[ทดลองอ่าน] รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่ เล่ม 3 ตอนที่ 80

老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่

 

ชุนเตาหาน เขียน
เสี่ยวฝาน แปล

 

— โปรย —

 

“…ชีวิตนี้นอกจากคุณแล้ว จะไม่ชอบใคร ไม่นอกใจ ไม่จิ้น ตั้งใจรักแค่คุณคนเดียว”
แม้ว่าจะคิดแบบนี้และพูดแบบนี้ แต่เธอก็สงสัยว่าไอดอลของเธอจะมี “ผู้หญิงที่เขารัก” หรือไม่
แล้วผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครกันนะ…

จะต้องเป็นนางฟ้าบนโลกมนุษย์แน่ๆเลย
ต้องเป็นผู้หญิงที่จิตใจอ่อนโยนและใจดี คอยอยู่เคียงข้างเขาด้วยความรักเต็มเปี่ยม
ในหัวใจและในสายตามีเพียงแค่เขา…

เมื่อถึงตอนนั้น ขอเพียงชายหนุ่มที่เธอรักมีความสุขและปลอดภัย เธอจะเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

80

 

ทีมงานของรายการพุ่งเข้ามาดึงตัวทั้งสองคนขึ้นจากบ่อน้ำ แล้วรีบหาผ้าขนหนูมาให้พวกเขาเช็ด ก่อนพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

การจบแบบพลิกล็อกอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำเอาเซิ่งเฉียวมึนงง จนกระทั่งเดินไปถึงค่ายของทางรายการก็ยังตั้งตัวไม่ติด

ติงเจี่ยนเห็นสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัวของเธอก็วางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในมือลงทันที แล้วรีบวิ่งมาหา

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

เซิ่งเฉียวโบกมือ

ยังดีที่ผู้ช่วยเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนไว้ให้ ขณะเปลี่ยนชุดเหรียญอธิษฐานก็กลิ้งออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าที่เปียกโชกของเธอ เธอหยิบขึ้นมาดู หน้าเหรียญสลักภาพทิวทัศน์ที่มีนกโบยบิน ดอกไม้ใบหญ้าผลิบาน ส่วนด้านหลังเป็นภาพคนสองคนกอดกัน

ที่แท้ทางรายการได้นำเสนอความจริงไว้ตรงหน้าพวกเขาตั้งนานแล้ว

พวกเขาคิดตอนจบไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ไม่ว่าจะด้วยสถานะซอมบี้หรือมนุษย์จริงๆในสถานการณ์ปกติแล้วแขกรับเชิญจะไม่กอดกัน ยิ่งเมื่อสถานะของทั้งสองฝ่ายเปิดเผยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

ซอมบี้มีจิตคิดฆ่ามนุษย์ให้หมดสิ้น ส่วนมนุษย์นั้นก็คิดแค่หนีซอมบี้ ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ในรูปแบบของศัตรูที่เกี่ยวพันกันด้วยชีวิต ศัตรูย่อมไม่มีทางอยากกอดฝ่ายตรงข้าม แต่ปรากฏว่าทั้งสองคนจับพลัดจับพลูหกล้มแล้วคลี่คลายปริศนานี้ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ

พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แขกรับเชิญอีกหกคนก็ออกมากันหมด ฟ้าเปิดแล้ว แสงแดดอ่อนๆ ส่องทะลุก้อนเมฆลงมา หลังจากที่ผ่าน “ศึกหนัก” มาตลอดคืน บรรดาแขกรับเชิญต่างก็เหนื่อยกันจนไม่ไหว ทางรายการถือโทรโข่งประกาศว่า “ทีมฮั่วเซิ่งทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างมนุษย์กับซอมบี้ได้สำเร็จ จึงได้รับชัยชนะไปในที่สุด”

เสิ่นเจวี้ยนอี้ “สรุปว่าธีมหลักของพวกคุณก็คือการประกาศก้องให้โลกรู้ว่ารักสินะ ถ้าให้ผมเป็นมนุษย์บ้าง ผมก็ชนะได้เหมือนกัน”

ทีมผู้กำกับ “…”

ขอให้แขกรับเชิญพูดจาตามระดับสติปัญญาของตนอย่างระมัดระวังด้วย

ตอนที่มอบรางวัลนั้น ฟางจื่อพุ่งเข้าไปตีเจิงหมิง เจิงหมิงหัวเราะไปพลางหลบไปพลาง ส่วนอีกสองทีมกำลังถกประเด็นที่เมื่อครู่หลอกอีกฝ่ายอยู่ ลั่วชิงดูภาพรวมแล้วกล่าวว่า “เหมือนจะมีแค่ทีมฮั่วเซิ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากทางรายการจนเข่นฆ่ากันเองนะ”

เสิ่นเจวี้ยนอี้ “ฮั่วซีได้สถานะเป็นมนุษย์ ตัวเขาเองยังไม่รู้เลย”

ลั่วชิง “การที่เสี่ยวเฉียวอดทนไม่ลงมือจัดการฮั่วซีต่างหากเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ชนะ”

เจิงหมิง “พอมาคิดตามนี้แล้วก็จริงนะ ฮั่วซีไม่รู้กฎกติกาอะไรเลย ถ้าเกิดเสี่ยวเฉียวลงมือหลังจากได้รับการแจ้ง ฮั่วซีก็ไม่มีทางชนะได้เลย ซึ่งพวกเธอก็ต้องแพ้แน่นอน”

ฟางจื่อเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวเฉียว ทำไมเธอถึงไม่ลงมือล่ะ ”

เซิ่งเฉียว “…เพราะว่าต้องให้ความเป็นมิตรกับแขกรับเชิญคนใหม่หน่อย”

ฮั่วซีหันมายิ้มให้เธอ “อื้ม ขอบคุณที่ออมมือให้นะ”

ทางรายการสั่งคัตพร้อมประกาศว่าการถ่ายทำรายการสิ้นสุดลงแล้ว

หลังจากที่เหนื่อยกันมาทั้งคืน ทุกคนก็กลับไปนอนพักผ่อนเป็นการชดเชยที่โรงแรม พอขึ้นรถได้ก็หลับทันที ที่นั่งของเซิ่งเฉียวห่างจากฮั่วซีเพียงแค่ทางเดินกั้น รถก็โยกเยกไปมา เธอเอียงศีรษะหลับสนิท ร่างยิ่งเอนโค้งลงเรื่อยๆ เกือบจะหัวทิ่ม

ฮั่วซีลุกพรวด รีบประคองร่างของเธอเอาไว้ ก่อนจะขยับนั่งลงตรงที่นั่งข้างเธอ แล้วจับศีรษะของเธอให้ซบกับไหล่ของเขา เขาถดตัวลงต่ำเพื่อให้เธอหลับได้สบายขึ้น เธอนอนสะลึมสะลือแล้วเขยิบเข้าหาซอกคอของเขา เส้นผมที่ปัดผ่านผิวหนังทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย จรดริมฝีปากบนหน้าผากเธอ ก่อนจะยิ้มออกมาโดยไร้สุ้มเสียง

เสิ่นเจวี้ยนอี้ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังขยับเปลี่ยนท่านั่งให้หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ แล้วกดปีกหมวกให้ต่ำลงไปอีกพอใกล้จะถึงโรงแรมฮั่วซีถึงได้ปลุกเซิ่งเฉียว

เธอนั่งตัวตรงด้วยความงุนงง แล้วมองคนข้างๆแวบหนึ่ง สมองยังประมวลผลไม่ทัน เธอมองอยู่นาน พอนึกอะไรขึ้นได้ก็เบิกตากว้าง ถามอย่างอึกอักว่า “ฮั่ว…ฮั่วซี ฉันไม่ได้น้ำลายไหลนะคะ”

ฮั่วซีหันมามองไหล่ของตนแวบหนึ่ง “คุณจะเช็กดูก็ได้นะ

เซิ่งเฉียว ‘ฮือ’

แล้วเธอก็ยื่นมือไปลูบดูจริงๆ ยังแห้งอยู่

ฮือ ตกใจหมดเลย

ในดวงตาของเขาฉายแววขบขัน ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉย เขากลับไปนั่งที่ของตนเอง

รถแล่นมาถึงโรงแรมอย่างรวดเร็ว แขกรับเชิญทยอยกันตื่นหลังจากที่นอนหลับมาตลอดทาง ตอนนี้แค่อยากจะรีบกลับไปที่ห้องแล้วนอนหลับพักผ่อนต่อ หลังจากที่ลงรถแล้วจึงไม่มีใครกล่าวอะไร เพียงเร่งฝีเท้าไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากถึงห้องพอขึ้นเตียงได้เซิ่งเฉียวก็นอนหลับทันที

ติงเจี่ยนค่อยๆย่องออกมาจากห้อง พอปิดประตูลงก็เห็นฮั่วซีเดินมาหา

เขามองประตูห้องแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เธอนอนรึยัง”

ติงเจี่ยนพยักหน้า “หลับไปแล้วค่ะ”

ฮั่วซีพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆพลางเอ่ยว่า “เดี๋ยวเธอตื่นแล้ว รบกวนบอกเธอหน่อยนะว่าผมมีงานต้องทำเลยขอไปก่อน แล้วพบกัน”

ติงเจี่ยนพยักหน้ารับ แล้วฮั่วซีก็หมุนตัวหันหลังพลางสวมหมวกถือไว้ในมือ ขณะเดินอยู่ก็สวมผ้าปิดปากไปด้วย แผ่นหลังนั้นดูบอบบาง รอบกายแผ่รัศมีของความเย็นชาออกมา

 

เที่ยวบินที่จะต้องขึ้นกลับประเทศจีนนั้นออกตอนพลบค่ำ ผู้ช่วยจึงมาปลุกแขกรับเชิญล่วงหน้า ขณะที่เซิ่งเฉียวล้างหน้าแปรงฟัน ติงเจี่ยนก็มายืนอยู่หน้าห้องน้ำพลางส่งต่อคำพูดของฮั่วซี

เธอชะงักมือที่กำลังแปรงฟันอยู่ แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “เขายังไม่ได้พักก็ไปทำงานต่อแล้วเหรอ”

ติงเจี่ยน “ตารางงานคงจะค่อนข้างแน่นน่ะ”

เซิ่งเฉียวรู้สึกกินข้าวเย็นไม่ลงทันที

เขาไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน แถมรายการวาไรตี้เมื่อวานก็ทำเอาเหนื่อยเสียขนาดนั้น ร่างกายของเขาจะสู้ไหวได้อย่างไร

เธอไม่ได้โทรศัพท์หาเขาเพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการทำงาน เพียงแค่ส่งข้อความไปเตือนเขาทางวีแชตว่า : [อย่าลืมกินข้าวนะคะ]

ทางรายการเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ ทุกคนเห็นแล้วว่าฮั่วซีไม่อยู่ พอรู้ว่าเขาบินไปทำงานต่อตั้งแต่เช้าต่างก็รำพึงรำพันว่าตารางงานของดาราดังระดับแนวหน้านั้นแน่นมากจริงๆ

เซิ่งเฉียวไม่อยากอาหารจึงกินไปเพียงสองสามคำก็วางตะเกียบลง พอกินข้าวอาหารเย็นเสร็จทางรายการก็ไปส่งแขกรับเชิญที่สนามบิน ก่อนจะขึ้นเครื่องบินกลับประเทศจีน แล้วก็นั่งเครื่องบินระยะยาวกันอีกครั้ง เมื่อถึงประเทศจีนก็เป็นเวลาเช้ามืดของวันรุ่งขึ้นแล้ว

พอเซิ่งเฉียวลงจากเครื่องบินก็เปิดโทรศัพท์มือถือดู ในที่สุดฮั่วซีก็ตอบกลับข้อความของเธอ : [ผมรู้แล้ว ไม่ต้องห่วงนะ]

เธอถึงได้สบายใจ

อันที่จริงช่วงนี้เธอเองก็มีงานค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน นอกจากต้องถ่ายรายการวาไรตี้สองรายการทุกสัปดาห์ ยังต้องท่องบทละคร แล้วยังต้องไปฟิตหุ่นที่ยิมของโค้ชส่วนตัวอีกด้วย

เมื่อชื่อเสียงและความนิยมเพิ่มมากขึ้น งานต่างๆก็เพิ่มมากขึ้นไปโดยปริยาย เธอไม่เคยปฏิเสธงานที่เป้ยหมิงฝานจัดหาให้ เพราะเขาทำตามสัญญาที่เคยไว้ให้กับเธอเมื่อครั้งนั้น และพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอมาโดยตลอด เพียงแค่ต้องเหนื่อยหน่อยก็เท่านั้น ทว่าความทุ่มเทกับผลลัพธ์นั้นย่อมเป็นสิ่งที่แปรผันตามกัน

ขณะทีวุ่นกับเรื่องต่างๆอยู่นั้นเอง รายการหนีตายถวายชีวิตในสัปดาห์ที่สอง ตอน “ผีแต่งงาน·ตอนจบ” ก็ถึงกำหนดออกอากาศ

สัปดาห์นี้ชาวเน็ตต่างก็อาศัยประโยคของเซิ่งเฉียวที่ว่า “ฉันมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง” ในการคาดเดาเนื้อเรื่องกันอย่างหลากหลาย ซึ่งในบรรดานั้นก็มีชาวเน็ตหลายคนเดาได้ถูกต้อง ทุกคนต่างก็รอคอยรายการเปิดเผยความจริงด้วยความตื่นเต้น

รายการเริ่มขึ้นด้วยตัวอักษรวิ่งที่เกี่ยวกับค่านิยมหลักของสังคมนิยม พอเซิ่งเฉียวเอ่ยถึงความคิดที่ว่าหุ่นกระดาษเกี่ยวข้องกับเวลากลางวันและกลางคืน ชาวเน็ตที่เดาถูกก็ดีใจกันยกใหญ่ ส่วนชาวเน็ตที่เดาไม่ถูกต่างก็ชื่นชมว่าเธอเก่งมาก ขณะที่ผู้ชมกำลังตื่นเต้นไปพร้อมกับแขกรับเชิญพลางครุ่นคิดว่าหลังจากนี้จะไขเนื้อเรื่องอย่างไรดีก็เห็นเสิ่นเจวี้ยนอี้ฉีกกระดาษพับแผ่นนั้นออกเป็นสองท่อน แล้วกล่าวถึงทฤษฎี “จุดไฟเผาหุ่นกระดาษ” อันโด่งดังของเขา

ชาวเน็ต “???”

ตัวอักษรวิ่ง

[ฮ่าๆๆ ทางรายการคงประสาทเสียแน่] [นี่ทางรายการเชิญชายหนุ่มผู้เป็นบั๊กมาสินะ] [ลูกชายของฉันก็ฉลาดแบบนี้ละ!] [บนเวทีเป็นราชา แต่ในชีวิตจริงเป็นคนบ้าบอ ทุกคนต้องเข้าใจหน่อยนะ]

บรรยากาศสยองขวัญถูกทำให้หายไปเสียอย่างนั้น

นึกว่าเป็นรายการวาไรตี้สยองขวัญ แต่พอเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆกลับยิ่งบ้าบอขึ้นทุกที ทางรายการพยายามคงเนื้อเรื่องกับความสยองขวัญเอาไว้ ส่วนแขกรับเชิญก็พยายามทำลายแผนและตลบหลังรายการ ก่อนหน้านี้มีจี้เจียโย่วที่ปีนกำแพงให้พ้นจากตากล้อง มาตอนหลังมีกระเป๋าสตางค์ของเซิ่งเฉียวที่เนรมิตเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้ายสารพัดออกมาอีก

ทุกคนยังคงดื่มด่ำกับเนื้อเรื่องผีแต่งงานที่เธอเสนอ ขณะที่ชื่นชมสติปัญญาและความสุขุมของเธอแล้วบอกว่าจะเป็นแฟนคลับเธออยู่นั้น ก็เห็นเธอควักดาบไม้ท้อออกมาจากขากางเกงด้วยสีหน้าเรียบเฉยและจิตใจที่สงบนิ่ง

ผู้ชม :

[กรี๊ดดด นั่นเป็นดาบไม้ท้อที่ฉันเป็นคนส่งให้เฉียวเฉียวละ! เฉียวเฉียวลุย! นั่นเป็นอาวุธที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของฉัน เคยปราบภูติผีมาแล้วไม่น้อย! ไม่ต้องกลัว จัดการมันเลย!] [เธอกับไอดอลของเธอบ้าหรือเปล่า] [ภาพลักษณ์ที่ดูสุขุมมีสติปัญญาสูงส่งนั้นพังทลายลงทันที] [แต่น่ารักมากเลยนะ ฮือๆๆ นี่มันเด็กสาวโดราเอมอนหรือไงกันเนี่ย รักเลยๆ] [ที่จริงแล้วเธอเก่งมากนะ ทั้งๆที่กลัวผีแต่พอถึงตอนสำคัญ เธอก็ไขปัญหาได้ตลอด ที่ว่ากันว่ายิ่งหวาดกลัวยิ่งสงบนิ่งนั้นก็คงหมายถึงคนแบบเธอนี่เเหละ] [อาศัยช่องโหว่จากกฎกติกาของรายการให้เพื่อนร่วมทีมพาเจ้าสาวออกไป ขณะเดียวกับที่ตัวเองก็ปลอมตัวเป็นเจ้าสาวไปยื้อเวลาไว้ โอ้โฮ ช่างอัจฉริยะอะไรขนาดนี้ ฉันเองก็อยากมีมันสมองแบบนี้บ้างเหมือนกัน] [ใครมาพูดว่าเซิ่งเฉียวของฉันไม่มีสมองนี่ ฉันจะเล่นงานคนนั้นซะเลย!] [เสิ่นเจวี้ยนอี้รับผิดชอบเรื่องความเฮฮา เซิ่งเฉียวรับผิดชอบด้านสติปัญญา รายการนี้รอดแล้ว]

การออกอากาศของ “ผีแต่งงาน·ตอนจบ” ติดอันดับคำค้นหายอดนิยมอีกครั้ง ทางรายการมีทุนหนาจึงยอมทุ่มทุนปั่นหัวข้อนี้ให้เป็นประเด็นร้อนอย่างไม่ขาดจนเกิดเป็นกระแสไปทั่วอินเทอร์เน็ต ความคิดสุดบรรเจิดกับการกระทำบ้าบอสารพัดในรายการถูกกล่าวถึงจนกลายเป็นที่นิยมและตกแฟนคลับไปได้ไม่น้อย

ขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ตารางงานของเซิ่งเฉียวก็ยิ่งยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ พอถ่ายรายการหนีตายถวายชีวิตกับดาวจรัสแสงรุ่นเยาว์สัปดาห์ใหม่เสร็จแล้ว เป้ยหมิงฝานก็จัดการให้เธอไปดูงานแฟชั่นโชว์ที่ต่างประเทศ เพราะเธอจำเป็นต้องมีทรัพยากรด้านแฟชั่นบ้าง

ทุกวันเธอยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้น ฮั่วซีเองที่ใกล้จะต้องเข้ากองถ่ายละครแล้ว กอปรกับต้องเปิดขายอัลบั้มใหม่ก่อนเปิดกล้องจึงต้องทำงานทุกอย่างให้เสร็จเพื่อจะได้มีเวลามาถ่ายละคร เรียกได้ว่ายุ่งเสียจนไม่เห็นแม้แต่เงา ถึงขั้นไม่ได้โพสต์เวยปั๋วเลยแม้แต่โพสต์เดียวราวกับซ่อนตัวอยู่ก็ไม่ปาน บรรดาซีกวงเลยกระจองอแงว่าคิดถึงที่รักกัน

เหลียงเสี่ยวถังส่งข้อความมาถามเธอว่า : [พี่เสี่ยวเฉียว ช่วงนี้พี่ได้เจอลูกชายของฉันไหม]

เซิ่งเฉียว : [ช่วงนี้ไม่ได้เจอสามีของฉันเลย]

เหลียงเสี่ยวถัง : [เฮ้อ พวกเราช่างเป็นแม่สามีกับภรรยาที่น่าสารจริงๆ]

เซิ่งเฉียว : […]

นี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับภรรยาที่กลมเกลียวกันมากที่สุดในประเทศเลยละ

นับตั้งแต่ถ่ายรายการตอน “วันสิ้นโลก” เสร็จ ทั้งสองไม่ใช่แค่ไม่ได้พบหน้ากัน แม้แต่ข้อความก็แทบไม่ได้ส่งหากันเลย เธอรู้ว่าเขายุ่งจึงไม่อยากรบกวน ส่วนเขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อมาหาเธอก่อนเช่นกัน

เหลียงเสี่ยวถังยังคงงอแง เซิ่งเฉียวจึงจิ้มภาพโปรไฟล์ของฮั่วซีในวีแชต แล้วถือโทรศัพท์มือถือไว้พลางพลิกไปพลิกมา เธอถามเหลียงเสี่ยวถัง : [เธอว่าฉันโทร.หาลูกชายเธอดีไหม]

เหลียงเสี่ยวถัง : [ทีมฮั่วเซิ่งขอสั่งให้พี่โทรศัพท์ตอนนี้! โทร.เดี๋ยวนี้เลย!]

เซิ่งเฉียวที่หาข้ออ้างได้แล้วจึงรวบรวมความกล้า ก่อนต่อสายไปหาคนที่ไม่ได้ติดต่อมานานสิบกว่าวัน

อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็วเกินคาด

น้ำเสียงเขาเจือด้วยความอ่อนล้าจางๆ ทว่าเธอยังคงสัมผัสได้ถึงความดีใจที่ปนอยู่ในความอ่อนล้านั้น “ฮัลโหล”

เธอเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความดีใจ “ฮั่วซี คุณยุ่งอยู่รึเปล่าคะ”

“ผมอยู่ที่สนามบิน กำลังจะกลับจีน”

“ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลย”

“ผมรู้ คุณไปดูการแสดงที่ปารีส”

“พรุ่งนี้ฉันจะไปอัดรายการหนีตายถวายชีวิตสัปดาห์สุดท้ายแล้วค่ะ”

“ผมคงไปถึงทุ่มกว่าๆ”

“งั้นจะกินข้าวเย็นด้วยกันไหมคะ”

“อื้ม ผมอยากกินจ๋าเจี้ยงเมี่ยน”

เธอดีดตัวจากเตียงขึ้นมานั่งแล้วยิ้มจนตาหยี “ฉันจะรอคุณค่ะ!”

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า