[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 200 : ลักลอบ

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

“เซียนเซิงคืนชีวิตนี้ให้ข้าแล้ว อาเหย่”
เสิ่นเจ๋อชวนหลอมละลายในกลิ่นอายอันคุ้นเคยนี้
ใช้แก้มถูไถแผ่นหลังของเซียวฉือเหย่ เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ตามกลิ่นมา “อาเหย่…”

เซียวฉือเหย่ยกมือขึ้นกดเสิ่นเจ๋อชวนไว้
หันศีรษะมาครึ่งหนึ่ง จะมองตาเขา

เสิ่นเจ๋อชวนลืมตา ในนั้นกลับไม่มีแววล้อเล่น
เขาขยับปลายนิ้วเข้าไปใกล้แก้มของเซียวฉือเหย่
เอ่ยว่า “ข้าเป็นของเจ้า ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าก็เป็นของข้าเช่นกัน”
ในที่สุดเขาก็เผยส่วนที่คมกริบและโหดเหี้ยมออกมา
พูดต่อว่า “หากใครพรากเจ้าไปจากข้างกายข้า ข้าจะฆ่ามันเสีย”

ต่อให้เป็นพญายมก็ไม่ได้

“ข้าอยากอยู่กับเจ้าไปจนอายุร้อยปี” เสิ่นเจ๋อชวนจุมพิตจอนผมเซียวฉือเหย่เบาๆ
“ในสถานที่ที่ไม่มีคนเอื้อมถึง”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 200 ลักลอบ

 

ใครจะคิดว่าอิ่นชางจะใช้เวลาอาบน้ำเกือบสองชั่วยาม เซียนเซิงทั้งหลายในห้องหนังสือรอจนท้องร้องโครกคราก อวี๋เสี่ยวไจ้ตาจ้องขนมบนโต๊ะขณะท้องร้องไม่หยุด

“โหยวจิ้ง” เสิ่นเจ๋อชวนปลีกตัวออกมาจากงานสำคัญของฉือโจว เอ่ยว่า “เดือนสองเมื่อยกทัพไปตีตวนโจว ตุนโจวจะต้องเป็นค่ายสนับสนุน ถานไถหู่อยู่ทางนั้นไม่เข้าใจเรื่องในที่ว่าการ เจ้ายังคงต้องไปดูหน่อย ข้าให้อำนาจในการตรวจตรากับเจ้า มีเรื่องสามารถรายงานมาที่โต๊ะข้าได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องอ้อมไปที่จุดพักม้า”

อวี๋เสี่ยวไจ้เป็นผู้ตรวจการสำนักตรวจการ นับเป็นลูกศิษย์ของเฉินอวี้ สมัยก่อนเคยเดินทางออกตรวจตราท้องที่ มักออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่บ่อยครั้ง คุ้นเคยกับสายสนกลในของที่ว่าการเป็นอย่างดี บัดนี้ตุนโจวได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง ขุนนางตำแหน่งสำคัญและเสมียนที่ส่งไปล้วนเป็นคนใหม่ที่คัดเลือกจากในฉือโจว เวลาใช้งานจึงไม่วางใจนัก เสิ่นเจ๋อชวนมิได้ให้อวี๋เสี่ยวไจ้อยู่ในตุนโจวเป็นผู้ตรวจการ แต่กลับให้อำนาจในการลงพื้นที่ตรวจตราและรายงานตรงต่อเขา แม้อวี๋เสี่ยวไจ้ยังไม่มีตำแหน่งขุนนางที่แน่ชัด แต่กลับมีบทบาทสำคัญมาก ตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับเนี่ยไถ[1]ในจงปั๋วตอนนี้ ในมือกุมผลการปฏิบัติงานของขุนนางในแต่ละท้องที่ของจงปั๋ว

อวี๋เสี่ยวไจ้รีบดึงสายตากลับมา ลุกขึ้นคำนับเสิ่นเจ๋อชวน

“ตุนโจวเพิ่งฟื้นฟูใหม่” เซียวฉือเหย่นั่งอยู่ข้างกายเสิ่นเจ๋อชวน พูดกับอวี๋เสี่ยวไจ้ “ถานไถหู่เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ เดิมไม่ควรก้าวก่ายงานของที่ว่าการ ทว่าตอนนี้แต่ละโจวล้วนขาดแคลนคน จึงมิอาจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ชั่วคราว แต่เห็นได้ชัดว่าเขาหัวช้าในเรื่องนี้ เรื่องใหญ่ยังคงต้องให้เจ้าคอยชี้แนะมากๆ หน่อย”

ถานไถหู่เป็นคนสนิทของเซียวฉือเหย่ ถูกส่งไปตุนโจวเพื่อดำรงตำแหน่งขุนพลที่ว่างลงในจงปั๋ว อันที่จริงให้เขาเฝ้าตุนโจวจัดว่าไม่สมฐานะ เมื่อมีความสัมพันธ์เช่นนี้อยู่ ในที่ว่าการตุนโจวจึงไม่มีใครกล้าขัดถานไถหู่ คำพูดนี้ของเซียวฉือเหย่จึงเป็นการถือหางอวี๋เสี่ยวไจ้ ตอนนี้อวี๋เสี่ยวไจ้ได้รับมอบหมายจากเสิ่นเจ๋อชวนให้เป็นผู้ตรวจตราและรายงานตรง ทั้งยังมีคำพูดนี้ของเซียวฉือเหย่ ไปตุนโจวย่อมไม่ต้องกลัวผู้ใดอีก วันหน้าไปท้องที่อื่นย่อมมีความมั่นใจเพียงพอ

อวี๋เสี่ยวไจ้ดีใจจนแสดงออกทางสีหน้า แต่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่สะดวกจะเปิดเผยความรู้สึกมากเกินไป เขาจึงข่มความยินดี คารวะทั้งสองอีกครั้ง “ผู้น้อยจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่แน่นอน ไม่ทำให้ฝู่จวินและท่านรองผิดหวังเป็นอันขาด”

อวี๋เสี่ยวไจ้ตอบเสียงดังกังวาน ท้องก็ส่งเสียงร้องดังกังวานเช่นกัน สองอย่างสอดประสานลงตัว สั่นสะเทือนจนภายในห้องโถงเงียบกริบไร้เสียง

“คืนนี้เป็นการเลี้ยงฉลองให้กับความสำเร็จของทหารรักษาการณ์” เสิ่นเจ๋อชวนเห็นท้องฟ้ามืดแล้ว “ข้าไม่รั้งตัวเซียนเซิงทุกท่านไว้แล้ว เริ่มงานเถิด”

งานเลี้ยงจัดอยู่ในห้องโถงข้าง เดิมเสิ่นเจ๋อชวนเป็นประธาน แต่เซียวฉือเหย่กลับมา อิ่นชางก็มิได้มาร่วมงาน เขาจึงนั่งอยู่เพียงครู่เดียวพอเป็นพิธี ผู้คนในงานล้วนเป็นที่ปรึกษา มีเสิ่นเจ๋อชวนนั่งอยู่พวกเขาไม่กล้าดื่มสุราเต็มที่ พอฝู่จวินออกไปแล้วถึงวางตัวเป็นธรรมชาติหน่อย

เฉียวเทียนหยาไม่อยู่ ไม่มีคนคอยคุม เหยาเวินอวี้มิอาจปฏิเสธน้ำใจล้นหลามของเซียนเซิงทั้งหลายได้ จึงดื่มสุราไปหลายจอก รอจนเฉียวเทียนหยากลับมา หยวนจั๋วก็เมาเล็กน้อยแล้ว นั่งพิงเก้าอี้พูดคุยหัวเราะกับขงหลิ่งและเกาจ้งสยง เฉียวเทียนหยาเห็นนานๆ ครั้งเขาจะผ่อนคลายเช่นนี้จึงไม่ได้ก้าวเข้าไป รออยู่นอกห้องเป็นเพื่อนเขาโดยมีม่านประตูกั้นกลาง

เฟ่ยเซิ่งตามหาเฉียวเทียนหยาจนพบ กวักมือให้แต่ไกล พูดผ่านหิมะที่โปรยปรายว่า “ไปเถอะ มายืนอยู่ตรงนี้ทำไมเล่า ห้องเข้าเวรก็ตั้งโต๊ะกินเลี้ยงไว้เหมือนกัน รอเจ้าอยู่คนเดียว”

เฉียวเทียนหยาไม่ขยับ ยามพิงเสาประตูดูสูงสง่า “ทางด้านนายท่านจัดการเรียบร้อยแล้ว?”

“ก็ต้องเรียบร้อยแน่นอนอยู่แล้ว” เฟ่ยเซิ่งเดินมาตรงหน้าเฉียวเทียนหยา มองผ่านรอยแยกของม่านประตูเข้าไปข้างใน “พวกเซียนเซิงคงเลิกดึก ประเดี๋ยวเจ้าค่อยมาก็ยังทัน ข้างในข้างนอกล้วนมีแต่องครักษ์ ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”

เฉียวเทียนหยาขบคิดครู่หนึ่งและเลิกม่านขึ้น อีกทางหนึ่งเหยาเวินอวี้มองมาทางนี้ เหมือนรู้ว่ามีคนรออยู่ เฉียวเทียนหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ปล่อยม่านและเอ่ยว่า “ในห้องข้ามีสุราดีอยู่หลายไห เจ้าสั่งให้คนไปเอามา ถือว่าข้าขออภัยทุกคนแล้วกัน”

เฟ่ยเซิ่งยื่นอยู่ด้านข้างครู่หนึ่ง เอ่ยเพียง “ใครอยากได้สุราไม่กี่ไหของเจ้ากันเล่า เจ้าหมดไฟแล้วรึ นายท่านปล่อยให้พวกเราพักผ่อนแล้ว แต่เจ้ายังจะขังตัวเองไว้ที่นี่” เขาดื่มสุรามาเล็กน้อย จึงพูดมากกว่าปกติ “หลายวันก่อนนายท่านบอกให้ข้ารับคนใหม่ เจ้ารู้หรือเปล่า”

เฉียวเทียนหยากอดอก ใช้สายตาพิจารณาเขา ตอบว่า “รู้”

เฟ่ยเซิ่งยกนิ้วขึ้นจิ้มตัวเอง จากนั้นจิ้มเฉียวเทียนหยา พูดพร้อมเสียงเรอว่า “ข้าจะพูดความจริงกับเจ้า วันหน้าการก่อตั้งทหารม้าในตวนโจว นายท่านถูกใจเจ้าที่สุด เจ้าทำสงครามได้นี่ แต่ตอนนี้มันอะไรกัน เจ้าติดตามเหยาเวินอวี้จนเหมือนลืมไปแล้วว่ารากของตัวเองอยู่ที่ใด ขืนเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วอนาคตต้องป่นปี้แน่”

หิมะตกลงบนด้ามดาบของเฉียวเทียนหยา เขามองไปทางลานเรือน พูดอย่างไม่ใส่ใจ “อนาคตของข้าอยู่ที่นี่ เจ้ากังวลเกินไปแล้ว”

“เจ้าเป็นคนที่ราชครูมอบให้นายท่าน” เฟ่ยเซิ่งลดเสียงเบาลง โมโหเขาที่ไม่ได้ดั่งใจ “วันที่นายท่านรับตัวเจ้าไว้ เขาก็รับดาบหย่างซานเสวี่ยมาด้วย”

เฉียวเทียนหยาเคยสาบานว่าจะเป็นดาบของเสิ่นเจ๋อชวน ความกล้า จิตใจ ฝีมือ เขาไม่ขาดสักอย่าง ถ้าเขายินยอม อยู่ในจงปั๋วย่อมสามารถเป็นองครักษ์ใกล้ชิดเหมือนอย่างเจาฮุยและเฉินหยางได้ วันข้างหน้าอนาคตยาวไกลไม่สิ้นสุด การฟื้นฟูเกียรติยศชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลจะมิใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป ทว่าตั้งแต่ถูกส่งมาอยู่ข้างกายเหยาเวินอวี้ ความปรารถนาของเขากลับหายไป ครั้งนี้หน้าที่ในการรับคนใหม่เสิ่นเจ๋อชวนมอบหมายให้เฟ่ยเซิ่ง หน้าที่ติดตามกองทัพก็มอบหมายให้เฟ่ยเซิ่ง นั่นล้วนเป็นเพราะเฉียวเทียนหยาไม่ต้องการ

เฉียวเทียนหยาปัดเกล็ดหิมะที่ลอยมาทิ้งไป มองเกล็ดสีขาวถูกสายลมหอบพัดไปในชั่วพริบตา หายลับไปในราตรีอันมืดมิดหนักอึ้ง เขาไม่ได้ปัดหิมะที่เกาะอยู่บนดาบพกทิ้ง ทั้งมิได้ตอบเฟ่ยเซิ่ง

 

เซียวฉือเหย่ถอดเกราะ สวมเสื้อตัวเดียวอ่านรายงานของเฟ่ยเซิ่ง บนนั้นเขียนรายละเอียดของสงครามที่ฝานโจว เขาพูด “แม้แต่ปืนไฟอี้อ๋องยังหามาได้ ความสามารถเช่นนี้ร้ายกาจยิ่ง”

“หนึ่งร้อยสามสิบห้ากระบอก” เสิ่นเจ๋อชวนถอดชุดคลุมกว้าง “ล้วนเป็นของของกองกำลังชุนเฉวียน บนนั้นยังสลักหมายเลขของกรมกลาโหมไว้”

“เขาเป็นโจรภูเขาคนหนึ่ง ไม่มีทหารเป็นเรื่องเป็นราว” เซียวฉือเหย่ยกแขนวางบนที่เท้าแขน มองเสิ่นเจ๋อชวนถอดเสื้อผ้า “ใครมอบของเล่นล้ำค่าเช่นนี้ให้กับเขา”

ชุดคลุมกว้างของเสิ่นเจ๋อชวนเลื่อนผ่านวงแขน หล่นลงบนพรมสักหลาด กระดุมบนเสื้อเป็นไข่มุก ตอนปลดออกส่งเสียงแผ่วเบา ลำคอเรียบลื่นขาวเนียนพลันปรากฏ เสิ่นเจ๋อชวนใช้นิ้วมือบังไว้ครึ่งหนึ่ง คล้ายกำลังขบคิดบางอย่าง ท่าทางผ่อนคลายของเขาไร้การป้องกัน ราวกับต่อให้ถูกกดลงบนพรมสักหลาดตอนนี้ก็ไม่มีทางต่อต้าน

“ปืนไฟหลุดออกมาข้างนอกไม่เป็นผลดีต่อชวี่ตู น่าจะขโมยออกมา”

ลูกกระเดือกของเสิ่นเจ๋อชวนขยับขึ้นลงเวลาพูด เซียวฉือเหย่จับจ้องมันอย่างแนบเนียน คุ้นเคยกับมันอย่างยิ่ง ทุกครั้งเวลาเสิ่นเจ๋อชวนเหงื่อไหลเป็นสายฝนมักจะแหงนคอ เพราะเซียวฉือเหย่ตัวสูงเกินไป ทำให้แม้อีกฝ่ายจะนอนอยู่บนฟูก ก็ยังต้องรองรับจุมพิตของเขาแบบนี้

เซียวฉือเหย่คิดถึงภาพต่างๆ มากมาย แต่สีหน้ากลับเป็นธรรมชาติ ไม่ได้แสดงออกแม้แต่น้อย นิ้วโป้งของเขาถูไปมาโดยไม่รู้ตัว พาให้แหวนกระดูกปันจื่อหมุนช้าๆ “อิ่นชางนำเชลยกลับมาด้วยมิใช่หรือ”

“ชายบำเรอของอี้อ๋อง แซ่ฮั่ว เฉิงเฟิงบอกว่าเป็นบุตรชายของอดีตผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์เติงโจว” เสิ่นเจ๋อชวนพูดถึงตรงนี้และหันไปมองเซียวฉือเหย่ “พรุ่งนี้เช้าเจ้าสามารถพบเขาได้”

“คนผู้นี้ใช้ปืนไฟขู่ให้อิ่นชางถอยไป” เซียวฉือเหย่พูด “เข้าใจเล่นนี่”

“ต้องมีคนสอนเขาแน่” เสิ่นเจ๋อชวนปลดกระดุมไข่มุกเม็ดสุดท้าย พอคลายมืออาภรณ์ก็ร่วงลงบนพื้น

ในที่สุดคนงามก็รู้สึกสบายตัว ถือโอกาสสะบัดรองเท้าเกี๊ยะที่สวมอยู่ออกไปด้วย เสิ่นเจ๋อชวนหันหลังให้แสงสลัว เอวสอบสะท้อนออกมา ราวกับหยกงามที่ห่อไม่มิด เซียวฉือเหย่รู้สึกสนุกกับการทำอะไรแบบลับๆ นี่เป็นการเล่นสนุกที่บอกใครมิได้ ความปรารถนาในการครอบครองหลันโจวค่อยๆ ไต่ไปทั่วโพรงอกเขา

“พรุ่งนี้เช้าส่งปืนไฟไปหลีเป่ยจำนวนหนึ่ง ทหารช่างสามารถวาดแบบร่างออกมาได้ ไห่รื่อกู่แอบฝึกฝนกระบวนทัพของอิ่นชางที่สนามฝึกเป่ยหยวน โจมตีจนข้ามิอาจโต้ตอบได้ ออกศึกที่ตวนโจวครั้งนี้ ข้าจะพาอิ่นชางไปด้วย” เซียวฉือเหย่โยนรายงานของเฟ่ยเซิ่งลงบนโต๊ะ

เสิ่นเจ๋อชวนยกชาขึ้นดื่ม ฟังแล้วก็หันไปปรายตามองเซียวฉือเหย่ พูดแฝงความหมาย “ไม่พาข้าไปด้วยหรือ”

“ได้ซี” เซียวฉือเหย่เผชิญหน้ากับเสิ่นเจ๋อชวน พูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ “บ้านข้ามีพยัคฆ์ร้ายอยู่ ปกติจับตาดูข้าอย่างเข้มงวด มีเพียงระหว่างเดินทัพเท่านั้นจึงจะลักลอบมีสัมพันธ์กับเจ้าได้”

หางตาที่เฉียงขึ้นของเสิ่นเจ๋อชวนซ่อนแววชั่วร้าย ตอบว่า “ภรรยาเจ้าดุเหลือเกิน ข้ากลัว”

เซียวฉือเหย่เลียนแบบน้ำเสียงของเสิ่นเจ๋อชวนคราวก่อน “ข้าก็ดุเหมือนกันนะ”

“ข้าไม่กลัวเจ้าดุ” เสิ่นเจ๋อชวนใช้พัดจีบขวางริมฝีปากของทั้งสองคนไว้ เหมือนนางจิ้งจอกข้างนอกอย่างไรอย่างนั้น “แต่ว่านานทีเดียวกว่าเจ้าจะมา”

เซียวฉือเหย่เอียงคอเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้เล่า ข้ากลัวภรรยานี่”

“เปลี่ยนเป็นข้าแทนสิ” เสิ่นเจ๋อชวนเอาพัดจีบออก พูดเสียงเบาชิดริมฝีปากเซียวฉือเหย่ “ข้าจะเฝ้ารอเจ้าอยู่ที่บ้านทุกวัน หนุนดอกเหอฮวน[2]กับเจ้า กระโจนเข้าสู่พายุฝนด้วยกัน…”

เซียวฉือเหย่จูบเสิ่นเจ๋อชวน ทำให้ถ้อยคำไร้ยางอายเหล่านั้นขาดห้วง เขาลูบลงไป ไม่พบหางจิ้งจอกของเสิ่นเจ๋อชวน แสงสว่างในห้องมืดลงเล็กน้อย ม่านข้างเตียงปล่อยลงมาแล้ว ทั้งที่ไม่มีคนอื่น ทว่าพวกเขากลับทำเหมือนกำลังลักลอบมีสัมพันธ์กันจริงๆ สองคนต่างฝ่ายต่างบดเบียดเสียดสีกัน สะกดกลั้นเสียงหอบหายใจไว้

“ข้าจะเอาทั้งสองคน” เซียวฉือเหย่ขบกัดเขา พูดเสียงเบา

เสิ่นเจ๋อชวนถูกกัดจนน้ำตารินไหล เอียงหน้าถูไถฟูกผ้าห่ม สองตาเปียกชื้นเมื่อถูกสายตาของเซียวฉือเหย่จับจ้องก็มองเขาอย่างยากลำบาก เอ่ยน้ำเสียงแง่งอน “เจ้า…เจ้ามันผีหลายใจ…!”

เซียวฉือเหย่อยู่ในเขตสมรภูมิมาเกือบสองเดือน กลับฉือโจวแล้วก็ยังไปอยู่ที่สนามฝึกเป่ยหยวน ยามนี้เขาบีบคางเสิ่นเจ๋อชวน จ้องมองอีกฝ่ายและยิ้มพูดเสียงแผ่ว “เจ้าพูดถูก”

เสิ่นเจ๋อชวนถูกครอบครอง

ว่างเว้นมานานถึงเพียงนั้น ความรู้สึกครั้งนี้แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ความเปลี่ยนแปลงของเซียวฉือเหย่สะท้อนออกมาทั้งหมด เขาไม่ปล่อยเสิ่นเจ๋อชวนไปอีก ความรู้สึกของการครอบครองอย่างรุนแรงแผ่ลามจากล่างสู่บน ทำให้เสิ่นเจ๋อชวนรู้สึกว่าตัวเองจมลงไปโดยสมบูรณ์ ถูกเขากักขังไว้

เสียงหัวใจเต้น น้ำเสียง และลมหายใจ

เซียวฉือเหย่ต้องการทั้งหมด เขาครอบครองเสิ่นเจ๋อชวนไว้ทั้งตัว

เสิ่นเจ๋อชวนรับไม่ไหว หยาดเหงื่อกับน้ำตาผสมปนเป เขาใกล้จะหายใจไม่ทันเต็มที เซียวฉือเหย่ช่วงชิงไปแม้กระทั่งหยดน้ำตาของเขาที่ยังไม่ไหลออกมา

เซียวฉือเหย่เคยปรารถนาท้องฟ้า เคยปรารถนาทุ่งหญ้า ทั้งยังปรารถนาเทือกเขาหงเยี่ยน เขาเคยฝึกเหยี่ยวฝึกม้า ควบทะยานไปบนผืนดินกว้างใหญ่ในความฝัน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้แล้ว เขาปรารถนาเพียงเสิ่นเจ๋อชวน

เสิ่นเจ๋อชวนร้องไห้และแหงนคอขึ้น ดวงตาที่เจืออารมณ์มีประกายไหวกระเพื่อม ท่ามกลางความสุขซ่านอย่างถึงที่สุด เขาเปล่งเสียงออกมาแบบไม่ชัด “อา…เหย่…”

เซียวฉือเหย่คิดว่าเขากำลังหวาดกลัว แต่เขากลับเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เลียริมฝีปากตัวเองขณะที่ใบหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาเต็มไปด้วยแววเย้ายวน บ้าระห่ำเหมือนตอนกระโดดลงมาจากหอฝู่เซียนติ่งเข้าสู่อ้อมอกเซียวฉือเหย่ เขาพูด “ข้ารักเจ้าเหลือเกิน”

เซียวฉือเหย่โน้มตัวลงจุมพิตเขาอย่างดุดัน ไม่ต้องการให้เขาผละออกจากตนระหว่างการขยับตัวไปมาแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ยอมให้เขาพ้นจากเงื้อมมือของตนเวลาหอบหายใจ แต่ละครั้งมีแต่หนักไม่มีเบา พาให้ฟูกเปียกชื้น ทั้งยังทำให้เสิ่นเจ๋อชวนสั่นสะท้าน

พวกเขาลอบมีสัมพันธ์กันในความมืดสลัว หยาดเหยื่อผสมปนเป เปียกเป็นวงกว้าง นอกจากอีกฝ่ายแล้ว ก็ไม่เหลือสิ่งอื่นใดทั้งนั้น

 

[1] เนี่ยไถ เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางประจำมณฑลที่ทำงานด้านการตรวจสอบและฝ่ายยุติธรรม

[2] เหอฮวน นอกจากเป็นชื่อดอกไม้แล้ว ยังแปลว่าการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หรืออาจหมายถึงการร่วมรัก

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า