หลังเลิกงาน พอกลับถึงบ้านก็รู้สึกสมองตึงๆ ปวดขมับ อยากนอนตลอดเวลา บางทีงานอาจจะไม่ได้หนักขนาดนั้น แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากสมองล้านั่นเอง อาการสมองล้าสามารถหายไปได้เพียงบริหารด้วยท่าทางเหล่านี้อาจจะสักสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ช่วยให้สมองตื่นตัวได้แล้วมาเริ่ม บริหารสมองให้สดชื่น ไปพร้อมๆ กันเลย! บริหารสมองให้สดชื่น ด้วยการ หมุนแขนซ้ายขวาไปคนละทิศทาง การบริหารสมองให้สดชื่น ด้วยการหมุนแขนซ้ายขวาไปคนละทิศทางจะช่วยให้การทํางานของคอร์ปัสคัลโลซัมมีความกระตือรือร้นขึ้น จริงอยู่ว่าการขยับเคลื่อนไหวในรูปแบบที่มีความซับซ้อนมากเกิน อาจเป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏบัติได้ตามที่ตั้งใจ แต่ถ้าแค่ขยับแขนซ้ายและขวาไปคนละทิศทางละก็ เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ก็จะทําได้คล่องขึ้นเอง อนึ่ง การประสานมือซ้ายกับมือขวาเข้าด้วยกันอย่างเช่นปรบมือ หรือพนมมือไหว้พระ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้แก่คอร์ปัสคัลโลซัม เพราะคอร์ปัสคัลโลซัมจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของมือทั้งสองข้างซึ่งขยับคนละทิศทางเสมอ เดินกลับไปกลับมา บนพรมม้วน อันดับแรก ให้เตรียมพรมขนาดไม่ต้องใหญ่มากไว้หนึ่งผืน จากนั้นม้วนพรม แบบเดียวกับเวลาทําข้าวห่อสาหร่าย ลําดับต่อไปคือ ขึ้นยืนบนพรมที่ม้วนพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออก เดินกลับไปมา หรือนอนหงายบนพรม แล้วงอขาสลับเหยียดตรงโดยระหว่างเคลื่อนไหว จะต้องรักษาสมดุลร่างกายให้มั่นคง เมื่อยืนอยู่บนพรมม้วนซึ่งไม่รู้ว่าจะกลิ้งไปมาเมื่อไร ประสาทท้ังหมดในร่างกายย่อมเพ่งสมาธิอยู่ที่ปลายเท้า พร้อมพยายามรักษาสมดุลอย่างสุดความสามารถ ทําให้คอร์ปัสคัลโลซัมได้รับการบริหารจากการส่งผ่านข้อมูลท้ังหลายไปมา ระหว่างสมองซีกซ้ายกับซีกขวา เดินสลับ ขวา – ซ้าย โอกาสที่เราทุกคนจะได้คํานึงถึงหรือใส่ใจเกี่ยวกับการทรงตัวในชีวิตประจําวันนั้นมีอยู่น้อยมาก สาเหตุเป็นเพราะสมองทําหน้าที่ควบคุมสมดุลร่างกายซ้าย-ขวาให้เบ็ดเสร็จ ด้วยเหตุนี้การลองเปลี่ยนมาขยับเคลื่อนไหวร่างกายซึ่งต้องใช้ความพยายามในการรักษาสมดุลร่างกาย […]
Tag Archives: พัฒนาตัวเอง
หากคุณรู้จัก มูจิ (MUJI) คุณรู้หรือไม่ว่าอะไรทำให้แบรนด์ มูจิ (MUJI) แตกต่างจากแบรนด์อื่น เบื้องหลังความสำเร็จของ MUJI มาจากการสร้าง MUJIGRAM หรือคู่มือการทำงานที่มีคุณภาพที่พนักงานทุกคนต้องอ่าน เพื่อให้พนักงานทุกคนปฏิบัติต่อลูกค้าเหมือนกัน ทุกสาขาทั่วโลก และนี่คือส่วนหนึ่งจาก MUJIGRAM ที่ทำให้มูจิแตกต่าง ที่มาของ พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด ของ มูจิ (MUJI) ชื่อหนังสือ “พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด” เป็นคำกล่าวโด่งดังของ ลุดวิกมีส ฟาน เดอร์โรห์ สถาปนิกชาวเยอรมัน มีคนตีความคำกล่าวนี้อย่างหลากหลาย แต่สำหรับผู้เขียน ได้ตีความหมายไว้ว่า “การให้ความสำคัญกับรายละเอียดปลีกย่อยเป็นสิ่งที่กำหนดเนื้อแท้ของผลงาน” ซึ่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่านั้นสำหรับผู้เขียนก็คือ MUJIGRAM นั่นเอง ไม่มีคำว่าพี่น้องใน มูจิ มูจิได้กำหนดให้ทุกคนเรียกนำหน้าชื่อพนักงานทุกคนว่า “คุณ…” รวมถึงประธานกรรมการ ประธานบริษัทก็ไม่มีข้อยกเว้น ต้องเรียกนำหน้าชื่ิอทุกคนด้วยคำว่า “คุณ” ทั้งหมด อาจจะมีหลายองค์กรที่ให้เรียกแทนหัวหน้าด้วยชื่อตำแหน่ง และไม่ใช้คำนำหน้าชื่อกับคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าหรือลูกน้อง การสื่อสารภายในองค์กรที่เป็นแบบนั้นมีแนวโน้มจะเป็นการสื่อสารทางเดียว และเกิดผลเสียเพราะว่าคนที่อยู่เบื้องบนจะมองไม่เห็นจุดที่เป็นปัญหา จุดที่ต้องแก้ไข […]
เช็ก 4 พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการทำให้ สมองล้า ถ้าเช็กแล้วใช่ รีบหาเวลาว่างไปพักผ่อนสมองบ้างนะ สมองล้ามาก ชีวิตก็เหนื่อยมาก เรากำลังใช้สมองมากเกินไป จนชีวิตเหนื่อยล้าหรือเปล่า สมองล้า เพราะกลับบ้านดึก งานแน่นเอี๊ยดตลอดทั้งวัน เวลากินข้าวยังต้องยกมากินหน้าคอมฯ แถมยังทำงานจนกลับดึก เมื่อไหร่ที่กลับบ้านดึก เวลานอนหลับของเราก็จะถูกริดรอนไปด้วย มาทำงานตอนเช้าด้วยสภาพหมีแพนด้า สติไม่ครบถ้วน สมองล้าเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ เอางานกลับมาทำที่บ้าน บางคนไม่กลับบ้านดึก แต่หอบงานกลับบมาทำที่บ้าน งานที่คุณนำกลับมาทำที่บ้าน อาจจะไปเบียดเบียนเวลาครอบครัว สังสรรค์กับเพื่อน สมองเลยไม่ได้พักผ่อนไปด้วย เพราะเครียดกับการทำงานตลอดเวลาจนสมองไม่ได้พักผ่อน ทำงานวันเสาร์ – อาทิตย์ วันหยุดที่สมองควรได้รับการพักผ่อน กลับเอางานมาทำเสียนี่ กลายเป็นวันหยุดที่ไม่ได้หยุด ขอทำงานก่อนแล้วไว้หยุดทีหลัง ในหนึ่งอาทิตย์ควรทานข้าวกับครอบครัวอย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่มัวเอางานมาทำที่บ้านเสียอย่างนั้น ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง ทุกครั้งที่ออกกำลังกายร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ทำให้หลับสบายด้วย […]
อีเมลเป็นเครื่องมือแสนวิเศษในการติดต่อผู้คน แต่หากไม่ใส่ใจ คุมสติ ตอนที่ใช้ มันก็อาจทำลายงาน และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมงานได้เช่นกัน วิธี คุมสติ ข้อแรกถามตัวเองว่า “ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะหรือไม่ที่จะตอบเมล” คุมสติก่อนตอบอีเมลงานด้วยการสร้างนิสัยการหยุดก่อนตอบ ถามตัวเองว่า “ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะหรือไม่ที่จะตอบ” การเขียนอีเมลขณะเดินทางมีประโยชน์ในเรื่องของการตอบที่รวดเร็วหรือการยืนยันเรื่องต่างๆ แต่การเขียนอีเมลที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนนั้นควรทำตอนที่จิตใจคุณสงบ ซึ่งคุณสามารถมีเวลาพิจารณาว่าหัวเรื่องกับผู้รับนั้นเหมาะกันหรือไม่ ประโยชน์ของการตอบแบบรวดเร็วอาจจะกลายเป็นการแอบซ่อนปัญหาไว้ก็ได้ หากเป็นหัวข้อที่ต้องอาศัยการไตร่ตรองทบทวนมาก หมั่นฟังเสียงกายและใจ ตอนกำลังตอบเมล คุมสติด้วยการหมั่นฟังเสียงร่างกายและใจ ทำให้เราสามารถจับสัญญาณจากท่าทางและความรู้สึกทางกายและใจได้ วิธีนี้จะสะท้อนให้เห็นว่าเราโต้ตอบคนบางคนหรือข้อมูลอย่างหนึ่งอย่างใดแบบไหน เช่น ร่างกายเกร็งหรือไม่ ไหล่เป็นอย่างไร น้ำเสียงของความคิดแบบไหนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้น ถ้ากำลังพิมพ์อยู่ คุณกดแป้นพิมพ์อย่างไร กดอย่างนุ่มนวลหรือกดแรง ๆ การตระหนักรู้ร่างกายของตัวเองแบบนี้ก็เปรียบเหมือนสัญญาณกระดิ่งที่เตือนให้เราตื่นและเตรียมพร้อม หากคุณรู้สึกว่าร่างกายมีแต่ความขุ่นเคือง ความหงุดหงิด หรือความโกรธแล้วละก็ จงตั้งสติเดี๋ยวนี้! ถ้าคุณกำลังกระหน่ำพิมพ์อีเมลตอบกลับอยู่ ก็ให้ส่งมันให้ตัวเองหรือบันทึกไว้เป็นร่างก่อน เมื่อคุณกลับมาอ่านอีกทีโดยที่ไม่มีอารมณ์เข้ามาเจือปน คุณอาจจะดีใจที่คุณทำแบบนี้ก็ได้ คิดว่าจะรู้สึกอย่างไร หากได้รับอีเมลแบบเดียวกับที่กำลังเขียน คิดถึงวิธีที่คุณติดต่อสื่อสารกับคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองคิดดูว่าตัวคุณเองจะรู้สึกอย่างไรหากได้รับอีเมลแบบเดียวกับที่คุณกำลังเขียนอยู่ คำที่คุณใช้ สามารถถ่ายทอดสิ่งที่คุณตั้งใจจะพูดได้จริงหรือไม่ […]
ทุกข์เกิดขึ้นเพราะส่วนใหญ่ไม่ยอมรับความจริง หาก ยอมรับความจริง ได้ ชีวิตเราก็จะห่างไกลจากความทุกข์ มาดูกันว่าทำอย่างไรใจเราถึงจะไกลทุกข์ได้ แนะนำโดย พระไพศาล วิสาโล อย่าซ้ำเติมตัวเอง อย่างแรกที่ควรทำก็คือ เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เมื่อความไม่สมหวังเกิดขึ้น อย่าซ้ำเติมตัวเอง เมื่อเจ็บป่วยก็ให้ป่วยแต่กาย อย่าปล่อยให้ใจป่วยไปด้วย เมื่อสูญเสียทรัพย์ ก็ให้เสียแค่นั้น อย่าให้ใจเสียไปด้วย หลายคนชอบซ้ำเติมตัวเอง พอสมบัติสูญหาย เงินถูกโกงไป ก็เศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ เท่านั้นไม่พอ ยังไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน หรือกินไม่ได้ นอนไม่หลับอีกด้วย แทนที่จะเสียใจก็เลยเสียสุขภาพไปด้วย ถึงเวลาทำงานก็ทำไม่ได้ ไม่มีสมาธิ เหม่อลอย เสียงานอีก เราซ้ำเติมตัวเองเป็นประจำ แม้กระทั่งในเหตุการณ์ประจำวัน เจอรถติดแทนที่จะเสียแค่เวลา กลับเสียอารมณ์ด้วย เสียเวลานั้นเราห้ามไม่ได้เพราะรถติดเป็นเรื่องที่อยู่เหนือวิสัยของเราที่จะป้องกันแก้ไขได้ แต่เสียอารมณ์นั้นเป็นเพราะเราทำตัวเราเอง คือวางใจไม่ถูก ไม่รู้จักดูแลจิตใจของตัว เวลาถูกคนนินทา ถูกคนต่อว่า แค่นี้ก็แย่พอแล้ว ยังซ้ำเติมตัวเอง คือปล่อยให้ความโกรธ ความหงุดหงิด เข้ามาเล่นงานจิตใจ ยอมรับความจริง มีตัวอย่างของการยอมรับความจริงที่ดีมากคือ […]
ที่ทำงานเป็นสถานที่ที่ทำให้เราปรี๊ดแตกได้ตลอดเวลา วิธีฝึกสติในที่ทำงาน จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรู้ ซึ่ง วิธีฝึกสติในที่ทำงาน ที่ง่ายเกินคาด ก็คือฝึกสติผ่านเสียงโทรศัพท์ เสียงโทรศัพท์ดังเป็นการส่งสัญญาณที่ดีที่สุดที่ช่วยให้เราได้ฝึกสติ ในช่วงที่กริ่งโทรศัพท์ดังหนึ่งหรือสองครั้งจะเป็นโอกาสให้เราได้หยุดนิ่ง สูดลมหายใจ และตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน แทนที่โทรศัพท์จะเป็นสิ่งที่รบกวนเรา ก็ให้เราพร้อมรับโทรศัพท์ รวมไปถึงพร้อมสำหรับคนที่อยู่ปลายสายด้วย วิธีฝึกสติในที่ทำงาน จับความรู้สึกตอนโทรศัพท์ดัง เมื่อโทรศัพท์ดัง ให้จับความรู้สึกของลมหายใจ รับรู้ถึงก้นที่แตะอยู่บนเก้าอี้และเท้าที่แตะพื้น สำรวจความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ หรือความรู้สึกทางกายที่อาจเกิดขึ้นในเวลานี้ จากนั้นหายใจเข้าและหายใจออก สังเกตความรู้สึกระหว่างและหลังคุย ลองพิจารณาดูว่าระหว่างรับโทรศัพท์แบบที่ทำตามปกตินั้น คุณมีความรู้สึกอย่างไรระหว่างคุยโทรศัพท์ และหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันในการรับโทรศัพท์ครั้งต่อไปอย่างมีสติ คุณสังเกตเห็นอะไรบ้าง การมีสติส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์ของคุณกับคนที่อยู่ปลายสายหรือไม่ ฟังปลายสายอย่างตั้งใจ ระหว่างการสนทนาให้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างตั้งใจ สังเกตการตอบสนองที่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณเอง ใช้ลมหายใจเพื่อช่วยให้คุณหนักแน่น รับความรู้สึกจากอีกฝ่ายว่าเขาอยากจะเล่า หรือแค่อยากพูดให้ฟัง หลีกเลี่ยงการใช้แรงกดดัน หลีกเลี่ยงการขัดจังหวะ หลีกเลี่ยงการขัดจังหวะด้วยการพูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร…” หรือโดยการถมด้วยเรื่องราวที่เลวร้ายกว่าซึ่งเคยเกิดขึ้นกับคุณ หากไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไร ก็ให้รับรู้ แต่อย่าผลักภาระไปให้อีกฝ่ายมาทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น หันมาสนใจประสบการณ์ความรู้สึกของตัวเอง สังเกตความคิด อารมณ์ และความรู้สึก และหายใจไปพร้อมความรู้สึกนั้น […]
วิธีใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำได้ทันทีเพียงแค่หนึ่งนาทีที่ตื่นก็จะสร้างความรู้สึกดีๆ ให้ฝังแน่นไปทั้งวัน นี่คือเทคนิคเริ่มต้นของ วิธีใช้ชีวิตให้มีความสุข ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายใจ วิธีใช้ชีวิตให้มีความสุข ขั้นแรกคือ เมื่อตื่นขึ้นมา คุณรู้สึกอย่างไรกับร่างกายและจิตใจ ลองสำรวจและรู้ให้ชัดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย และความรู้สึกที่เกิดขึ้นทางใจติดต่อกันสักหนึ่งถึงสามลมหายใจ โดยไม่ต้องพยายามไปเปลี่ยนให้มันเป็นไปตามที่เราอยากให้เป็น ผ่อนคลายลมหายใจให้ช้าลง เริ่มต้นผ่อนคลาย ปล่อยให้ลมหายใจค่อยๆ นุ่มนวลและช้าลง ปล่อยวางจากความคิดความกังวล ปล่อยวางความตึงเครียด ลองสัมผัสถึงความเข้มแข็งและรับรู้ถึงการปกป้องคุ้มครอง เช่น การมีเพื่อนอยู่ข้างๆ สังเกตดูว่าคุณยังโอเคอยู่ในตอนนี้ พักใจอยู่ในความสงบที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น นึกถึงสิ่งที่ทำให้รู้สึกขอบคุณ ลองนึกถึงสิ่งที่รู้สึกขอบคุณสักหนึ่งอย่างหรือมากกว่านั้นก็ได้ นึกถึงสิ่งที่ทำให้รู้สึกมีความสุข สัมผัสถึงความเติมเต็มที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ พักใจอยู่ในความพึงพอใจที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น นึกถึงคนที่ห่วงใยเรา ลองนึกถึงใครสักคนหรือหลายคน (หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงสักตัวหนึ่ง) ที่ห่วงใยเรา เปิดใจตัวเองเพื่อยอมรับว่าเราเป็นที่ชื่นชม ชื่นชอบ และเป็นที่รัก ตระหนักถึงความอบอุ่นของตัวเองและความห่วงใยที่เรามีต่อผู้อื่น พักใจอยู่ในความรักที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น เปิดใจรับความสบายใจ จากนั้นให้สัมผัสถึงความสงบ ความพึงพอใจ และความรัก ถักทอเข้ามารวมกันในใจ หลอมรวมทั้งสามแง่มุมของประสบการณ์ที่สบายและอบอุ่นราวกับการได้กลับบ้านนี้เข้าไว้ด้วยกัน […]
วิธีผ่อนคลายความเครียด เพื่อความตึงเครียดทั้งทางกายและใจมีหลายวิธี เราผ่อนคลายกายใจให้สบายขึ้นได้ด้วยตัวเอง ทำตาม วิธีผ่อนคลายความเครียด นี้ กายเบาใจเบาแน่ๆ สังเกตความผ่อนคลายที่มีอยู่แล้ว หรือสร้างมันขึ้นมา วิธีผ่อนคลายความเครียดข้อแรก คือสังเกตความรู้สึกผ่อนคลายใดๆ ก็ตามที่มีอยู่แล้ว เช่น ในลมหายใจหรือในร่างกายส่วนที่นิ่งๆ อยู่ หรืออาจจะเป็นความรู้สึกสบายและปล่อยวางก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างความรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้ด้วย ลองหายใจเข้าออกสักสองสามครั้งโดยให้ลมหายใจออกยาวกว่าลมหายใจเข้าสักเท่าหนึ่ง ผ่อนคลายจุดต่างๆ ที่สำคัญของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อขากรรไกร ลิ้น ปาก และดวงตา หายใจเข้าไปให้ถึงช่วงกะบังลมซึ่งอยู่ด้านในของบริเวณซี่โครง สัมผัสถึงความรู้สึกตึงเครียดละลายหายออกไปจากร่างกาย จินตนาการว่าอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น บนชายหาดภายใต้ดวงอาทิตย์อันอบอุ่น นอกจากนี้คุณยังสามารถค่อย ๆ ผ่อนคลายส่วนต่าง ๆ ของร่างกายคุณได้ด้วย โดยการไล่ขึ้นมาจากเท้าทั้งสองข้างขึ้นไปจนถึงศีรษะ ทำให้ความรู้สึกผ่อนคลายเข้มข้นขึ้น ลองเปิดรับความผ่อนคลายที่เกิดขึ้นนี้ว่าเป็นอย่างไร เปิดใจให้ความผ่อนคลายเข้ามาเติมทั้งกายและใจให้เต็มและมีความเข้มข้นมากขึ้น อยู่กับความรู้สึกตรงนี้ พยายามช่วยประคับประคองให้อยู่กับเรานาน ๆ ปล่อยวางให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รู้สึกผ่อนคลาย ปลดปล่อยกายใจไปกับสัมผัสอันหอมหวานของความรู้สึกสงบ ลองสังเกตแง่มุมต่าง ๆ ของประสบการณ์นี้ ทำให้มันสดใหม่อยู่เสมอ รับรู้ถึงความรู้สึกสงบที่ค่อย ๆ […]
อย่างที่รู้ๆ ว่า Nike เป็นอุปกรณ์กีฬายี่ห้อหนึ่งที่นักกีฬาดังๆ เลือกใช้กันมาก นอกจากจะด้วยคุณภาพชั้นยอดแล้ว ก็เป็นเหตุผลทางการตลาดเขาด้วยอะนะ แถมยังมี Nike รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ออกมาอีกต่างหาก วันนี้เลยขอนำเสนอรองเท้า Nike รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น จากหลากหลายวงการมาให้ดูจ้า บางรุ่นทำขายด้วย ซึ่งแพงม้ากกก แต่บางรุ่นก็ทำให้คนคนนั้นโดยเฉพาะ Nike รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น รุ่น Air Force 1 “Federer Forever” รองเท้า Nike รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น Air Force 1 “Federer Forever” นี้ ไนกี้ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองที่ Roger Federer ยอดนักเทนนิสวัย 36 ปี ได้กลับขึ้นมายึดมือ 1 ของโลกได้อีกครั้ง หลังจากฟอร์มตกไปนาน รองเท้ามาพร้อมกล่องไม้ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษในคอลเลคชั่นนี้อีกด้วย แต่ไม่มีขาย !! เพราะรองเท้าคู่นี้ทำออกมาเพื่อเฟเดอเรอร์เพียงคนเดียว 2016 NIke Mag […]
ทุกคนย่อมอยาก ประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาตัวเอง แต่เรามักตกหลุมพรางความคิดจนทำให้ยังไม่ ประสบความสำเร็จ นี่คือความคิดที่ขวางทาง ประสบความสำเร็จของเรา ยังไม่ ประสบความสำเร็จ เพราะไม่อยากล้มเหลว ใครๆ ก็กลัวล้มเหลวทั้งนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากล้มเหลว แต่อย่ากลัวความล้มเหลวเลย เพราะ “ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น” และ “ความสำเร็จก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น” เช่นกัน ในความสำเร็จมีความล้มเหลว ในความล้มเหลวก็มีความสำเร็จ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับความสำเร็จเท่านั้น แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกลัวความล้มเหลวด้วยเช่นกัน แค่คิดว่า “เรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ” แล้วตั้งอกตั้งใจทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไป ใช้ชีวิตแบบยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตอนนี้ และมุ่งมั่นทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ ดีกว่าชีวิตที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด ถ้ากลัว เราจะไม่เริ่มทำอะไรเลย และจะไม่มีวันประสบความสำเร็จเลย ไม่ลองทำสิ่งที่ทำไม่ได้ ตอนเด็กๆ การ “มีสิ่งที่ทำได้มากขึ้น” คือการค่อย ๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่พอเป็นผู้ใหญ่แล้วเรามักคิดว่า การยอมรับว่ามีสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้เป็นเรื่องแย่ จนไม่ลองทำอะไร จริงๆ แล้วการตระหนักได้ว่า “มีสิ่งที่เรายังทำไม่ได้อีกมากมาย มีสิ่งที่ยังไม่รู้อีกเยอะ” จะนำไปสู่ “การเติบโต” ของผู้ใหญ่ การรับรู้ว่า […]
- 1
- 2