[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 94 : ปั่นป่วน

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ข้าเช็ดคราบเลือดไม่ออกแล้ว”
เซียวฉือเหย่ตอบ “พวกเราจะเข้าสู่แดนอสูรด้วยกัน แนบชิดอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทำตัวให้สะอาดอีกแล้ว”
ริมฝีปากบางของเสิ่นเจ๋อชวนเม้มเล็กน้อย “ข้า…”
เซียวฉือเหย่บีบริมฝีปากที่เม้มเข้าด้วยกันแน่นของเขาให้เปิดออก “เจ้าจะพูดอะไรกับข้า”
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสิ่นเจ๋อชวนพูดเสียงเจือสะอื้น “ข้าเจ็บเหลือเกิน”
เซียวฉือเหย่ลูบผมเสิ่นเจ๋อชวน ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เขา “เจ็บตรงไหน บอกข้า”
เสิ่นเจ๋อชวนร้องไห้โฮ แม้แต่หัวไหล่ยังสั่นเทา เขาร้องประหนึ่งจะขาดใจ
เหมือนความเจ็บปวดรวดร้าวตลอดหลายปีมานี้ถูกปลดปล่อยออกมาในค่ำคืนนี้ทั้งหมด
แต่เขาโง่เหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บตรงไหนทั้งที่อดทนกับความเจ็บปวดแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เซียวฉือเหย่พลิกตัวกอดเสิ่นเจ๋อชวนไว้ โอบอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดทั้งตัว
ทำให้เสิ่นเจ๋อชวนได้พบสถานที่ที่สามารถถอดเปลือกนอกอันเสแสร้งของตัวเองออกไปได้
เขาขยี้ผมเสิ่นเจ๋อชวน เอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
“เจ้าจะไม่เจ็บอีกแล้ว ข้ารับรอง หลันโจวจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

บทที่ 94
ปั่นป่วน

 

เว่ยไหวกู่ถูกจับเข้าคุกและสอบสวน ผู้ช่วยผู้ว่าการมณฑลเจวี๋ยซีหยางเฉิงก็ถูกองครักษ์เสื้อแพรจับกุมและส่งเข้าคุกหลวงเช่นกัน นี่เป็นคดีใหญ่ของรัชศกเทียนเชินปีแรก ขุนนางทั้งหลายในราชสำนักต่างจับตาดู เสิ่นเจ๋อชวนลงมือว่องไว อาศัยคำให้การของหยางเฉิง สืบจนพบว่าเว่ยไหวกู่เริ่มนำเสบียงกองทัพไปขายต่อตั้งแต่รัชศกเสียนเต๋อที่สี่แล้ว

เว่ยไหวกู่อาศัยตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ทุกครั้งที่ตรวจสอบเสบียงกองทัพ เขาจะรับซื้อเสบียงกองทัพจากหยางเฉิง จากนั้นขายต่อให้ซีหงเซวียนในราคาสูง ซีหงเซวียนลำเลียงเสบียงเหล่านี้ไปยังจงปั๋วหกโจวและทะเลซวีไห่โดยใช้เส้นทางบกและเส้นทางน้ำ ทำกำไรได้มากมายมหาศาล

“ในเมื่อเจ้าทำมานานถึงเพียงนี้ ไฉนครั้งนี้จึงเกิดสำนึกที่ดี คิดจะฟ้องร้องเว่ยไหวกู่ผ่านทางสารด่วนจากจุดพักม้า” เสิ่นเจ๋อชวนตรวจดูคำให้การของหยางเฉิง

หยางเฉิงอยู่ในคุกหลวงมาหลายวัน ก้มหน้าตอบว่า “ครั้งนี้เป็นการเอาของเสียมาปลอมปน ไม่เหมือนที่ผ่านมา หลีเป่ยต้องทำศึก เสบียงนี้ส่งไปย่อมกลายเป็นยาพิษที่ฆ่าเหล่าทหารชายแดน ข้ากลัวว่ารัฐทายาทแห่งหลีเป่ยจะเกิดเรื่องจริงๆ”

ข้างโต๊ะสอบสวนไม่มีคนอื่น เซียวฉือเหย่นั่งอยู่ในเงามืด เอ่ยถามกะทันหัน “เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าเสบียงอาหารเหล่านั้นจะถูกส่งเข้าไปในปากของรัฐทายาท”

หยางเฉิงขยับแขนอย่างกระวนกระวาย ริมฝีปากขาวซีด “ข้าแค่กลัว แม้ข้าจะละโมบในทรัพย์สิน แต่ไม่คิดเอาชีวิตใคร”

“เจ้าไม่ต้องหวาดกลัว” เสิ่นเจ๋อชวนมองเซียวฉือเหย่แวบหนึ่ง ปรับเสียงให้นุ่มนวลกว่าเดิมและพูดกับหยางเฉิง “ที่นี่แม้จะเป็นคุกหลวง แต่นี่เป็นคดีที่ฝ่าบาททรงสอบสวนด้วยองค์เอง เจ้ามีคำพูดใด สามารถพูดออกมาที่นี่ได้”

พวกเขาสองคนรับบทแตกต่างกันอย่างชัดเจน หยางเฉิงกลืนน้ำลาย สติเริ่มพร่าเลือนท่ามกลางการสอบปากคำไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งคืน เขาเอาแต่ท่องว่า “ข้าไม่รู้ ข้าไม่…”

“เจ้าไม่รู้อะไร” เสิ่นเจ๋อชวนถามเสียงนุ่ม

“ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องกับรัฐทายาทแห่งหลีเป่ยจริงๆ…” หยางเฉิงพูดแล้วสะอื้น “ข้าไม่รู้…ข้ากลัวว่าทหารม้าเหล็กหลีเป่ยจะพ่ายศึกเพราะเหตุนี้ ปล่อยให้ทหารม้าเปียนซาบุกเข้ามาได้อีกครั้ง”

เซียวฉือเหย่โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ร่างกายประหนึ่งสัตว์ดุร้ายตัวหนึ่ง เงามืดปกคลุมใบหน้าของหยางเฉิง เขาเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าก็รู้ว่าเสบียงกองทัพนี้สามารถทำให้ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยปราชัยได้ แต่เจ้ายังคงบรรทุกพวกมันขึ้นรถม้า เจ้าสมควรตาย”

หยางเฉิงหวาดกลัวตัวสั่นภายใต้สายตาของเซียวฉือเหย่ ลำคอเขาตีบตัน ร้องไห้และพูดไม่เป็นภาษา “ท่านโหว…ข้ายอมรับผิด ข้า ข้าสมควรตาย…”

“เจ้าไม่ตายหรอก” เสิ่นเจ๋อชวนใบหน้าขาวเนียนดุจหยก นัยน์ตาแฝงอารมณ์ที่เชิดขึ้นเปี่ยมด้วยความเมตตาอารี เขาพูด “คดีนี้ตัวการหลักคือเว่ยไหวกู่ เขาใช้อำนาจหน้าที่บังคับขู่เข็ญเจ้า เจ้าเองก็จนปัญญา ความลำบากใจเหล่านี้ ข้าเข้าใจ ท่านโหวก็เข้าใจ หยางเฉิง เจ้าเข้ารับราชการในรัชศกหย่งอี๋ เป็นขุนนางในเจวี๋ยซีมาครึ่งชีวิต บัดนี้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการมณฑลเจวี๋ยซี เป็นข้าราชสำนักที่มีความสามารถและผ่านการประเมินขุนนางของชวี่ตูมาแล้ว บัดนี้เจียงชิงซานถูกย้ายออกจากเจวี๋ยซีเพื่อไปดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ในจงปั๋ว ตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเจวี๋ยซีว่างลง จากอายุและประสบการณ์ เวลากรมปกครองพิจารณาคนย่อมต้องเลือกเจ้าเป็นคนแรก ดูเถิด เดิมเจ้าควรมีอนาคตอันรุ่งโรจน์ แต่เจ้ากลับทำลายอนาคตเพื่อทรัพย์สินเงินทองเพียงเล็กน้อย ไม่คุ้มค่าเลย”

หยางเฉิงคู้ตัวขณะสะอื้นไห้

“ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้ามาจากไป๋หม่าโจว ครอบครัวลำบากยากจน หกขวบสูญเสียบิดา พี่น้องล้วนอาศัยมารดาเจ้าเลี้ยงดูเพียงคนเดียว นางส่งพวกเจ้าพี่น้องเข้าสำนักศึกษา ผ่านครึ่งค่อนชีวิตมาอย่างทุกข์เข็ญ ในที่สุดก็เฝ้ารอจนเจ้าได้เป็นขุนนางและสร้างจวน แต่เจ้ากลับก่อความผิดร้ายแรงถึงเพียงนี้” เสิ่นเจ๋อชวนทำท่าเวทนาเป็นพิเศษ “นับแต่นี้ไปนางจะถูกทิ้งให้อยู่ลำพังเดียวดาย ทั้งยังต้องถูกผู้คนก่นด่าประณามเพราะคดีนี้ ไฉนเจ้าจึงโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้”

หยางเฉิงอดปล่อยโฮเสียงดังไม่ได้ เดิมเขาเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง รู้มารยาทรู้คุณธรรมและมีความละอาย ตอนอยู่บ้านก็ปรนนิบัติดูแลมารดาอย่างกตัญญูที่สุด เขาใช้สองมือปิดหน้า ร้องไห้เอ่ยว่า “ข้ากระทำความผิดที่ต่ำช้ายิ่งกว่าเดรัจฉานเช่นนี้ ข้าไม่มีหน้าจะไปพบนางอีกแล้ว!”

“คดีนี้ยังไม่ยุติ ประหารหรือไม่ยังต้องหารือต่อไป” เซียวฉือเหย่โยนคำให้การ ปรายตามองเขา “ในเมื่อเจ้ายังรู้จักละอาย ย่อมไม่นับว่าสิ้นไร้คุณธรรมและสามัญสำนึก ต่อไปนี้ข้าจะถามคำถามหนึ่งกับเจ้า ทุกอย่างที่คุยกันจะไม่ถูกบันทึกลงในคำให้การ หากเจ้าตอบตามความเป็นจริง ข้าจะคิดหาหนทางรักษาชีวิตเจ้าไว้สุดความสามารถ เพื่อให้มารดาเจ้าได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข แต่หากเจ้ากล้าโกหกหลอกลวง ข้าจะสั่งให้คนตัดหัวเจ้าประจานที่ประตูตวนเฉิงทันที เจ้าใช้จดหมายด่วนฉบับหนึ่งเปิดโปงเว่ยไหวกู่ ทำลายชามข้าวทองคำของใครหลายคน เจ้าเป็นคนที่อยู่ในการค้านี้ ย่อมรู้ดีที่สุดว่าครอบครัวของเจ้าจะมีจุดจบเช่นไร หากไม่มีข้าเซียวเช่ออันคุ้มครอง ชีวิตของพวกเจ้าทั้งคนแก่และเด็กเล็กย่อมตกอยู่ในอันตราย”

หยางเฉิงร้องไห้อยู่พักใหญ่ รอจนเขาหยุด เสิ่นเจ๋อชวนก็รินชาร้อนให้เขาด้วยตัวเองถ้วยหนึ่ง เขาเช็ดน้ำตาลวกๆ กล่าวขอบคุณติดๆ กัน มือประคองถ้วยชาและเงียบไปนาน “ท่านโหวยอมคุ้มครองข้า…นับเป็นบุญคุณประหนึ่งชุบชีวิตข้าขึ้นมาอีกครั้ง ข้าไม่กล้าคิดเพ้อฝันว่าจะได้เป็นขุนนางต่อไป แค่อยากถูกเนรเทศออกไปเท่านั้น คดีนี้เกี่ยวพันในวงกว้าง หาใช่เรื่องที่จะอธิบายให้กระจ่างแจ้งได้ในชั่วเวลาสั้นๆ แต่ข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านโหวฟัง

“อาณาจักรต้าโจวนับแต่รัชศกเสียนเต๋อปีแรก คลังแผ่นดินก็ถูกถลุงจนร่อยหรอ บัญชีของกรมพระคลังล้วนเป็นบัญชีเละเทะที่ตรวจสอบมิได้ ฮวาซือเชียนในฐานะราชเลขาธิการแห่งสภาขุนนางร่วมมือกับพันหรูกุ้ยอนุมัติงานก่อสร้างที่สิ้นเปลืองเงินหลวงมากมาย เช่น อุทยานหลินหลางในฉินโจว งานก่อสร้างเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนไม่ต้องสร้างจนเป็นรูปเป็นร่างอย่างแท้จริง แค่ให้มีข้ออ้างที่ผ่านการอนุมัติจากสภาขุนนาง เพื่อที่ทุกคนจะได้นำเงินในคลังแผ่นดินออกมาใช้ได้เท่านั้นเอง นี่เป็นเรื่องที่คนวงในรู้กันทั่ว ขุนนางสมคบกับพ่อค้า ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋าของคนเหล่านี้ราวกับสายน้ำ

“รัชศกเสียนเต๋อที่สี่เป็นปีที่เว่ยไหวกู่ดึงข้าลงน้ำ ข้าจะพูดตามความจริง ท่านโหว ข้ารู้ว่าเงินนี้ไม่ควรแตะต้อง แต่ข้าจนปัญญา พวกเราขุนนางท้องถิ่นเวลาเข้าเมืองหลวงต้องผลัดกันไป ‘แสดงคารวะ’ ต่อสกุลพันและสกุลฮวา ขุนนางจากตระกูลสูงศักดิ์มีฐานะมีความพร้อม แต่ผู้ที่ลำบากเพราะธรรมเนียมกำนัลน้ำแข็งและกำนัลถ่านไฟคือขุนนางจากตระกูลสามัญอย่างพวกเรา ถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีงานให้ทำ

“ปีนั้นเจวี๋ยซีประสบภัยพิบัติจากแมลง สิบสามเมืองไม่มีผลผลิตแม้แต่น้อย เป็นเจียงชิงซานที่เข้ามารับผิดชอบเรื่องนี้และดูแลพวกเรา ใช้อำนาจสั่งเปิดยุ้งฉางของพ่อค้านำเสบียงอาหารมาช่วยเหลือประชาชนในเจวี๋ยซี จึงไม่เกิดภาวะอดอยาก เหตุการณ์นี้ทำให้เจียงชิงซานกลายเป็นตะปูในดวงตาของคหบดีใหญ่ทั้งหลายในเจวี๋ยซี ตอนนั้นชวี่ตูก็รู้เรื่อง คนทวงหนี้ตามมาถึงจวนของเขา มารดาเขาสูงวัยถึงเพียงนั้นแล้ว ยังต้องทอผ้าใช้หนี้ แต่หนี้ที่เขาใช้คืนเป็นหนี้อะไร พวกเราต่างรู้ดี เขากำลังใช้หนี้ให้ราชสำนัก ทว่ามีเหตุการณ์หนึ่งที่คนอื่นไม่รู้ พวกเราเจวี๋ยซีกลับรู้ดีที่สุด นั่นคือจงปั๋วพ่ายศึกอย่างถูกเวลาเหลือเกิน

“เหตุใดข้าจึงพูดเช่นนี้ ตอนนั้นคลังแผ่นดินว่างเปล่า เจวี๋ยซีประสบภัยพิบัติ หลีเป่ยและเปียนจวิ้นยังต้องรับมือกับทหารม้าเปียนซา เหอโจวก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดี เพิ่งจะเริ่มต้นปีก็มีคนหิวตายเสียแล้ว กรมพระคลังถูกกดดันอย่างหนัก แต่คลังแผ่นดินไม่มีปัญญาช่วยเหลือท้องถิ่น เพราะเงินในคลังถูกถลุงจนหมดแล้ว ฮวาซือเชียนต้องมีคำชี้แจงให้ท้องถิ่นต่างๆ ไห่เหลียงอี๋ในสภาขุนนางก็กำลังตรวจสอบบัญชีนี้ ตอนนั้นฮวาซือเชียนไม่ว่าเดินหน้าหรือถอยหลังล้วนลำบาก เรื่องนี้สร้างความกลัดกลุ้มกังวลให้เขายิ่งนัก ตอนนั้นสกุลฮวาขายหมู่บ้านเกษตรในเมืองตี๋เฉิงโดยมีสกุลซีรับซื้อไป พวกเราต่างรู้ว่าฮวาซือเชียนต้องการเติมเงินในคลังแผ่นดิน กลบเกลื่อนเรื่องนี้ให้ผ่านพ้น แต่เงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้น กำลังเขาคนเดียวไม่มีทางเติมให้เต็มได้ ดังนั้นฮวาซือเชียนจึงเริ่มทวงเงินจากคนอื่น

“ข้าไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วฮวาซือเชียนทวงเงินมาได้หรือเปล่า แต่ในช่วงเวลานี้เอง ทหารม้าเปียนซาจู่โจมแม่น้ำฉาสือกะทันหัน ทหารรักษาการณ์ตวนโจวพ่ายแพ้อย่างอนาถ เสิ่นเว่ยหดหัวถอยหนี ส่งผลให้จงปั๋วเผชิญความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทหารม้าเหล็กหลีเป่ยกับทหารรักษาการณ์ตวนโจวเดินทัพสองสายมาช่วย สกัดการทะลวงเข้าไปของพวกเปียนซาได้ที่หน้าประตูเมืองชวี่ตู กระนั้นแม้จะทวงบ้านเกิดกลับคืนมาได้ เมืองที่ถูกกวาดล้างสังหารก็กลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว เสบียงบรรเทาภัยพิบัติที่เจวี๋ยซีแจกจ่ายชดเชยให้ประชาชนภายหลังก็คือเสบียงอาหารของจงปั๋วหกโจว”

เสิ่นเจ๋อชวนลุกพรวดทันที เขายืนอยู่ในความมืดสลัว มิได้เอ่ยวาจาใดๆ

เซียวฉือเหย่หัวใจเย็นเยียบเช่นกัน เขากับเสิ่นเจ๋อชวนเคยตั้งสมมติฐานมากมาย แต่กลับไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า จงปั๋วพ่ายศึกเพื่อเติมเต็มยุ้งฉางที่ว่างเปล่า ช่วยเหลือฮวาซือเชียนและเหล่าขุนนางที่กำลังตกที่นั่งลำบากชดใช้หนี้สิน

“นั่นเป็นคนแสนกว่าคน” เสิ่นเจ๋อชวนยันโต๊ะอย่างแข็งทื่อ มองตรงไปข้างหน้า เอ่ยเสียงแหบพร่า “นั่นเป็น…เป็นชีวิตทหารสามหมื่นชีวิต…เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกมา…”

คำพูดนี้ทำเอาเสิ่นเจ๋อชวนตั้งรับไม่ถูก เขาใช้เวลาหกปีโน้มน้าวตัวเองว่าคนพวกนี้อาจตายเพราะการแย่งชิงอำนาจ คนที่มีชีวิตเหล่านี้ หนุ่มสาวที่อ่อนเยาว์เหล่านี้ พวกเขาเคยมีตัวตนอยู่เหมือนกับจี้มู่ ตวนโจวเป็นประตูด่านแรก พวกเขาตายอย่างน่าอนาถถึงเพียงนั้น เสียงเพลงที่สะท้อนอยู่ในหลุมยุบฉาสือเป็นฝันร้ายชั่วชีวิตของเสิ่นเจ๋อชวน

จงปั๋วพ่ายศึก มีผู้เคราะห์ร้ายนับไม่ถ้วน ทหารที่ตายในสนามรบไม่มีใครเก็บศพ โลหิตกลบท่วมความฝันของผู้รอดชีวิต

หยางเฉิงกุมหัวท่ามกลางบรรยากาศกดดัน “เสบียงอาหารถูกปลอมปนครั้งนี้ ข้าหวาดกลัวจริงๆ ครั้งนั้นจงปั๋วยังมีทางกอบกู้สถานการณ์ได้ แต่หลีเป่ยกลับได้แต่พึ่งกำลังหนุนจากด่านลั่วสยา หากทหารม้าเปียนซาโจมตีหลีเป่ยสำเร็จ ข้าย่อมกลายเป็นคนบาปไปอีกพันปี!”

“จงปั๋วพ่ายศึก ทหารม้าเปียนซาบุกมาอย่างบังเอิญถึงเพียงนั้น! เผ่าฮั่นเสอโยกย้ายทหารลงใต้ เรื่องเหล่านี้หาใช่ความบังเอิญไม่ แต่เป็นเพราะพวกเขาได้รับข่าว” เซียวฉือเหย่พูดด้วยน้ำเสียงเสียดสีเย็นชา

เช่นนั้นครั้งนี้เผ่าฮั่นเสอปะทะกับเซียวจี้หมิงที่เทือกเขาหงเยี่ยนฝั่งตะวันออกก็ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน ชวี่ตู จงปั๋ว หลีเป่ย หรือแม้แต่ฉี่ตง ทุกที่ล้วนมีคนคอยส่งข่าวให้พวกเปียนซาสิบสองเผ่า พวกเขาเลี้ยงพวกเปียนซาสิบสองเผ่าไว้ เหมือนเลี้ยงหมาในที่หิวโหยและกินไม่เลือก เมื่อถึงยามจำเป็นก็จะปล่อยมันออกมา กัดกินร่องรอยที่เช็ดล้างไม่เกลี้ยงให้สิ้น

“ข้าไม่รู้ว่าส่วนกลางยังมีคนทำเรื่องแบบนี้อยู่อีกหรือไม่” หยางเฉิงพูดอย่างหวาดหวั่น “แต่ครั้งนี้เสี่ยงมากจริงๆ…คลังแผ่นดินมีเงินสะสมแล้ว บัญชีของกรมพระคลังสภาขุนนางก็ตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากยังปล่อยให้ทหารม้าเปียนซาเข้ามาก็คือขายชาติ ข้าไม่รู้…ข้าไม่กล้าเดิมพัน จดหมายส่วนตัวของข้ามีคนจับตาดูอยู่ ข้าได้แต่แจ้งชวี่ตูผ่านทางสารด่วนจากจุดพักม้า!”

“ในเมื่อเจ้าคิดจะฟ้องร้องเว่ยไหวกู่” เสิ่นเจ๋อชวนหิ้วตัวหยางเฉิงขึ้นมาทันใด “เหตุใดตอนส่งสารด่วนเจ้าจึงห้อยป้ายกรมพระคลัง เมื่อจดหมายด่วนฉบับนี้เข้ามาในชวี่ตู ย่อมต้องตกอยู่ในมือเว่ยไหวกู่ทันที!”

หยางเฉิงทำถ้วยชาหลุดจากมือ เอ่ยเสียงสั่นท่ามกลางเสียงแตกของกระเบื้อง “มิใช่ มิใช่! ป้ายที่ข้าห้อยไปเป็นป้ายกรมอาญาชัดๆ!”

เสิ่นเจ๋อชวนตะลึงงัน

ใบหน้าหยางเฉิงฉายแววหวาดหวั่น พูดอย่างเหลือเชื่อ “สารด่วนจากจุดพักม้าฉบับนี้หากตกอยู่ในมือเว่ยไหวกู่ ข้าต้องตายแน่นอน! ข้ารู้ว่าเสนาบดีกรมอาญาข่งชิวกล้าหาญมาก เขาไม่ได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ไม่มีทางยื้อเวลาหรือปกปิดแทนเว่ยไหวกู่ ดังนั้นก่อนส่งออกไปข้าจึงตรวจดูหลายครั้งให้แน่ใจว่า ข้าห้อยป้ายกรมอาญา!”

“เราหลงกลแล้ว” เซียวฉือเหย่ประคองเสิ่นเจ๋อชวนไว้ สายตาดุร้าย “ครั้งนี้มิใช่ฝีมือของเว่ยไหวกู่ ตอนเว่ยไหวกู่ได้รับสารด่วน เขาก็รู้ว่ามีคนอ่านเนื้อความข้างในแล้ว นี่เป็นการข่มขู่แบบเงียบๆ ทำให้เขาจำต้องยอมรับผิด!”

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า