วิธีตื่นเช้า ที่คุณใช้อยู่ได้ผลจริงหรือเปล่า? เมื่อเราที่ต้องเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม เช่น ต้องตื่นมาสะสางงานต่อ ไปต่างจังหวัดแต่เช้า หรือมีประชุมเช้า สิ่งที่เราทำจนคุ้นเคยคือการนอนให้ไวขึ้นกว่าเดิม แต่กลายเป็นนอนไม่หลับและอาจนอนดึกกว่าเดิม จนทำให้ไม่อยากตื่น งัวเงีย และเพลียหนักมาก ลองทำ 4 วิธีตื่นเช้า นี้ดู ไม่ว่างานจะเช้าแค่ไหนยังไงก็รอด นอนตามปกติแต่ร่นเวลาตื่น ลักษณะของการนอนหลับคือ เลื่อนออกไปง่าย แต่ร่นเข้ามาทำยาก เมื่อเรานอนเร็วขึ้นแค่ไหนเราก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดีเพราะร่างกายไม่ชินกับเวลานอนนี้ และการนอนเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงยังเป็นการรุกล้ำเขตห้ามนอนอีกด้วย การที่เราเข้านอนปกติแต่ตื่นให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมงจะช่วยให้หลับง่ายกว่าและคุณภาพการนอนยังดีกว่าด้วย เราสามารถค่อยๆ ร่นเวลาอย่างไม่หนักเกินไปคือ 1 ชั่วโมงต่อ 1 วัน แต่สำหรับคนที่อยากจะนอนให้ไวขึ้นจริงๆ แนะนำให้แช่น้ำร้อน 1 ชั่วโมง และออกกำลังกายแบบเบาอย่างการยืดเส้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย รักษาเวลานอนอย่างเคร่งครัด การนอนให้ตรงเวลาเป็นสิ่งที่ทำยาก เพราะไม่รู้ว่าจะเจอสถานการณ์กะทันหันแบบไหน เช่น งานยังไม่เสร็จ มีงานเลี้ยงของบริษัท แต่ต่อให้รู้ว่ายาก ก็ต้องฝึกกำหนดตารางนอนให้ได้ โดยเริ่มจากกำหนดเวลาตื่นก่อนแล้วค่อยตั้งเวลาหลับ เมื่อเรากำหนดเวลาได้แน่นอนแล้วต่อให้วันพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าเราก็จะไม่รีบนอนก่อนเวลา เพราะหัวใจของการฝึกตื่นเช้าคือการนอนตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ […]
Category Archives: How To
คำถามจิตวิทยา ที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ เป็นคำถามที่ตั้งโดย ซาซากิ โชโกะ นักตั้งคำถามชื่อดังของญี่ปุ่น ที่จะช่วยให้คุณแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด ฉับไว และได้งานคุณภาพ ซาซากิ โชกะ ผู้สื่อข่าวและนักเขียนด้านจิตวิทยาชื่อดังของญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า ทุกปัญหาล้วนมีคำอธิบายในเชิงจิตวิทยา การทำความเข้าใจเรื่องนี้ จะช่วยให้คุณรู้จักอารมณ์ตัวเอง และมองเห็นสิ่งที่อาจมองข้ามไปได้ชัดเจนขึ้น ด้วยการยกสถานการณ์ยอดนิยมมาตั้งเป็นแบบทดสอบสนุกๆ โดยแต่ละข้อจะมีตัวเลือก 3 แบบ ที่เฉลยพร้อมคำอธิบายที่อ้างอิงจากหลักการจิตวิทยาทั่วโลก ซึ่งไม่มีข้อใดผิด เพียงแต่คำตอบที่เฉลย เป็นคำตอบที่ “เหมาะสมที่สุด” ในสถานการณ์นั้นๆ มาลองตอบ คำถามจิตวิทยา กันดีกว่าว่าคุณจะตอบถูกทั้งหมดกี่ข้อ ช่วงเวลาไหนเหมาะแก่การพักขณะทำงานมากที่สุด 1.“จังหวะเหมาะ” อย่างช่วงที่งานเสร็จ 2.“จังหวะไม่เหมาะ” อย่างตอนที่กำลังทำงานค้างอยู่ 3.แบ่งเวลาชัดเจน เช่น พักชั่วโมงละ 5 นาที คนเราพอลงมือทำเพื่อไปถึงเป้าหมาย ความตื่นตัวก็จะสูงขึ้น และเมื่อทำได้สำเร็จ ความตื่นตัวก็จะหายไป จึงกล่าวได้ว่า หากสร้างความรู้สึกตื่นตัวได้ถึงระดับหนึ่ง และรักษาสภาพนั้นไว้ จะช่วยให้จำได้ดีและนึกออกง่ายขึ้น การหาจังหวะพักในขณะที่งานยังไม่เสร็จจึงช่วยให้จำได้ง่ายกว่า ดังนั้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพักระหว่างการทำงานคือ “จังหวะไม่เหมาะ” […]
ทักษะการแก้ปัญหา หรือ วิธีแก้ปัญหา ที่รวดเร็ว เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน หากใครมีทักษะนี้สูงก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าของบริษัท แต่น่าแปลกมาก เพราะทั้งๆ ที่มีปัญหาที่ต้องแก้ไขเป็นประจำ หลายคนกลับแก้ปัญหาผิดจุดบ้าง ไม่มีเป้าหมายบ้าง บางคนถึงขนาดไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับปัญหาอยู่ ในปัจจุบันการแก้ปัญหาได้ถูกต้องไม่ช่วยให้เอาตัวรอดได้เสมอไป แต่คุณต้องแก้ไขด้วย “ความเร็ว” จึงจะสามารถชนะคู่แข่งคนอื่นๆ ด้วย มาดูกันว่า วิธีแก้ปัญหา ที่รวดเร็วที่สุดในโลกต้องทำอย่างไร จะแก้ปัญหาได้รวดเร็วหรือไม่อยู่ที่ “10 นาทีแรก” ถ้าเราก้าวพลาดตั้งแต่เริ่ม ก็จะได้วิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหมาะสม มิหนำซ้ำอาจทำให้ปัญหากลับยิ่งยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ จนต้องหาหนทางอื่นๆ สุดท้ายเลยเสียเวลาโดยใช่เหตุ เมื่อเจอปัญหาเราควรใช้เวลา 10 นาทีแรกให้มีคุณภาพที่สุด ด้วยการ “หาสาเหตุ” ของปัญหา ปัญหานั้นมองเห็นไม่ง่าย ทำให้คนเราคิดไม่ตกว่า “จุดนี้ก็ไม่ใช่” “จุดนั้นก็ไม่เกี่ยว” […]
เคยสงสัยกันไหมว่า ผู้บริหาร หรือ ประธานบริษัท ในหนึ่งวันเขาทำอะไรกันบ้าง คุณโนโบรุ โคยามา ประธานบริษัทชื่อดังที่ได้รับรางวัลมามากมายและเห็นได้มุมมองของคนทำงานทุกระดับมานาน ได้เปิดหลักสูตร “ถือกระเป๋า” มูลค่า 300,000 บาท ที่ผู้บริหารจากหลายบริษัทต่อคิวข้ามปีกว่า 70 คิวเพื่อเดินถือกระเป๋าตามคุณโนบุรุ ไปทุกหนทุกแห่งเพื่อเรียนรู้วิธีการทำงานแบบผู้บริหารมืออาชีพ มาดูกันว่าเทคนิคคิดและทำงานแบบ ผู้บริหาร หรือ ประธานบริษัท มีอะไรบ้าง ช่วงบริษัทขาดทุนคือโอกาสที่จะกว้านซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง หลายคนอาจสงสัยว่าในช่วงบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงจำเป็นต้องซื้อหุ้นบริษัทด้วยหรือ ในบริษัทใหญ่หรือที่จดทะเบียนจะมีผู้ถือหุ้นทั้งสองคน คือประธานบริษัท และ เจ้าของบริษัท ประธานส่วนใหญ่มักคิดว่าการที่ตัวเองครองหุ้น 51% ก็มีอำนาจแล้ว แต่มันยังไม่พอในการบริหารบริษัท ดังนั้นจึงต้องมีการประชุมกันเกิดขึ้น บริษัทที่ขนาดกลางหรือย่อมที่จดทะเบียน ประธานบริษัทควรถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวเพื่อความรวดเร็วต่อการตัดสินใจ แต่ถ้าไม่ได้จดทะเบียนไม่ควรแยกการถือครองหุ้นกับการบริหารแยกกันเด็ดขาด และสำหรับบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนแต่ต้องการความมั่นคงด้านบริหารควรให้หุ้นอยู่ที่คนๆ เดียวเช่นกัน และสัดส่วนหุ้นของประธานบริษัทของทุกที่ควรเกิน 67 % การลดราคา คือความทุ่มเทของกิจการ แต่ การขึ้นราคา คือความทุ่มเทที่น่าภูมิใจกว่า เมื่อภาษีมูลค่าเพิ่มทีไร หลายบริษัทจะคัดค้านเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นภาระที่หนักอึ้งของธุรกิจขนาดกลางและย่อม” แต่จริงๆ แล้วมันคือโอกาสที่จะปรับกำไรต่างหาก […]
INTO THE MAGIC SHOP ร้านเวทมนตร์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้จิตใจของเราทุกคน อยู่ที่ว่าเราจะค้นพบมันช้าหรือเร็ว ประตูสู่ร้านเวทมนตร์นั้น จะนำเราไปสู่ความลึกลับเกี่ยวกับ สมองและหัวใจ ถึงเวลาที่จะเปิดประตูเข้าร้านเวทมนตร์เพื่อค้นพบความลึกลับในจิตใจได้แล้ว ขอต้อนรับสู่ INTO THE MAGIC SHOP ร้านเวทมนตร์ที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน เสียงของความคิด เราทุกคนล้วนมีเสียงอยู่ในหัวนับตั้งแต่วินาทีที่ตื่นนอน หน้าที่ของมันคือการตัดสินใจในชีวิตทุกวินาทีว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี เสียงนี้เปรียบเหมือนดีเจและจิตใจของเราจะคอยตอบสนองกับเสียงนี้ แต่เราจะไว้ใจกับเสียงนี้ไม่ได้เพราะมันจะพาไปตัดสินใจในเรื่องผิดมากกว่าถูก ดังนั้นเราควรเรียนรู้ที่จะลดเสียงหรือปิดเสียงนี้หรือ “การกล่อมจิตให้นิ่ง” ได้โดยการฝึก 20 – 30 นาที • ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลาย • ตั้งจิตกับลมหายใจ การมีความคิดผุดขึ้นมานั้นเป็นเรื่องปกติ ให้อยู่กับลมหายใจ • การพูดคำซ้ำๆ หรือจ้องสิ่งของก็สามารถทำให้ไม่วอกแวกได้ • เราจะรู้สึกผ่อนคลายและสงบมากขึ้นเมื่อไม่มีเสียงมารบกวน แผลใจ เรื่องเลวร้ายในชีวิตก็เปรียบเหมือนกับแผลใจ เราต้องคอยดูแลถึงจะหายดีได้ ถ้าเราไม่หมั่นดูแลแผลนี้ก็จะคอยสร้างความเจ็บปวดไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด แต่แผลใจนั้นก็สามารถทำให้เราเติบโตขึ้นมาและมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นได้เช่นกันและเรายังสามารถใช้ประโยชน์หรือเรียนจากความเจ็บปวดนี้ได้อีกด้วย ดังนั้นการที่เราต้องเจอกับความลำบากในชีวิตบ้างไม่ใช่เรื่องแย่ แต่การที่เราไม่เคยเจอกับความลำบากหรืออุปสรรคชีวิตเลยก็อาจจะพลาดโอกาสบางอย่างในชีวิตได้ ความลึกลับของสมอง สมองและหัวใจของเรานั้นมีความลับที่ซ่อนอยู่นั่นก็คือ เมื่อสมองและใจเราคิดสิ่งไหน สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง […]
Move On ไม่ได้ ไปต่อไม่ถูก เหมือนถูกทิ้งกลางทะเลทราย ทุกคนรู้ดีว่าบาดแผลทางจิตใจรักษายากกว่าบาดแผลที่เกิดจากร่างกาย เมื่อเราเจอกับความทุกข์ก็ยากที่จะผ่านมันไปได้ ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของเราว่าเราแข็งแกร่งพอที่จะผ่านมันไปได้หรือไม่ คนที่ภูมิต้านทานดีจะสามารถผ่านมันไปได้และเจ็บปวดจากรอยแผลที่เกิดจากความทุกข์นี้เล็กน้อย แต่คนที่ภูมิต้านทานน้อยจะจมอยู่กับความทุกข์นี้อยู่นาน เกิดเป็นรอยแผลที่ใหญ่และเจ็บปวดกับมัน ซึมเศร้า และสุดท้ายถึงขั้นฆ่าตัวตายได้ แต่เราสามารถเยียวยาแผลนี้ได้ด้วยตัวเองได้ หากทำอย่างถูกวิธีเราก็จะ Move On กับแผลเป็นนี้ได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง รอยกรีด ความเจ็บปวดของสมบัติที่มีชีวิต “นลิน” เป็นลูกของคนสุดท้องของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ พ่อแม่ของนลินเป็นคนไทยเชื้อสายจีนในกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง นิสัยค่อนข้างขี้บ่นและบังคับให้ลูกทำตามทุกเรื่อง คนที่โดนหนักที่สุดคือน้องเล็กของบ้าน ในช่วงวัยเด็กนลินยอมทำตามทุกอย่างเพื่ออยากเป็นคนพิเศษ แต่เมื่อโตขึ้นเธอไม่สามารถแสดงอาการต่อต้านออกมาได้ เพราะยิ่งถกเถียงก็จะโดนตอบโต้กลับมาแรงขึ้น ความรู้สึกลบยิ่งก่อเกิดในใจเรื่อยๆ จนสุดท้ายนลินเริ่มกรีดแขนตัวเองในห้องน้ำและเริ่มคิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีก การกรีดแขนตัวเองเป็นการแสดงออกถึงความเจ็บปวดทางอารมณ์ที่อธิบายทางคำพูดไม่ได้ หากเห็นเด็กทำร้ายตัวเองนั่นคือสัญญาณว่าต้องการความช่วยเหลือ ควรรับฟังอย่างจริงจังและเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่าเรื่องราวความทุกข์บ้าง เพราะคนที่กรีดแขนทำร้ายตัวเองมักคิดว่าตัวเองมีคุณค่าน้อยกว่ามนุษย์เหมือนสมบัติชิ้นหนึ่งของพ่อแม่ วิธีแก้คือต้องให้พ่อแม่รู้ว่าลูกนั้นไม่ใช่สมบัติ ลูกมีสิทธิ์ต่อรองและออกแบบชีวิตตัวเองได้ วันแรกของคนอมทุกข์ที่ตื่นจากฝันร้าย “คุณสุภางค์” เป็นเศรษฐีนีเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จิเวลรี่และเหมืองพลอยที่เคยผ่านชีวิตยากจนมาก่อน ตอนเด็กๆเออาศัยอยู่บ้านญาติ เมื่อแม่แวะมาเยี่ยมเยียนคุณสุภางค์ […]
อารมณ์และความเครียดจากการทำงาน ส่งผลเสียกับเราเสมอไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ เศร้า ทุกข์ใจ ฯลฯ และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ การหาวิธีเพื่อ คลายความเครียด เป็นอีกทางหนึ่งในการบำบัดที่ถูกต้อง มาดูกันว่าจะมีวิธี คลายความเครียด ที่เกิดจากอารมณ์ได้โดยวิธีใดบ้าง รับรู้อารมณ์โกรธ ถ้าเราโกรธเจ้านายหรือโกรธเพื่อนร่วมงาน แล้วมัวแต่จะคิดควบคุมอารมณ์นั้น เรามักจะลืมปัญหาที่แท้จริงในการทำงาน แต่ถ้าเรารับรู้อารมณ์โกรธ หรืออารมณ์เกลียดเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน แล้วเฝ้ามองไว้แทนการควบคุม ระหว่างที่เราเฝ้ามอง เราจะหยุดแสดงอารมณ์โกรธ แล้วกลับมามีโอกาสระลึกถึง ไปจนถึงทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เราโกรธคืออะไร และจะสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีใด อารมณ์ทุกข์ หากเจอเพื่อนกำลังทุกข์ใจ คุณจะทำอย่างไร เชื่อไหมว่าความทุกข์สามารถติดต่อกันได้เมื่อเราต้องอยู่ใกล้คนที่กำลังทุกข์ สมมติว่าเพื่อนกำลังเป็นทุกข์เพราะสามีป่วยหนัก ต้องใช้เงินรักษาเป็นจำนวนมาก ความทุกข์ของเราที่ติดต่อมาจากเพื่อนคือ เห็นใจเพื่อน สงสารเพื่อน จนตัวเองรู้สึกทุกข์ไปด้วย หากไม่อยากให้ทั้งเขาและเราเป็นทุกข์จะต้องช่วยบำบัดเพื่อนเสียก่อน โดยเริ่มจากค่อยๆ เข้าหา อย่าบุ่มบ่ามเข้าไป เงียบ ใช้มือแตะบ่า แตะมือ แตะหลัง อย่ารีบร้อน ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย และมองไปทิศทางเดียวกับเขาแล้วเงียบๆ หรือลองพูดว่า “เป็นฉัน ฉันคงแย่แน่ๆ” ไม่ปลอบ ไม่ตัดบท และไม่ปลุก แน่นอนว่าเราภาวนาให้เขาฟื้นตัวเองได้ในระยะเวลาไม่นาน คำพูดประเภท […]
ทักษะการ ตัดสินใจเร็ว เป็นทักษะที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้ ดังทฤษฎีเฟิร์สเชสบอกไว้ว่า “การใช้เวลาตัดสินใจ 5 วินาทีกับ 30 นาที ผลลัพธ์อาจเหมือนกัน” ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นเลยที่เราต้องใช้เวลามากเพื่อตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วถ้าอยาก ตัดสินใจเร็ว ขึ้นต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกันเลย ใช้เวลานาน ไม่ได้ช่วยให้การตัดสินใจดีขึ้น รู้จัก “ทฤษฎีเฟิร์สเชส” กันไหม มีรายงานว่า ไม่ว่าจะเป็นเกมหมากรุกที่ต้องเดินหมากภายใน 5 วินาที หรือเกมหมากรุกที่สามารถใช้เวลาได้ถึง 30 นาทีนั้น ที่จริงแล้วคนเล่นมักเลือกเดินหมากด้วยวิธีการเดียวกันมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อสั่งสมประสบการณ์มากแล้ว สามารถใช้เวลาเพียง 5 วินาทีในการคิดคำตอบเดียวกับ 30 นาทีได้นั่นเอง หรือถึงจะใช้เวลานานขึ้น สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ต่างกับการตัดสินใจอย่างฉับพลัน ถ้าเป็นเช่นนั้น สู้ตัดสินใจไปเรื่อยๆ จะดีกว่าต้องรอให้จวนตัวแล้วค่อยตัดสินใจ จิตใจเราจะรู้สึกสบายขึ้น และไม่ตัดสินใจผิดพลาดได้จริง “ตัดทิ้ง” ในการทำงาน บางครั้งต้องตัดสินใจเรื่องลำบากใจ ในกรณีที่ต้องตัดสินใจ “ตัดทิ้ง” ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสิ่งสำคัญหรือพวกพ้องก็ได้ ในการละทิ้งไม่ได้ใช้เพียงความกล้าเท่านั้น สิ่งสำคัญคือ “เกณฑ์การตัดสินใจ” เพื่อตัดสินใจ […]
90 เปอร์เซ็นต์ของความรู้สึกในใจจะแสดงออกมาในรูปแบบบุคลิกและท่าทาง การ อ่านใจคน ให้ออกจะทำให้เราเป็นต่อทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือการงาน เราไม่สามารถในภาษาในการสื่อสารอย่างเดียว อวัจนภาษาหรือท่าทางก็ต้องสอดคล้องไปคู่กับการพูดด้วย เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังสื่อ เราจำเป็นต้องฝึกใช้ท่าทางและดูท่าทางของฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้เข้าใจนิสัยของฝ่ายตรงข้ามเพื่อรับมือและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่ายได้ด้วย มาดูกันว่าเราจะสามารถ “อ่านใจคน” จากการสังเกตบุคลิกและท่าทางได้อย่างไร สังเกตสิ่งนี้บนใบหน้า แล้วจะมองเห็นรอยยิ้มเสแสร้ง บางครั้งเราก็ต้องยิ้มเพื่อเอาใจเจ้านายเวลาที่ฟังเรื่องแสนน่าเบื่อ เจอคนที่ไม่ชอบหน้าที่ทำงาน เจอมุกตลกฝืดๆ วิธีสังเกตคนเวลาที่ยิ้มอย่าไม่เต็มใจนั้นให้ดูที่แก้ม เพราะเวลาที่คนเราหัวเราะหรือยิ้มจากใจจริงๆ กล้ามเนื้อไซโกมาติคัสเมเจอร์ตรงแก้มจะยกขึ้น ตัวอย่างเช่นเวลาเห็นใครเล่าเรื่องมุกตลกฝืดๆ แต่อีกฝ่ายยกแก้มขึ้น นั่นแปลว่าเขาตลกกับมันจริงๆ แต่ถ้าต่อให้หัวเราะดังแค่ไหนแต่แก้มไม่ยกขึ้นเลยนั่นคือการแสร้งยิ้ม และเขาคิดว่าสิ่งนี้มันน่าเบื่อ หากเรารู้แล้วว่าคนไหนที่แสร้งยิ้มกับเราสิ่งที่ควรทำคือควรหลบเลี่ยงก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายเกลียดได้ มองไปทางขวาแสดงว่าเป็นคนมุทะลุ มองไปทางซ้ายแสดงว่าเป็นคนยอมแพ้ง่ายๆ หรือ เมื่อเรากำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาอาจจะหันไปมองด้านซ้ายหรือขวาในทิศทางหนึ่ง การทำแบบนี้สามารถทำให้เราอ่านนิสัยได้ด้วย มีผลวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า คนที่มองด้านขวา ขณะคิดจะเป็นคนที่แน่วแน่ พุ่งชนกับปัญหา แต่ถ้ามองไปทางซ้าย คือคนที่เมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่ชอบใจจะเลือกที่อดทน และมีพฤติกรรมที่กลุ้มใจง่าย สรุปแล้วคนที่มองไปทางขวาคือชอบคิดวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหา ส่วนคนที่มองทางซ้ายจะมีแนวยอมแพ้ตั้งแต่ต้นนั่นเอง หากจะข่มขวัญผู้อื่นในเชิงจิตวิทยาต้องทำแบบนี้ การข่มขวัญทางจิตวิทยาส่งผลในเรื่องการเจรจาธุรกิจอยู่ไม่น้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม เทคนิคที่เราสามารถทำได้ทันทีคือ การเอนไปข้างหลังแล้วยืดอก และการเอนไปข้างหลังนั้นเป็นการแสดงออกอย่างธรรมชาติและมีความหมายว่ากำลังโกรธอยู่อีกด้วย และเมื่อเราเอนไปข้างหลัง อีกฝ่ายก็จะเริ่มแสดงอาการกังวลออกมาและยอมประนีประนอมให้เราเอง แต่ถ้าอยากแสดงความเป็นมิตร ให้เราโน้มตัวมาข้างหน้า […]
ขึ้นชื่อว่า คนขี้เกียจ แล้ว ใครได้ฟังก็มักจะอธิบายความหมายนี้ในแง่ลบเสมอ เพราะเราถูกสอนมาว่าคนที่ขี้เกียจนั้นทำอะไรก็ไม่มีทางสำเร็จได้อย่างแน่นอน ถึงแม้เราจะเป็นคนขี้เกียจ แต่ถ้าใช้ความขี้เกียจให้ถูกที่ ใช้จุดแข็งของความขี้เกียจให้เป็น เราก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่แพ้คนขยันอย่างแน่นอน มาดูกันว่า คนขี้เกียจ จะสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยวิธีใด ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ สิ่งแรกคือเราต้องยอมก่อนคือ ตัวเองเป็นคนขี้เกียจ การขี้เกียจนั้นเหมือนกับพรสวรรค์ เราจะสามารถใช้พรสวรรค์ได้เมื่อเรายอมรับว่าตัวเองขี้เกียจจริงๆ เพราะคนที่ไม่รู้ตัวเองก็จะยังมีนิสัยเฉื่อยแฉะไปเรื่อยๆ บางคนไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจก็มี แต่ถ้าเรารู้ว่าจุดอ่อนขอเราคือความขี้เกียจ เราก็สามารถนำมันมาคิดพลิกแพลงให้เป็นประโยชน์เวลาทำงานได้ และยังมีใครหลายๆ คนที่เข้าใจว่าคำว่า อู้ กับ ขี้เกียจ นั้นเหมือนกัน การอู้นั้นคนการหนีปัญหา ถึงจะสบายแต่สบายได้เพียงไม่นาน เมื่อเวลาหมดเราก็ต้องกลับมาอยู่ดี แต่การขี้เกียจ (แบบก้าวหน้า) คือจะไม่หนีและใช้วิธีคิดพลิกแพลงเพื่อให้ตัวเองสบายไปเรื่อยๆ ยกระดับจิตใจด้วยเสียงเพลง เวลาที่เราต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ในที่ที่คนพลุกพล่านจะทำให้เรารู้สึกเสียสมาธิ เราสามารถฟังเพลงในเวลาที่ทำงานช่วยได้ นอกจากจะดึงสมาธิให้กลับมาได้แล้ว ยังช่วยให้งานเสร็จเร็วอีกด้วยเพราะเมื่อเราสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดสมาธิคือ “ออกไปข้างนอกใส่หูฟังนะ” “เปิดเพลงนี้” เมื่อเราทำตามขั้นตอนนี้ได้ สมองจะเปลี่ยนเป็นโหมดทำงานหรือสมาธิทันที นอกจากนี้เรายังกำนดเพลงว่าเวลาทำงานจะฟังเพลงแนวไหนก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้น ใช้เจ้านายให้เป็นประโยชน์ เราไม่สามารถที่จะเลือกเจ้านายให้ตรงกับตามที่ใจเราต้องการ ความเป็นจริงเราต้องเจอทั้งเจ้านายที่ไม่ชอบ เจ้านายที่พึ่งพาไม่ได้ เมื่อเราเจอแบบนี้ต่อให้บ่นไปจะยิ่งเครียดไปเปล่าๆ ดังนั้นเราต้องใช้โอกาสนี้คือ […]