[ทดลองอ่าน] เจ้าเห็ดน้อย ตอนที่ 4

小蘑菇
เจ้าเห็ดน้อย

 

一十四洲 อีสือซื่อโจว เขียน
Isamare แปล

 

— โปรย —

“อย่าไปเลย … เจ้าเห็ดน้อย” คำเว้าวอนของอานเจ๋อ
มนุษย์เพียงคนเดียวที่เจ้าเห็ดน้อย ‘อันเจ๋อ’ รู้จัก ดังขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ
การไปยังฐานทัพมนุษย์เป็นอันตรายอย่างมากต่อพวกกลายพันธุ์อย่างเขาทว่าจะทำอย่างไรได้

ในเมื่อสปอร์ของเขาถูกคนช่วงชิงไป หากเขาอยากได้มันคืน
มีเพียงต้องเสี่ยงเท่านั้น ดังนั้นการเดินทางของเขาจึงเริ่มต้นขึ้น
ทว่าแค่ถึงประตูเมืองแล้วได้พบกับ ‘ผู้พิพากษา’ ท่านนั้นก็เล่นเอาขาเขาสั่นพั่บ ๆ
แล้วอีกฝ่ายไม่เชื่อว่าเขาเป็นมนุษย์ แถมยังจับตามองและแกล้งเขาไม่หยุดหย่อนอีก

แต่ถึงอย่างนั้น ภายใต้ความกลัว ความหวาดวิตก และถ้อยคำในแง่ลบต่าง ๆ ที่สมองของมนุษย์
คิดขึ้นมาบั่นทอนกำลังใจ อันเจ๋อกลับรู้สึกได้ถึงเกราะป้องกันที่ลู่เฟิงมอบให้เขา…
สิ่งนี้ในภาษามนุษย์เรียกว่าอะไร เขาที่เป็นเห็ดดอกน้อยไม่อาจรู้ได้เลย

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

‼️TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE ‼️
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Blood (มีเลือด) , Gore (เนื้อหามีความโหดร้ายแบบกระซวกตับไตไส้พุง)
, Attempted sexual harassment (การพยายามล่วงละเมิดทางเพศ)
, Mentioned suicide thought (มีการกล่าวถึงความคิดว่าจะฆ่าตัวตายแต่ไม่ได้บรรยายชัดเจน)
, Massacre (การสังหารหมู่) , Abuse (การทำร้ายร่างกาย) / Torture (การทารุณ ทรมาน)
, Self-Sacrifice (การพลีชีพตัวเอง) , Violence (การใช้ความรุนแรง) , Women Oppression (การกดขี่เพศหญิง)

 

บทที่ 4

 

ผิวของสัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้เป็นสีดำคล้ำตามสีผิวของแอนโธนี ทว่ายามนี้ใบหน้าแบบมนุษย์ของเขาบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปแล้ว บริเวณที่เคยเป็นดวงตาปกคลุมด้วยเกล็ดกระดองสีน้ำตาลหนา จมูกเฉียงลงข้างล่างขยายเป็นร่องแยกขนาดใหญ่ ปากนูนออกมา มีหลอดท่อสีดำงอยาวยื่นออกมาจากตรงกลาง

เขาหยุดเดิน ขอบปีกครูดกับผนังรถส่งเสียงแหลมบาดหู

“แอนโธนี นายทำบ้าอะไร” เสียงไม่พอใจของฮอว์สันดังขึ้น “ฉันไม่ชอบมีผู้ชมหรอกนะ”

พูดจบเขาก็ก้มศีรษะลงอีกครั้ง อันเจ๋อรู้สึกหนัก สัมผัสได้ว่ามีฟันกัดบนลาดไหล่ของตนเอง ผิวกายถูกฟันบดขยี้ ความเจ็บเด่นชัดแล่นปราดทว่าเขาแทบไม่สนใจแล้ว เนื้อตัวเกร็งตึง สบตากับแอนโธนีที่กลายร่างเป็นสัตว์กลายพันธุ์

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที

ปีกข้างหลังแอนโธนีสั่นไหวเล็กน้อย ปากหมุนติ้วกลางอากาศ

“กลัวเหรอ” ฮอว์สันที่ทับอยู่บนตัวอันเจ๋อราวกับสัมผัสได้ถึงความเกร็งตึงของร่างกายเขา ปากก่นด่าหยาบคาย “ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่เคยหรอกน่า” หลังจากนั้นก็บีบเอวเขาไม่ปล่อย มิหนำซ้ำยังกัดผิวเขาอย่างแรง

และทันใดนั้นเอง…

เสียงปีกสั่นไหวก็ดังหึ่ง ๆ ออกมา ขายาวเรียวหกข้างของแอนโธนีจิกพื้นแล้วโน้มตัวมาข้างหน้า ย่อตัวสะสมพลังราวกับแมงมุมร่างเพรียวตัวหนึ่ง ก่อนจะบุกจู่โจมมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว!

เสียงลมดังขึ้นในพื้นที่เล็กแคบ รูม่านตาของอันเจ๋อหดลง ร่างกายแปรสภาพในชั่วพริบตา สลับกลายเป็นร่างเห็ดที่อ่อนนุ่มและปราดเปรียว เส้นไฮฟาโบกพลิ้วภายในรถแทบจะเติมเต็มทุกพื้นที่ว่าง เข้าบดบังสายตาของแอนโธนีในเวลาอันสั้น

ฉับพลันอันเจ๋อก็รู้สึกได้ว่าคนบนร่างตัวแข็งทื่อไปพักหนึ่ง สำลักไอสองสามครั้ง หลังจากนั้นก็ดีดตัวลุกขึ้นด้วยความสับสน “แม่ง นี่มัน…”

เขาก้มหน้ามอง เห็นฮอว์สันอ้าปากกัดเส้นไฮฟาอ่อนนุ่มจนขาดนับไม่ถ้วน อาการสำลักแล่นตรงสู่ทางเดินหายใจและหลอดอาหาร สีหน้าขณะไอดูหวาดกลัวและทรมานมาก

ในเวลาเดียวกันนี้เองเส้นไฮฟาอีกนับไม่ถ้วนก็ถูกขาหน้าของแอนโธนีตัดขาดเช่นกัน เส้นไฮฟาอ่อนนุ่มขาดง่ายไร้ซึ่งความเหนียวทนทาน ทำได้เพียงคว้าโอกาสหนีเอาชีวิตรอดในเวลาไม่ถึงห้าหกวินาทีเท่านั้น

อันเจ๋อคะเนระยะห่างระหว่างตนกับแอนโธนีครู่หนึ่ง ก่อนใช้เส้นไฮฟาห่อหุ้มเสื้อผ้าของตนอย่างรวดเร็ว แล้วพลิ้วกายผ่านช่องว่างระหว่างร่างกายของฮอว์สันที่กำลังขยับไปมา กลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง

เส้นไฮฟาขาวดุจหิมะของเขาพุ่งไปทางประตูราวกับกระแสน้ำสีขาว เมื่อมาถึงบริเวณประตูก็คืนสู่ร่างมนุษย์แล้วกดปุ่มเปิดประตูรถ

เสียงทุ้มหนักดังขึ้น ประตูรถดีดตัวออกไปข้างนอก อันเจ๋อเก็บเส้นไฮฟาทั้งหมดกลับมาในชั่วพริบตา เอื้อมมือข้างหนึ่งคว้ากระชากคอเสื้อของฮอว์สันแล้วกลิ้งออกไปข้างนอก ทั้งสองกระโดดลงจากรถด้วยกัน ตกลงบนพื้นทรายอย่างมั่นคง

อย่างน้อยตรงนี้ก็ปลอดภัยกว่าพื้นที่เล็กแคบภายในรถมาก

ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น แอนโธนีก็ยื่นหัวออกมานอกประตูรถ เสียงหึ่งบาดหูดังขึ้น เขากระพือปีกบินขึ้นไปในอากาศสูงราวสี่ถึงห้าเมตรก่อน จากนั้นก็บินดิ่งลงมาอย่างรุนแรง

อันเจ๋อลุกขึ้นมาทันทีที่เขาบินขึ้นฟ้า แล้ววิ่งไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

กลับเห็นว่าฮอว์สันยังคงนอนหงายอยู่บนพื้นทรายด้วยแววตาเหม่อลอย ขาหน้าอันแหลมคมของแอนโธนีจึงทะลวงหน้าอกเขาในพริบตา

อันเจ๋อเคยเห็นวิธีล่าเหยื่อและหนีตายของสัตว์กลายพันธุ์ในเหวลึกมามากจึงรู้ดีว่าควรหนีอย่างไร เขาคิดว่าฮอว์สันก็คงรู้เช่นกัน ทว่าวินาทีที่เลือดสดกระเซ็นออกมานั้น ฮอว์สันกลับเพิ่งได้สติคืนมาในฉับพลัน เขาร้องเสียงดังลั่น มือสองข้างจับขาหน้า ส่วนสองขาก็ถีบร่างของแอนโธนีที่กลายเป็นตัวอ่อนสีดำอย่างบ้าคลั่งเพื่อพยายามหนีมาข้างหลัง

พื้นดินสั่นครืน อันเจ๋อหันขวับไปมอง เห็นรถหุ้มเกราะซึ่งเดิมทีขับออกไปไกลมากแล้วหักเลี้ยวอย่างฉับพลัน หันหัวกลับแล้วพุ่งทะยานมาทางนี้ ในที่สุดแวนส์ก็พบสิ่งผิดปกติแล้ว

เขาหอบหายใจ ก่อนสาวเท้าวิ่งไปหารถหุ้มเกราะ

เมื่อมองผ่านกระจกรถสามารถมองเห็นสีหน้าหวั่นวิตกของแวนส์ได้ ตัวรถยังขับมาไม่ถึง ประตูรถหุ้มเกราะก็ดีดตัวเปิดออกแล้ว ในจังหวะที่อันเจ๋อเฉียดผ่านรถหุ้มเกราะนั้นเอง แขนแข็งแรงคู่หนึ่งก็ฉุดเขาขึ้นมาจากพื้นดิน เขาปรับตัวประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวของแวนส์เพื่อมุดเข้าไปในห้องคนขับ แวนส์โยนร่างเขาไปยังอีกฟากหนึ่ง ก่อนจะปิดประตูรถดัง “ปัง”

อันเจ๋อเอ่ย “พวกเขา…”

“ช่วยไม่ได้แล้ว!” แวนส์หักพวงมาลัยฉับพลันอีกครั้ง รถหุ้มเกราะหันหัวมุ่งกลับไปในทิศทางเดิม คันเร่งถูกเหยียบมิด ทะยานไปทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว

อันเจ๋อพิงเบาะที่นั่งในตำแหน่งข้างคนขับ หายใจหอบสองสามครั้ง เมื่อลมหายใจกลับมาเป็นปกติแล้วก็มองไปยังกระจกมองหลัง แอนโธนีที่กลายร่างกับฮอว์สันที่บาดเจ็บสาหัสใกล้หมดลมหายใจกำลังเกี่ยวกระหวัดกลิ้งอยู่บนพื้น
แอนโธนียกขาหน้าเสียบลงพื้นอย่างรวดเร็ว ทะลวงท้องของฮอว์สันซ้ำอีกครั้ง ตรึงร่างกายของเขาไว้กับพื้นอย่างแน่นหนา หลังจากนั้นสัตว์กลายพันธุ์ตัวนี้ก็เงยหน้ามองมาทางพวกเขา ผ่านไปประมาณห้าวินาทีมันก็ทำท่าราวกับถอดใจไม่ไล่ตามรถหุ้มเกราะแล้ว พลันก้มหน้าใช้ปากเรียวยาวแทงศีรษะของฮอว์สัน ร่างกายของฮอว์สันกระตุกอยู่พักหนึ่งก่อนจะนิ่งไปในที่สุด

รถขับด้วยความเร็วสูง เพียงครู่เดียวเงาของพวกเขาก็หายไปกลางพุ่มไม้ดินเหลือง มองไม่เห็นอีกต่อไป

แวนส์เอ่ยถาม “แอนโธนีกลายร่าง?”

อันเจ๋อหันไปมองแวนส์ พบว่านัยน์ตาเขาแดงระเรื่อเล็กน้อย

เขาก้มหน้าลง “ขอโทษครับ”

เขายังมีชีวิตอยู่ แต่แวนส์กลับเสียเพื่อนร่วมทีมไปถึงสองคน

“ขอโทษเรื่อง?” แวนส์ฝืนยิ้ม “พวกเราออกมาทำงานมักมีคนตายบ่อย ๆ ชินแล้วละ ไม่แน่ว่าศพต่อไปอาจเป็นตัวฉันเอง”

ทว่าอันเจ๋อยังคงรู้สึกละอายใจ แอนโธนีติดเชื้อแล้ว หากในตอนนั้นหลังพบหยดน้ำต้องสงสัยคล้ายเลือดมนุษย์บนกระดองมดแล้วเขาบอกเรื่องนี้กับแวนส์ บางทีพวกเขาอาจรู้ตัวก่อนว่าแอนโธนีติดเชื้อแล้ว

เขาก้มหน้าสารภาพเรื่องนี้ออกมา

แวนส์เงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงทุ้มลงเล็กน้อย “แอนโธนีไม่ได้กลายร่างเป็นมด เขาอาจจะติดเชื้อมาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนหน้านี้พวกเราได้เจอกับฝูงยุงป่ากลายพันธุ์”

อันเจ๋อ “หลังจากนั้น…เขาก็ถูกกระดองตำอีกรอบเหรอครับ”

แวนส์มองนอกหน้าต่างรถ หลังจากเงียบไปนานก็เอ่ยขึ้น “ระดับการปนเปื้อนในพื้นที่ราบหมายเลขสองน้อยมาก แค่สองดาวเท่านั้น ลำพังแค่ถูกตำหรือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยคงติดเชื้อไม่ได้ แต่หากพูดออกมาก็จะถูกทีมทอดทิ้งทันที หลายคนเมื่อบาดเจ็บแล้วจึงเก็บไว้ไม่ยอมบอก”

เสียงเขาต่ำลงอีกเล็กน้อย “…เพราะอยากกลับบ้านน่ะ”

อันเจ๋อ “แล้วฮอว์สันล่ะครับ”

หากรู้ก่อนว่าแอนโธนีติดเชื้อแล้ว ฮอว์สันก็อาจจะไม่ตาย

“นายไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ฮอว์สันตายไปก็ดีแล้ว” แวนส์จุดบุหรี่สูบมวนหนึ่ง “เขาทำเรื่องเลวทรามมาไม่น้อย อย่างน้อยสุดก็ห้าชีวิต ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ว่าคนไม่พอ ฉันกับแอนโธนีก็คงไม่ร่วมงานกับเขา ตอนนั้นเขากำลังทำอะไรล่ะ รังแกนายเหรอ”

อันเจ๋อไม่ตอบ แวนส์จึงหันไปมองเขา

ท่ามกลางราตรีใบหน้าของเด็กหนุ่มดูสงบและนุ่มนวลอย่างเห็นได้ชัด ราวกับหยดน้ำใสแวววาว การที่คนแบบนี้มาปรากฏตัวในป่าเขตนอกแสนอันตราย บางทีอาจมีความลำบากใจที่พูดออกมาไม่ได้ เขาจึงไม่ได้ถามออกไป

ในขณะเดียวกันอันเจ๋อก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับแวนส์ เขาหวนนึกถึงภาพก่อนที่ฮอว์สันจะสิ้นใจ ตอนแรกฮอว์สันดูคล้ายกับสติหลุดลอยไปชั่วขณะ จวบจนถูกแทงจึงได้สติกลับคืนมา

ก่อนหน้านั้นฮอว์สันทำอะไรลงไป

เขากัดเส้นไฮฟาคำหนึ่ง

อันเจ๋อขมวดคิ้ว ความจริงแล้วเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองที่เป็นเห็ดนั้นมีพิษหรือไม่

ตอนนี้เขาสงสัยแล้วว่าตนน่าจะเป็นเห็ดพิษ

ยิ่งเดินทางต่อไปข้างหน้าพืชพรรณก็ยิ่งน้อยลงทุกที บนพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตาไม่พบสิ่งมีชีวิตใดทั้งสิ้น มีเพียงรถหุ้มเกราะของพวกเขาแล่นอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ตอนกลางคืนยามที่แสงออโรราปรากฏบนผืนฟ้าอีกครั้ง แวนส์ก็ตัดสินใจจอดรถพักผ่อน เขาดับบุหรี่เหนือพวงมาลัย เปิดประตูเชื่อมระหว่างห้องคนขับกับห้องพักแล้วกระโดดลงไป เสียงพูดดังขึ้นจากในห้องพักที่มืดตื๋อ “นอนพักก่อนแล้วกัน ขับรถต่ออีกหนึ่งวันก็ถึงฐานแล้ว”

อันเจ๋อตามมาหน้าประตูเช่นกัน เพื่อทัศนวิสัยที่กว้างขวางตำแหน่งของห้องคนขับจึงสูงมาก และเพื่อประหยัดพื้นที่เก็บของบนรถ ตำแหน่งห้องพักจึงอยู่ข้างล่างซ้ำยังต่ำมาก ความสูงห่างจากห้องคนขับหนึ่งเมตรกว่า เขาต้องกระโดดลงไป

เขายืนลังเลอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เพียงสามวินาทีแวนส์ก็คล้ายเห็นถึงความลังเลของเขาจึงเอ่ยว่า “นายนั่งตรงนั้นก่อน”

อันเจ๋อนั่งลงบนขอบตามคำสั่ง ขาทั้งสองข้างห้อยกลางอากาศ ก่อนที่แวนส์จะยื่นมือจับร่างกายครึ่งท่อนบนของเขา แล้วประคองลงมา

อันเจ๋อถึงพื้นอย่างมั่นคง กล่าวเสียงเบา “ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไร” แวนส์ยิ้ม น้ำเสียงแฝงความอ่อนโยนลึกซึ้ง “น้องชายฉันก็กลัวความสูง มักเป็นแบบนี้เหมือนกัน เขาอายุไล่เลี่ยกับนายเนี่ยละ”

อันเจ๋อพยายามเรียนรู้การสื่อสารแบบมนุษย์ หยั่งเชิงถาม “เขาก็ออกมาในป่าเขตนอกกับคุณด้วยเหรอครับ”

“อืม” แวนส์ตอบ “เมื่อก่อนมาด้วยกันตลอด”

“ครั้งนี้ไม่มาด้วยเหรอ”

“ตายแล้ว” แวนส์ตอบ “ถูกเจ้าพนักงานพิพากษาฆ่าที่หน้าประตูฐานทัพเมื่อสองเดือนก่อน”

เจ้าพนักงานพิพากษา อันเจ๋อได้ยินคำนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว

ครั้งแรกจากอานเจ๋อ เขาห้ามไม่ให้ตนไปยังฐานทัพมนุษย์ บอกว่า ‘เธอหนีสายตาของเจ้าพนักงานพิพากษาไม่พ้น’

ครั้งที่สองจากแอนโธนี เขาไม่อยากให้ตนเข้าทีมด้วย บอกว่า ‘พวกเราไม่ใช่เจ้าพนักงานพิพากษา คอนเฟิร์มไม่ได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ร้อยเปอร์เซ็นต์’

และในความทรงจำที่เขาได้รับมาจากอานเจ๋อ คำนี้คล้ายจะปรากฏถี่มาก

ด้วยเหตุนี้เขาจึงทวนซ้ำอีกรอบ “…เจ้าพนักงานพิพากษา”

“นายไม่รู้จักเหรอ” แวนส์ถามเสียงสูงแฝงความแปลกใจ “นายโผล่มาจากไหนกันแน่เนี่ย”

อันเจ๋อตอบเสียงเบา “เมื่อก่อนผมไม่ค่อยสุงสิงกับใคร”

“ก็พอดูออก” แวนส์หมุนปุ่มบนผนังรถ แสงไฟสีขาวอ่อนสลัวสว่างขึ้นจากส่วนบนสุดของผนัง ให้ความสว่างอย่างจำกัดในพื้นที่เล็กแคบนี้ เขาหยิบเสบียงอาหารออกมาจากช่องตาข่ายข้างผนัง อันเจ๋อก็หยิบอาหารกับน้ำดื่มออกมาจากกระเป๋าสะพายของตนเองเช่นกัน แล้วนั่งลงตรงข้ามแวนส์

จากนั้นก็ฟังแวนส์เล่าว่า “ฐานทัพมีระบอบหนึ่งเรียกว่า ‘บทบัญญัติผู้พิพากษา’ หลังจากนั้นก็เกิดองค์กรระดับสูงสังกัดภายใต้กองทัพชื่อว่า ‘ศาลพิจารณาคดี’ สมาชิกของศาลพิจารณาคดีคือเจ้าพนักงานพิพากษา” แวนส์กล่าว “โดยปกติพวกเขาจะเปลี่ยนเวรกันยืนเฝ้าหน้าประตูฐานทัพ ทุกคนล้วนได้รับอนุญาตให้สังหารคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย”

ฟังจบอันเจ๋อก็นึกขึ้นได้อย่างเลือนราง เขาค้นพบบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกันจากความทรงจำที่ได้รับมาจากอานเจ๋อ

เขาถาม “…พวกเขาคอยตัดสินว่าคนที่เข้าไปในฐานทัพเป็นมนุษย์หรือผู้ติดเชื้อเหรอครับ”

แวนส์ตอบ “อืม นอกจากผู้ติดเชื้อเหล่านั้นที่ถูกมองออกแล้ว ยังมีอีกบางส่วนที่มองไม่ออกด้วย พวกที่กระบวนการกลายร่างยังไม่เริ่มต้นหรือระดับการกลายร่างเหนือชั้น ภายนอกไม่แตกต่างจากมนุษย์ ฐานทัพเรียกคนประเภทนั้นว่าพวกกลายพันธุ์”

อันเจ๋อเบิกตากว้าง

หากเป็นแบบนี้ แสดงว่าเขาก็เป็นหนึ่งในพวกกลายพันธุ์สินะ

แวนส์ถอดเสื้อคลุมวางไว้ด้านข้าง บิดฝาเปิดกระบอกน้ำ แล้วเล่าต่อว่า “ประชากรในฐานทัพหนาแน่นเกินไป หลังพวกกลายพันธุ์เข้าไปในฐานทัพแล้วก็จะไล่ฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง ผลที่ตามมาคือการติดเชื้อเป็นวงกว้าง หน้าที่ของศาลพิจารณาคดีก็คือวินิจฉัยทุกคนที่เข้าเมืองว่าเป็นมนุษย์หรือพวกกลายพันธุ์ ขั้นตอนการวินิจฉัยเรียกว่า ‘พิพากษา’

“แล้ว…” อันเจ๋อถาม “หลังพบว่าเป็นพวกกลายพันธุ์ล่ะครับ”

“จะทำยังไงได้ล่ะ” แวนส์เลิกคิ้วตอบ “ก็ยิงตายตรงนั้นเลยน่ะสิ”

อันเจ๋อเงียบไม่พูดไม่จา ก้มหน้ากัดบิสกิตอัดแท่ง[1]คำหนึ่ง เขาเพิ่งเรียนรู้วิธีการกินอาหารแบบมนุษย์เมื่อครู่ อาหารมนุษย์สำหรับเขาแล้วค่อนข้างหยาบ เมื่อกลืนลงไปแล้วช่องปากและลำคอจะถูกบาดจนเจ็บ เขากินช้ามาก แต่หัวใจกลับเต้นระรัว

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เขาถามขึ้นอีก “แยกพวกกลายพันธุ์ทั้งหมดออกจริง ๆ เหรอครับ”

แวนส์ดื่มน้ำอึกใหญ่ พิงผนังรถแล้วหลับตาลง ในน้ำเสียงเจือความหดหู่ “ใครจะรู้ล่ะ คนตายให้การไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าคนเหล่านั้นที่ถูกฆ่าตายเป็นพวกกลายพันธุ์จริงหรือเปล่า น้องชายฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น”

อันเจ๋อไม่พูดจา แวนส์คล้ายตอบไม่ตรงคำถาม แต่เขาก็ยังฟังเงียบ ๆ

“เขา…ตอนนั้นไปที่ราบหมายเลขหนึ่งกับฉัน ระดับการปนเปื้อนของที่นั่นต่ำกว่าที่ราบหมายเลขสอง ฉันมองดูเขาตลอดเวลา ยืนยันได้ว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลย” แวนส์ระบายยิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับแหบพร่า “เมื่อกลับไปถึงหน้าฐานทัพ วันนั้นคนที่เข้าเวรไม่ใช่เจ้าพนักงานพิพากษาทั่วไป แต่เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขา ทุกคนเรียกเขาว่า ‘ผู้พิพากษา’ เจ้าพนักงานพิพากษาคนอื่นเมื่อสังหารคนแล้วต้องให้เหตุผล แต่เขาไม่ต้อง ไม่ว่าเขาสังหารใครล้วนไม่ต้องมีเหตุผล ซ้ำยังไม่มีใครกล้าโต้แย้ง ต่อให้เป็นคนตำแหน่งสูงในฐานทัพ สังหารไปแล้วก็คือสังหาร วันนั้นเขาก็ทำแบบนั้น แค่มองน้องชายฉันแวบเดียวเท่านั้นก็เหนี่ยวไกแล้ว

“ฉันไม่เชื่อ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย เขาสังหารคนไปเยอะมาก ผู้คนในฐานทัพที่เกลียดชังเขาก็มีเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ฉัน ไม่แน่ว่าวันหนึ่งฉันก็อาจถูกเขาสังหารด้วยเหมือนกัน”

พอเล่าจบแวนส์ก็มองมือขวาของตนเองอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่ง จากนั้นก็วางกระบอกน้ำไว้ด้านข้าง เอนตัวลงนอนหนุนแขน ทว่าดวงตายังคงมองเพดานรถ ในที่สุดเขาก็กลับเข้าประเด็นเดิม ตอบคำถามที่อันเจ๋อถามไว้ตอนแรก “พวกเขายอมสังหารผิดดีกว่าปล่อยให้เข้าไป หากมีพวกกลายพันธุ์ปะปนเข้าไปในฐานทัพจริงจะต้องถูกพบแน่นอน วันนี้ครบรอบหนึ่งปีแล้วที่เกิดเหตุการณ์พวกกลายพันธุ์ร่วมกันบุกจู่โจม”

อันเจ๋อรู้สึกไม่ปลอดภัย เพื่อปกปิดความรู้สึกนี้เขาจึงหลับตาลง ใช้มือซ้ายขยี้ตาเบา ๆ

แวนส์บอก “นอนเถอะ เด็กน้อย”

อันเจ๋อนอนลงในห้องข้าง ๆ เขา ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยคืนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีทั้งสัตว์กลายพันธุ์ ไม่มีทั้งฮอว์สัน มีเพียงแวนส์ที่ดีต่อเขามาก

ก่อนหลับตาเขากุมปลอกกระสุนชิ้นนั้น มองไปยังประตูรถสุดปลายทางเดิน

ถ้าหากว่า…ถ้าหากว่าเขาแอบเปิดประตูรถแล้วลงไปเสียตอนนี้ กลับไปยังทุ่งกว้างที่สัตว์กลายพันธุ์เดินเพ่นพ่าน เขาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ต้องเผชิญหน้ากับการพิพากษา ไม่ต้องถูกยิงตายตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน แต่จะต้องนานกว่าวันพรุ่งนี้แน่นอน

แต่สปอร์เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิตอีกหรือ

ใช่แล้วละ

สำหรับสิ่งมีชีวิตในเหวลึกแล้ว ความตายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตนอกเหวลึกสั้น ๆ แค่หนึ่งวัน เขาเห็นแอนโธนีกลายร่างและฮอว์สันตายไปกับตาตัวเอง จึงตระหนักแล้วว่าชีวิตของมนุษย์ก็ไม่มีค่าเช่นกัน

อันเจ๋อหลับตาลง เขารู้ว่ายังไงตัวเองก็ต้องไปฐานทัพทางเหนือให้ได้

 

เช้าตรู่วันที่สองพวกเขามุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังฐานทัพ เนื่องจากแวนส์ต้องขับรถเพียงคนเดียว ต้องใช้พลังงานมาก เวลาพักผ่อนของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเริ่มจากพักผ่อนในช่วงบ่ายของวันนี้ถึงเที่ยงคืนของวันที่สามแล้วมุ่งหน้าต่อไปทางทิศเหนือ เมื่อแสงออโรราเริ่มเลือนราง ท้องฟ้าแทนที่ด้วยสีขาว แวนส์ก็เอ่ยขึ้น “ใกล้ถึงแล้ว”

อันเจ๋อมองเบื้องหน้า ท่ามกลางหมอกสีเทายามเช้าตรู่ เมืองทรงกลมก็ค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นจากเส้นขอบฟ้า

เมือง เขารู้จักคำนี้ มนุษย์รวมตัวกันอาศัยอยู่ในเมือง ก็เหมือนเห็ดที่อาศัยชุกชุมในฤดูฝน

รถหุ้มเกราะขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้า หลังหมอกยามเช้าตรู่ค่อย ๆ จางลง รายละเอียดเบื้องหน้าก็ยิ่งปรากฏเด่นชัด เมืองทรงกลมมีกำแพงล้อมดุจเหล็กกล้าสีเทา ระดับความสูงราวกับเห็ดที่สูงที่สุดอย่างไรอย่างนั้น คนยี่สิบคนต่อตัวกัน โดยให้เท้าของคนหนึ่งเหยียบไหล่อีกคนหนึ่งแต่ก็ไม่อาจข้ามกำแพงเมืองได้ บนกำแพงมีแท่งและหนามเหล็กยื่นออกมาจำนวนหนึ่ง สีของมันบ่งบอกถึงความเย็นเยียบแหลมคม ราวกับก้อนหินและผืนดินในฤดูหนาว

ขอบกำแพงติดตั้งกล้องวงจรปิดและระบบเลเซอร์ ผู้ใดลักลอบเข้ามาจะถูกจับได้ทันที ประตูเมืองสองแห่งใช้สำหรับผ่านเข้าออกอย่างเดียวเท่านั้น ทางหนึ่งเข้า ทางหนึ่งออก ตอนนี้บริเวณที่พวกเขาอยู่คือประตูที่มีแต่เข้าห้ามออก

ทันใดนั้นอันเจ๋อก็เห็นทีมเล็ก ๆ แบบแวนส์ขับรถกลับมาจากทุกทิศทาง พวกเขาบ้างพกอาวุธเบา บ้างพกอาวุธหนัก ในมือถืออาวุธตลอดเวลา สี่คนไม่ก็ห้าคนรวมกันเป็นหนึ่งทีม ขับรถหุ้มเกราะแบบเดียวกันไปจอดในเขตที่กำหนด หลังจากนั้นก็ลงจากรถเดินเข้าไปในประตูเมือง รถกับคนแยกกันโดนตรวจสอบ

แวนส์ลงมาจากรถก่อน อันเจ๋อจับแขนอีกฝ่ายแล้วกระโดดลงมา เขาสัมผัสได้ว่าแขนของแวนส์เกร็งกว่าปกติเล็กน้อย จึงคิดในใจว่าประตูเมืองแห่งนี้คงกระตุ้นความทรงจำอันเลวร้ายเกี่ยวกับน้องชายขึ้นมา

พวกเขาเดินไปยังประตูเมืองด้วยกัน ตรงนั้นมีคนเข้าแถวยาว หัวแถววุ่นวายเล็กน้อยเห็นสถานการณ์ไม่ชัด ผู้คนต่างกำลังทยอยเข้าไปตามลำดับ

อันเจ๋อตามติดข้างหลังแวนส์เดินตรงไปยังหางแถว เดินไปพลางสังเกตรอบข้างไปพลาง

สองข้างประตูเมืองมีทหารในเครื่องแบบสีดำยืนประจำการอยู่ ข้างเอวเหน็บปืนสองกระบอก กระบอกหนึ่งเป็นอาวุธปืนขนาดเล็ก อีกกระบอกหนึ่งเป็นปืนเลเซอร์ ข้างหลังพวกเขาเป็นอาวุธหนักขนาดยักษ์ติดตั้งตรงกับประตูเมือง จินตนาการได้เลยว่าหากมีสัตว์กลายพันธุ์พยายามบุกเข้ามา มันจะถูกอาวุธหนักเหล่านี้ระเบิดเป็นจุณ

หลังสังเกตรอบข้างแล้ว เขาก็ถูกเงาสีดำร่างหนึ่งดึงดูดสายตา คนผู้นั้นสวมเครื่องแบบสีดำเหมือนกันยืนอยู่ตรงตำแหน่งโล่งกว้างบริเวณเชิงกำแพงไกล ๆ ราวกับเป็นทหารนอกแถวที่ปล่อยตัวไม่รักษาระเบียบ และดูไม่เหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่ยืนยามตามวินัย หากแต่กึ่งพิงกำแพงเมือง และกำลังก้มหน้าเช็ดปืนสีดำอย่างเชื่องช้า

เครื่องแบบสีดำประดับพู่เงินยวงบนร่างเขาดูแล้วสง่างามทรงพลังกว่าคนอื่น ๆ อาจเป็นเพราะเขามีรูปร่างที่ค่อนข้างสูงโปร่งได้สัดส่วน

แวนส์มองไปทางนั้นแวบหนึ่ง จู่ ๆ ก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ พลางจูงเขาเดินตรงไปข้างหน้า ทว่าในขณะที่พวกเขาเกือบจะบรรจบเข้ากับหางแถวนั่นเอง…

อันเจ๋อเห็นคนผู้นั้นค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น

ภายใต้หมวกเครื่องแบบสีดำเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียวอันเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งคู่หนึ่ง

อันเจ๋อหยุดเท้าโดยฉับพลัน สัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบข้างหนาวเหน็บราวกับถูกแช่แข็ง

แวนส์หันมาถาม “ทำไมนาย…”

เสียงพูดหยุดชะงัก

แทนที่ด้วยเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด

ร่างกายสูงใหญ่ของแวนส์ซวนเซก่อนล้มลงบนพื้น ดวงตาของเขายังคงเบิกถลน เสียงติดขัดดังออกมาจาก
คอหอย เลือดสดท่วมทะลักออกมาจากขมับ หลังร่างกายกระตุกสองสามครั้งก็หยุดเคลื่อนไหวตลอดกาล

ทว่าอันเจ๋อทำไม่ได้แม้กระทั่งเอื้อมมือคว้าชายเสื้อของเขา ทั้งไม่มีเวลาไตร่ตรองเหตุการณ์เมื่อครู่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทำได้เพียงเงยหน้าสบตากับนายทหารในเครื่องแบบสีดำผู้นั้น เพราะในเวลานี้ นายทหารผู้นั้นกำลังเลื่อนปากกระบอกปืนสีดำมะเมื่อมอย่างเชื่องช้า…และเล็งมาทางเขา

 

[1] บิสกิตอัดแท่ง (hardtack) คือขนมปังกรอบที่เป็นเสบียงของทหาร เป็นอาหารที่นิยมพกพาเมื่อต้องเดินทางไกลหรืออยู่ในสนามรบ รวมถึงสำรองเป็นเสบียงยามเกิดสภาวะคับขันหรือขาดแคลนอาหารด้วยเนื่องจากเก็บไว้ได้นาน

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า