม่พูดก็ยังไม่มีอะไร แต่พอพูดเท่านั้นละ ติงเจี่ยนก็เหมือนจะร้องไห้อีกรอบ แล้วเอ่ยด้วยความหวาดกลัวว่า “พี่เป้ย งั้นเราเรียกบอดี้การ์ดมาเถอะ ถ้าเกิดว่ามีโจรบุกเข้ามาจริงๆฉันกับฟางไป๋ก็เอาไม่อยู่หรอกนะ”

“ที่นี่เป็นย่านที่พักหรู ทุกที่มีกล้องวงจรปิดอยู่ จะเข้าออกก็ต้องลงบันทึก โจรจะบุกเข้ามาง่ายขนาดนั้นได้ยังไง” เป้ยหมิงฝานคิดได้รอบคอบกว่า “ก็เหมือนวันนี้ที่ฝ่ายนั้นได้แต่ยืมมือพนักงานส่งพัสดุเข้ามา แสดงให้เห็นว่าฝ่ายนั้นยังมีเรื่องที่กังวลอยู่ ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม”

เขาตบบ่าเซิ่งเฉียวที่ยืนอยู่ข้างๆโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ “ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะต้องลากตัวหมอนั่นออกมาให้เร็วที่สุด ช่วงนี้ขอให้คุณวางใจพักผ่อนอยู่ที่บ้านก่อนแล้วกัน”

เซิ่งเฉียวพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “พยายามอย่าให้เรื่องนี้เผยแพร่ไปในโซเชียลนะคะ ฉันไม่อยากให้แฟนคลับของฉันกังวลค่ะ”

“เรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของศิลปินเหมือนกัน ผมรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร คุณวางใจได้”

เซิ่งเฉียวบอกเขาว่าเธอมีศัตรูแค่สองสามคน เช้าวันนี้เป้ยหมิงฝานจดจำและบันทึกเรื่องของเธอเอาไว้ พอสั่งการสองสามประโยคเสร็จก็รีบกลับไปจัดการต่อที่บริษัท

พอเป้ยหมิงฝานไปแล้ว ฟางไป๋ก็รีบล็อกประตูทันที แถมยังหยิบมีดปอกผลไม้สองเล่มมาซ่อนไว้ตามซอกโซฟาเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน

ติงเจี่ยนกล่าวว่า “ชั้นนี้ก็อยู่ต่ำมากเลย รู้อย่างนี้น่าจะพักอยู่ชั้นสิบกว่าๆ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนปีนขึ้นมา”

ขณะที่พูดไปก็เหมือนจะจินตนาการถึงภาพที่มีคนถือมีดปีนขึ้นมาด้วย จึงตกใจรีบวิ่งออกไปล็อกหน้าต่างบริเวณระเบียง

ทั้งสองคนนั่งไม่ติด แต่เซิ่งเฉียวกลับถามราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฉันจะไปทำอาหารเช้า พวกเธอจะกินอะไร”

ติ่งเจี่ยนเบิกตาโพลง “เธอยังมีอารมณ์กินอาหารเช้าอีกเหรอ”

“แล้วไงล่ะ” เซิ่งเฉียวยักไหล่ “จะอดข้าวตายเพราะเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ แบบนั้นก็เข้าทางมันน่ะสิ ฉันทำก๋วยเตี๋ยวซอสมะเขือเทศแล้วกัน พวกเธอจะกินไหม”

“…กิน”

ว่าแล้วเซิ่งเฉียวก็ไปทำก๋วยเตี๋ยว

ขณะกินข้าว ฟางไป๋ยังคงขมวดคิ้วครุ่นคิด “สรุปว่ามันเป็นใครกันแน่ หัวหน้าคนนั้น หรือว่าคนขี้ลอกนั่น”

เซิ่งเฉียวก็เคยคิดถึงประเด็นนี้เช่นกัน

อีกฝ่ายสามารถเข้าไปเจาะยางล้อรถถึงในลานจอดรถของทางรายการได้อย่างง่ายดาย แล้วยังรู้ที่อยู่ของเธอได้ง่ายๆอีก โอกาสที่จะเป็นคนในวงการนั้นจึงมีมาก อีกอย่างวิธีการแก้แค้นนั้นรุนแรงและตรงไปตรงมามากคล้ายกับพฤติกรรมของคนที่มีนิสัยเย่อหยิ่ง

เซิ่งเฉียวคาดเดาไว้คร่าวๆ แต่ไม่ได้บอกฟางไป๋ เธอส่งข้อความไปบอกถึงสิ่งที่เธอคิดกับเป้ยหมิงฝานแทน พอกินอาหารเช้าเสร็จฟางไป๋ก็ล้างจาน เซิ่งเฉียวหาหนังเก่ามาดู นอกจากเธอแล้ว อีกสองคนมีกะจิตกะใจจะดูหนังที่ไหนกัน คนหนึ่งใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาว่าหากจะขอคนคุ้มกันในประเทศจีนต้องทำอย่างไร ส่วนอีกคนค้นหาคอร์สเรียนศิลปะป้องกันตัวอย่างเร่งด่วนสำหรับผู้หญิง

 

ยามบ่าย จู่ๆเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น

ติงเจี่ยนตกใจจนทำโทรศัพท์ร่วง ส่วนฟางไป๋นั้นหยิบมีดที่ซ่อนไว้ตรงซอกโซฟาออกมา

เซิ่งเฉียว “…”

เธอเดินตรงไปที่ประตูแล้วมองผ่านตาแมวก่อน คนที่อยู่ด้านนอกคือ เมิ่งซิงเฉิน

ลืมบอกเขาไปเลยว่าช่วงนี้ไม่ต้องมาสอนแล้ว

เซิ่งเฉียวหันไปตะโกนใส่ฟางไป๋ว่า “เก็บมีดซะ!”พอเปิดประตู เมิ่งซิงเฉินก็เห็นว่าในห้องมีคนอยู่สามคน สีหน้าของเขาดูประหลาดใจอยู่บ้าง เขายิ้มแล้วเดินเข้ามา “เสี่ยวเจี่ยน ไม่ได้เจอเธอนานเลยนะ”

“คุณครูเมิ่ง ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ”

เมื่อก่อนติงเจี่ยนเป็นผู้ช่วยของเมิ่งซิงเฉิน ต่อมาโดนย้ายหลายครั้ง ทั้งสองจึงไม่ได้เจอกันมาปีกว่าแล้ว

เซิ่งเฉียวพูด “รุ่นพี่เมิ่ง ขอโทษนะคะ ฉันลืมบอกพี่ว่าช่วงนี้มีเรื่องนิดหน่อย คงจะเรียนไม่ได้เป็นการชั่วคราวค่ะ”

ที่จริงแล้วตอนเมิ่งซิงเฉินเข้ามาในห้องก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ สีหน้าและแววตาของผู้ช่วยทั้งสองคนดูตื่นตระหนกมากเกินเหตุ พอกวาดตามองแวบหนึ่งก็พบว่าหน้าต่างที่มักจะเปิดให้ลมพัดผ่านอยู่ตลอดเวลานั้นถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา

เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

เป้ยหมิงฝานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขา แล้วตัวเขาเองก็เป็นผู้ถือหุ้นด้วย ถึงอยากจะปิดก็คงปิดไม่มิด เซิ่งเฉียวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง

เมิ่งซิงเฉินฟังจบ สีหน้าก็ถมึงทึงขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “คนพวกนี้ชักจะกล้ามากเกินไปแล้ว!” เขาโทรศัพท์หาเป้ยหมิงฝาน แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มว่า “สืบเจออะไรบ้างไหม”

“กำลังสืบอยู่” เป้ยหมิงฝานกล่าว

“ต้องการให้ผมช่วยอะไรไหม”

“ตอนนี้ยังไม่ต้อง เรื่องแค่นี้ฉันยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง ช่วงนี้นายก็อย่าเพิ่งไปหาเสี่ยวเฉียวก็แล้วกัน มันจะส่งผลไม่ดีกับนายด้วย”

พอวางสายเมิ่งซิงเฉินก็ไปตรวจดูหน้าต่างทุกห้องด้วยตนเอง ตอนออกมาก็เอ่ยกับฟางไป๋ว่า “ตั้งเบอร์โทร.แจ้งความกับเบอร์ติดต่อฉุกเฉินให้เป็นปุ่มเดียวกัน ตอนกลางคืนอย่าหลับลึกมากเกินไปละ” เมื่อเห็นท่าทางของฟางไป๋แล้วก็หัวเราะน้อยๆ “ต่อให้อีกฝ่ายกล้าแค่ไหนก็ไม่ถึงกับกล้าพังประตูเข้ามาหรอก ไม่ต้องตื่นตกใจมากเกินไป”

เมิ่งซิงเฉินเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกอ่อนโยนราวกับสายลมที่อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ จึงทำให้บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องเลือนหายไปได้ไม่น้อย

เขามองเซิ่งเฉียวพลางเอ่ยว่า “ไหนๆก็มาแล้ว งั้นขอสอนในสิ่งที่ต้องสอนวันนี้เลยก็แล้วกัน สองสามวันหลังจากนี้ไป คุณก็ฝึกฝนอยู่ที่บ้านดีๆละ”

เซิ่งเฉียวพยักหน้าแล้วหยิบสมุดโน้ตออกมา

 

ใกล้ค่ำติงเจี่ยนเป็นฝ่ายอาสาเข้าครัวไปทำอาหาร ฟางไป๋จึงตามไปช่วย เมิ่งซิงเฉินเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงจบการสอนของวันนี้

เซิ่งเฉียวไม่ค่อยอยากให้เขาอยู่กินข้าวที่นี่ต่อ แต่ปรากฏว่าติงเจี่ยนถือตะหลิววิ่งออกมาจากห้องครัวแล้วกล่าวว่า “คุณครูเมิ่ง คุณไม่ได้กินอาหารที่ฉันทำมานานแล้ว คืนนี้ต้องอยู่ชิมนะคะ”

แน่นอนว่าเมิ่งซิงเฉินตอบตกลง

เซิ่งเฉียวไม่ได้กล่าวอะไร เพียงเปิดโทรทัศน์ดูหนังที่ยังดูไม่จบต่อจากเมื่อตอนกลางวัน ทว่าดูไปได้ไม่นาน เสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีก

เมิ่งซิงเฉินขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ผมไปเปิดเอง”

เขาเดินไปหน้าประตู มองผ่านตาแมว เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปเปิดประตู

คนที่อยู่ด้านนอกคือฮั่วซี ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกัน เดิมทีแววตาของฮั่วซีก็เย็นเยียบอยู่แล้วก็ยิ่งเย็นชาลงไปอีก ทว่ายังคงเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท “รุ่นพี่เมิ่ง สวัสดีครับ”

เมิ่งซิงเฉินยิ้มแย้ม “สวัสดีครับ”

เซิ่งเฉียวที่กำลังเดินมาที่หน้าประตูได้ยินเสียงของฮั่วซี ขาแข้งก็อ่อนยวบไปชั่วขณะ เธอวิ่งไปสองสามก้าว แล้วมองเลยไปยังด้านหลังของเขาด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นก็คว้าข้อมือดึงตัวเขาเข้ามา พอปิดประตูแล้วก็ถามอย่างเป็นกังวลว่า “ฮั่วซี คุณมาได้ยังไงคะเนี่ย”

ฮั่วซีทอดสายตามองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผมมาไม่ได้เหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่” เธอแค่กลัวว่าจะมีคนที่แอบซ่อนอยู่ในมุมมืดทำร้ายเขา

เมิ่งซิงเฉินยักไหล่แล้วเดินกลับไปนั่งที่ห้องรับแขก

ติงเจี่ยนสวมผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากห้องครัว “เฉียวเฉียว น้ำตาลอยู่ไหนเหรอ” เมื่อเหลือบมองก็เห็นฮั่วซี นัยน์ตาของติงเจี่ยนเบิกกว้างจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า เธอกวาดสายตามองทั้งสองคนไปมาเนิ่นนานกว่าจะเอ่ยขึ้น “คุณครูฮั่วซี สวัสดีค่ะ…”

ฮั่วซีพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย “สวัสดีครับ” แล้วหันกลับมามองเซิ่งเฉียว “คุณเชิญแขกมากินข้าวที่บ้าน งั้นผมไม่รบกวนแล้วกัน”

พอหมุนตัวจะจากไป เซิ่งเฉียวก็ทำท่าจะยื่นมือออกไปดึงข้อมือเขาไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่ายื่นไปได้เพียงครึ่งทางก็ชักมือกลับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ฮั่วซี พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานนอกเมือง ช่วงนี้ไม่ได้อยู่บ้านเลย ครั้งหน้าถ้าคุณจะมาก็โทรศัพท์หาฉันก่อนนะคะ”

เขาไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่ส่งเสียง “อืม” เรียบๆแล้วบิดประตูเตรียมจะเดินออกไปสุดท้ายเซิ่งเฉียวก็อดไม่ได้ ดึงชายเสื้อเขาไว้ครู่หนึ่ง

เขาไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่ชะงักฝีเท้า

เธอเม้มริมฝีปาก ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ “ฮั่วซี รอฉันทำงานเสร็จกลับมาแล้วฉันจะทำจ๋าเจี้ยงเมี่ยนให้คุณกินนะคะ”

รออยู่ครู่หนึ่ง เขาหมุนตัวกลับมา กวาดตามองเมิ่งซิงเฉินที่อยู่ในห้องรับแขกแวบหนึ่ง สุดท้ายค่อยมาหยุดลงที่ใบหน้าเธอ เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ทว่าในแววตานั้นกลับไม่มีประกายยิ้มเลยสักนิด เขาโน้มตัวลงมาเล็กน้อย แล้วเขยิบเข้าไปที่ข้างหูเธอ พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “กล้าปีนกำแพง[1]จะตีให้ขาหักเลย”

 

[1]หมายถึงการที่แฟนคลับปันใจไปชอบศิลปินคนอื่น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า